ศิลปินทุกคนล้วนมีลายเซ็นของตัวเอง บางคนเป็นร็อก บางคนเป็นแร็พ บางคนเป็นแจ๊ส บางคนเป็นอาร์แอนด์บี แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ลายเซ็นของเขาคือเป็นไทย
ตัวตนของ เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ โดดเด่นบนเวที The Voice ซีซั่น 1 ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ภาพลักษณ์แบบไทยผสมผสาน พัฒนาจนเป็นศิลปินที่มีค่ายเพลงของตัวเองตั้งแต่อายุ 28 ปี แต่ยังไม่ทิ้งรากเดิมคือความเป็นไทยใส่เขี้ยวยักษ์พร้อมเสียงขับเสภาอันเสนาะหู และบ่อยครั้งที่เสียงของเขาถูกนำไปผสมผสานกับเพลงไทยยุคใหม่ในหลายมิติ (ล่าสุดกับเสียงขับเสภาในโฆษณาทางทีวี ทำให้คนฟังอย่างเราเพียงแค่ยืนล้างจาน ซักผ้าหลังบ้าน ก้มหน้าทำงานก็ต้องตั้งใจฟังในท่วงทำนองนั้น และรู้ได้ทันทีว่า เสียงนี้คือใคร)
เขาสร้างความฮือฮาอันน่าจดจำอีกครั้ง เมื่อพาลีลาโชว์ดีดจะเข้ไปแข่งขันบนเวทีประกวดด้านการแสดงระดับโลก World Championships of Performing Arts ครั้งที่ 20 และคว้ารางวัลยาวเป็นหางว่าว ได้แก่ 5 โล่ 14 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง กับอีก 2 เหรียญรางวัลพิเศษ Spirit Team ยอดเยี่ยม
เขา ‘เก่ง’ สมชื่อ
แต่ก่อนที่เก่งจะ ‘เก่ง’ และมีที่ทางให้ยืนเช่นทุกวันนี้ เขาให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มและถ่อมตัวในแทบทุกคำตอบเสมอ เพราะเขาเคยไม่เก่ง แถมยังมีความขี้แพ้แบบ loser และมีความขบถอยู่ในคราเดียวกัน และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่ชวนย้อนเดินทางไปรู้จักเก่ง (ตั้งแต่ในวันที่เขายังไม่เก่ง) และเส้นทางมากลีลาที่ทำให้เขายืนสง่าบนความเป็นไทย (Thainess) ได้เช่นทุกวันนี้
เก่งมีเพื่อนเป็น ‘ดนตรีไทย’ มานานเท่าไรแล้ว
ดนตรีไทยกับผม เราเจอกันด้วยความบังเอิญ ตอน ม.ต้น ผมเรียนที่โรงเรียนเทศบาล1 (ถนนนครนอก) จังหวัดสงขลา มีวิชาเลือกเสรีอย่างเกษตร ปลูกผัก วาดรูป พลศึกษา และดนตรีไทย ผมก็คิดเอาง่ายๆ ว่า เรียนวิชาเลือกอะไรก็ได้ที่กลับไปบ้านแล้วแม่สอนได้ จำได้ติดตาตั้งแต่เด็กว่าก่อนจะออกจากบ้านเราจะเห็นซอด้วงตั้งอยู่ เอาล่ะ เลือกเรียนวิชาเลือกเป็นดนตรีไทยก็แล้วกัน เพราะแม่เราก็จบดนตรีไทย แต่สุดท้ายพอกลับบ้านไป แม่บอกว่าแม่เรียนจบกีตาร์คลาสสิก! และแม่ก็ไม่ได้สอนวิชาดนตรีไทยนี้กับเราเลย แต่น่าแปลกว่าเวลาเราเรียนวิชาอื่น ต่อให้ทำความเข้าใจมากแค่ไหน ก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอเป็นวิชาดนตรีปุ๊บ เราก็จะทำได้ดี นับเป็นการพบเจอที่บังเอิญกันและเห็นเสน่ห์ของเขา
ทราบมาว่า เก่งชอบการประกวดแข่งขันตั้งแต่เด็ก
จุดเปลี่ยนคือการได้เข้าเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ที่นี่ทำให้ผมได้เห็นการประกวดทั้งไทยและสากล และเวทีการประกวดมันทำให้ผมได้เห็นบางอย่างมากไปกว่าเสียงเพลง ผมได้เห็นคนที่เล่นดนตรีแล้วมีความสุข ได้เห็นรูปแบบความถูกต้อง และแบบแผนของดนตรีไทย นั่งแบบนี้ ทำมือแบบนี้ เริ่มต้นแบบนี้ ได้พบครู ได้มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในการเล่นดนตรี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกดดัน ผมโตมากับความกดดันเกินวัย ย้อนไปในชีวิตตอนเรียน ม.ต้น ผมคือเด็กชายเก่ง-สิทธิกร (ชื่อเก่า) เป็นเด็กอ้วนที่หนัก 90 กิโลกรัม และมักจะโดนรังแก เราจึงกลายเป็น Loser ที่ชอบการแข่งขัน ชอบเอาชนะบางอย่าง ผมว่านี่แหละคือเหตุผลที่เวลาเราชนะการประกวด มันเพื่อทดแทนความเหลื่อมล้ำ ในห้องเรียนผมจะเป็นเด็กชายสิทธิกรที่โดนเพื่อนล้อ เพื่อนแกล้ง ผมจึงใช้ดนตรีซึ่งเปรียบเสมือนที่ที่ทำให้เราได้พักเบรกจากสังคม แม้จะถูกหัวเราะบ้าง แต่เรายังมีเพื่อน เรายังมีปฏิสัมพันธ์ พออยู่ในวง เราก็ใช้ภาษาดนตรีคุยกันได้
เด็กชายสิทธิกรในตอนนั้น เล่นเครื่องดนตรีอะไร
เมื่ออยู่ในวง ดนตรีไทยชิ้นแรกของผมเป็นขลุ่ยหลิบครับ คิดดูสิ นี่คือความน่าสงสารของเรา ในวงดนตรีไทยจะมีขลุ่ย 2 ประเภท คือขลุ่ยเพียงออ อย่างที่ทุกคนเป่ากัน เพียงออจะเล่นได้หลายวง มีโน้ตโด เร มี ฟา ซอล ส่วนขลุ่ยหลิบจะขนาดเล็กลงมาและเป่ายากขึ้น มีโน้ตแค่ฟา ซอล ลา ที โด เร มี เหตุผลที่ผมถูกให้เป่าขลุ่ยหลิบเพราะนิ้วสั้น เป็นเด็กอ้วน
ชีวิตในห้องเรียน เราจะโดนล้อ เพื่อนๆ จะจดจำบุคลิกเราได้ดี แต่เมื่อเข้ามาในวงดนตรีไทยแล้ว แม้จะเป็นคนที่ไม่เก่ง แต่เรารู้ว้าต้องหัด ต้องซ้อมเยอะๆ ต้องพยายามทำความเข้าใจกับวง พยายามทำตัวให้เป็นระเบียบ และมีความเคารพในเครื่องดนตรี
จากขลุ่ยหลิบในช่วงชีวิต ม.ต้น พอเข้าโรงเรียนมหาวชิราวุธผมก็พบว่าโลกมันกว้าง จากวงลำดับท้ายๆ เราก็ค่อยๆ ไต่ลำดับขึ้นมา เมื่อพี่ๆ เรียนจบไป ครูบอกฝึกเพียงออหน่อย เราก็ค่อยๆ ฝึกเพียงออ ฝึกปี่ใน และสุดท้ายเราก็ค่อยๆ พัฒนาเข้าสู่วงหลักของโรงเรียน เริ่มไปเป็นนักร้องนำ (Front Man) ในวงดนตรีสากล จากร้องเล่นๆ ก็เริ่มส่งประกวดครั้งแรก เวทีศูนย์สังคีตศิลป์ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ผมก็ได้รับรางวัลชมเชยระดับประเทศสำหรับการแข่งครั้งแรก
ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร แต่จำได้ว่า ตอน ม.3 อาจารย์ให้ผมวาดรูปอาชีพในฝัน ตอนนั้นผมยังเล่นดนตรีได้ไม่เก่ง แต่สิ่งที่ผมเขียนคือผมอยากเป็นดอกเตอร์ทางด้านไวโอลิน นั่นแปลว่าลึกๆ แล้วผมคงมีความใฝ่ฝันในแง่นั้น
จากสิ่งที่เคยใฝ่ฝัน แล้วพอได้ลงมือทำตามฝันจริงๆ แล้ว ได้สมดั่งใจไหม
พอม.ปลายได้ศึกษาดนตรีไทยก็ยิ่งทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ดนตรีไทย ความสนุกอยู่ที่ตรงที่มันเหมือนอยู่ในยุทธจักรที่เราประลองกันด้วยเสียงดนตรี มีสำนักแต่ละฝั่ง มีศิษย์ มีครู มีการประชันทางดนตรี เมื่อก่อนครูเขาจะอัดเทปแกล้งดีดผิดกันก็มี เพื่อที่จะไม่ให้มีคนรู้ แต่พอประชันปุ๊บ จะเอาไม้เด็ดออกมา ศิษย์ครูนี้ก็ต้องทำตามครู ยิ่งได้คลุกคลียิ่งเห็นเรื่องราวและคุณค่าในสิ่งที่เรารัก
มองย้อนกลับไป คุณเห็นความเข้มข้นทางดนตรีของตัวเองในช่วงไหนมากที่สุด
ก้าวสำคัญน่าจะเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากที่เราประกวดครั้งแรกและได้ระดับชมเชยระดับประเทศแล้ว ผมก็อยากวางขลุ่ยแล้วมาเป็นคนร้อง จึงไปสอบเอกการร้อง สาขาดนตรีไทยเดิม ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผลปรากฏว่าผมสอบตกสัมภาษณ์ ทั้งที่สาขานี้ไม่เคยมีคนสอบตกสัมภาษณ์มาก่อน ผมร้องไห้เสียใจ แล้วก็แอนตี้ดนตรีไทยไปเลย จนกระทั่งวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรับสมัครสาขาดนตรีไทยและดนตรีปฏิบัติ ผมก็เอาวะ ลองอีกสักตั้ง ครั้งนี้ผมไม่แบกความคาดหวัง ความกดดันไปด้วย นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า เราโชคดีที่เราตกสัมภาษณ์ตั้งแต่มหาวิทยาลัยก่อนหน้า ได้มีโอกาสถามเพื่อนที่เรียน เขาบอกว่าที่นั่นเขาเรียนแบบไท้ยไทย แต่ที่มหิดล เป็นวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ซึ่งเป็นการเรียนที่หลากหลาย เราเป็นดนตรีไทย แต่เราก็ได้อยู่กับเพื่อนที่เรียนดนตรีสากล ดังนั้นเราจะได้ความครีเอทีฟ ที่มหิดล เขาจะสอนให้เรารู้วัฒนธรรมเราและเข้าใจวัฒนธรรมคนอื่น มีคลาสดูคอนเสิร์ตเพื่อฝึกให้เรารู้จักมารยาทเวลาชมดนตรีแล้วก็ต้องดูคอนเสิร์ตเพื่อเก็บหน่วย ซึ่งเราต้องดูทั้งหมด 10 คอนเสิร์ตในแต่ละภาคเรียน ผมว่ามันเก๋ดี แล้วพอสอบก็ให้ทำคอนเสิร์ตของเราเอง ผมว่าตัวเองความครีเอทีฟได้จากตรงนั้น
ความรู้สึกการเป็น Loser ในตัวคุณ ได้คลี่คลายไปตั้งแต่ตอนไหน
สมัยเรียนดนตรีไทย ก็ถือเป็นชนกลุ่มน้อยในวิทยาลัยดนตรีที่อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน (ยิ้ม) ผมเรียนเอกดนตรีไทย แต่ Voice ต้องเรียน Jazz ช่วงที่ไปเข้าคลาส Jazz แล้วพูดภาษาอังกฤษกับอาจารย์ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผมกดดัน บางครั้งไม่เข้าใจที่อาจารย์สอน ตามเพื่อนไม่ทัน ส่งผลให้ตอนเขาจัดลำดับสอบ ผมก็ไม่รู้เรื่อง และได้ลำดับสุดท้าย จุดเปลี่ยนคือวันที่สอบไฟนอลของคลาส Voice ผมขนดนตรีมาแบบจัดเต็ม ด้วยความที่เดินสายประกวดตามเวทีต่างๆ จนชิน คือเพื่อนไม่ได้มาอธิบายว่าจริงๆ แล้วแค่ดนตรี 3 ชิ้นก็อยู่แล้ว เราก็จัดเต็มออร์เคสตร้ามาเลย แม้เราจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เราอยู่กับการฟังสำเนียง (pronunciation) ดังนั้นวิธีการร้องเราจะตรงตามต้นฉบับ โชว์ที่เราพาเข้าห้องสอบทำให้อาจารย์โยนกระดาษและร้องไห้ บอกว่าขออีกเพลงให้เป็นอังกอร์ ผมกลายเป็นคนที่ทำคะแนนได้เต็ม 100 ดีที่สุดในคลาส และวันนั้นก็ทำให้เรารู้สึกก้าวผ่าน เราได้ชนะตัวเราเองแล้ว
แต่เชื่อไหมว่า ผมก็เคยหลงทาง แม้ผมจะมีความสามารถทางดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก แต่ผมเคยอยากเป็น K-pop เป็นฝรั่ง สมัยเรียนก็ไปประกวดเดินสายตามรายการเรียลิตี้โชว์ต่างๆ ต้องเป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น ผมต้องลดความอ้วนเพื่อทำให้กรรมการสนใจ และผมก็พบคำตอบว่า เพราะนั่นไม่ใช่สถานที่ของเรา
แล้วตอนนี้ล่ะ ที่ไหนคือที่ของเก่ง
ทุกๆ อย่างมันเริ่มมาคลี่คลาย ตอนที่ผมประกวดเวทีจากโค้ก มิวสิค อวอร์ด ได้รางวัลชนะเลิศ สำหรับผมนั่นคือจุดสูงสุดของการเป็นนักร้องไทยสากล เป็นรางวัลที่ทำให้เก่งมีวันนี้ เรามีโอกาสได้เดินทางไป Summer Sonic ที่ญี่ปุ่น ไปดูการทำงานของ Maroon 5 ที่อังกฤษ ซึ่งมันเกินฝันของเด็กคนหนึ่ง กลับมาเรามีแรงบันดาลใจ เขียนเพลงส่งค่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ผ่าน ยิ่งทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะรู้สึกว่านี่คือจุดสูงสุดของดนตรีไทยสากลแล้ว เราจะเอาอะไรอีก ประกอบกับช่วงนั้นน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2554 เรากลับบ้านและพาความน้อยเนื้อต่ำใจไปด้วย หยิบหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่งช่างสะดุดตา และชื่อก็น่าสนใจดีว่า “ทวนกระแสธุรกิจ คิดต่าง ไม่มีทางตัน” เป็นหนังสือแปลญี่ปุ่น หน้าปกเป็นรูปนกเกาะอยู่ที่กรง หยิบเล่มนี้กลับมาอ่านที่บ้านแล้วชอบมาก หนังสือบอกว่า “คุณอยู่ในตลาดมานานแล้ว วิธีการที่จะทำให้อยู่รอดก็คือคุณต้องรีแบรนด์ดิ้งตัวเองใหม่” เออใช่ เราเป็นเก่ง สิทธิกร ที่คนเห็นมาหลายเวทีแล้ว ดังนั้นถ้าเราจะทำสิ่งใหม่ เราต้องเปลี่ยนชื่อตัวเองเหมือนเกิดใหม่เลย แล้วก็ต้องหาเอกลักษณ์ของเราให้เจอ และเอกลักษณ์นั้นต้องไม่ซับซ้อน จนมาที่เวที The Voice ผมตัดทุกอย่างที่เคยเป็นออกไป ฉีกกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ร้องในสิ่งที่เราอยากร้อง ทำดนตรีในแบบที่เราอยากทำ ใส่เสื้อผ้าที่เราอยากใส่ และก็กลายเป็นเก่ง ธชย ตั้งแต่วันนั้น
เพลงเปลี่ยนชีวิต
ในเวที The Voice ผมเริ่มต้นด้วยเพลงสากลที่วัยรุ่นชอบ ปูทางมาเป็น What’s my name ของริฮานน่า แต่เมื่อผมบอกโค้ชโจอี้บอยว่าผมขับเสภาได้ แกก็บอกว่าเอาเลย วีคหน้าขับเสภากัน นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยน เครียดนะเพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีใครทำความเป็นไทยให้มันเร้าใจ มันยากตรงที่ตั้งแต่เอาเพลงชู้ (หลง ลงลาย) มาร้องเป็นเสภา เพื่อให้สนุก ให้วัยรุ่นชอบ แต่สุดท้ายพอเราผ่านอะไรมาเยอะจนไม่มีอะไรจะเสีย ผมทำตามโจทย์ของโค้ชโจอี้ กลายเป็นโชว์ที่มีขับเสภามาผสม พร้อมเสียงอิมโพรไวส์ในสไตล์ของเรา กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทำให้เรากล้าที่จะถางทางต่อไป เวลานึกถึงร็อกเรายังนึกถึง Bodyslam นะ แนวบอสซาโนว่าเรายังนึกถึงลุลา แต่พอเป็นไทยประยุกต์เรานึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นใคร แรกๆ เราก็รู้สึกนะว่าทำไมเส้นทางนี้ทำไมมีหญ้าเยอะจัง เราก็เลยกลัวว่าข้างหน้าจะมีงูไหม แต่พอเราถางทางไปแล้ว มันเป็นทางที่สวยงาม แม้ว่าช่วงแรกๆ มันอาจจะยากหน่อย
แล้วดนตรีที่ใส่ความเป็นไทยใช่ตัวตนของคุณไหม
ดนตรีไทยกับผมเหมือนเงาที่ผมไม่เคยยอมรับ วันหนึ่งเรามีเขาอยู่ เรารู้ว่าอยู่กับเขาแล้วมีความสุข แต่อีกด้านเราก็ยังไม่อยากจะยอมรับเขาว่าเขาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมยอมรับในจุดที่ตัวเองเป็น ผมต้องไปโชว์เพลงในงานเฟรชชี่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีนักศึกษาเต็มฮอลล์เป็นหมื่นๆ คน เยอะสุดลูกหูลูกตา แรกๆ ผมตั้งใจจะร้อง What’s my name เพราะเป็นเพลงฮิต จนกระทั่งมีน้องคนหนึ่งขอเพลง “ชู้” ซึ่งเป็นเทปหลังจากที่รายการเดอะวอยซ์เพิ่งออนแอร์ไป วินาทีแรกที่ผมขับเสภา เด็กที่เราเห็นสุดลูกหูลูกตาเป็นหมื่นๆ คน เขาขับเสภาพร้อมๆ ไปกับเรา ดังกระหึ่มไปทั้งฮอลล์ ผมตื้นตัน สิ่งนี่มันยิ่งกว่าเรามีเพลงแล้วเขาร้องเพลงได้ แต่มันคือการที่เด็กขับเสภาไปตามเรา เวลามีคนถามผมว่า เสมอว่าทำอย่างไรให้เด็กหันมารักความเป็นไทย ทำอย่างไรให้เด็กอนุรักษ์ ผมก็ตอบเขาไม่ได้นะ แต่วันนั้นเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มาก เหมือนกับเป็นภาพที่บอกเราว่านี่ไงคือสิ่งที่แกพยายามจะทอดทิ้งมาตลอด แต่แกทำได้แล้ว ทำให้เด็กเหล่านี้หันมารักในวัฒนธรรมได้แล้ว ตั้งแต่นั้นผมคิดตลอดเลยว่านี่คือสิ่งที่ทรงคุณค่าและเราจะไม่ทอดทิ้งอีกเลย
อยากให้เล่าเรื่องไปแข่งขัน World Championships of Performing Arts ที่ผ่านมาให้ฟังบ้าง
เมื่อความสำเร็จมันตกตะกอน แล้วผมเป็นคนที่กระหายความสำเร็จ รู้สึกว่าเรายังไม่พอ ถึงแม้ว่าสังคมจะบอกว่าเก่งพอแล้ว แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตเราเริ่มรูทีน คือเดินสายโปรโมตเพลง รับงานอีเวนต์ เกิดคำถามในใจ แล้วอย่างไรต่อ แล้วเก่งคิดว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร เรามีความฝันว่าอยากพาเพลงไทยไปเวทีระดับโลก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะไปทิศทางไหน อย่างน้อยๆ เวทีนี้ก็เหมือนเป้าหมาย อย่างน้อยได้เริ่มต้นปาเป้าไปก่อน ถึงไม่โดนก็จะได้รู้ว่ามันห่างแค่ไหน เพราะถ้าไม่ได้เริ่มก็จะไม่มีทางรู้ และเวทีมันก็พิสูจน์อะไรได้หลายๆ อย่าง ทำให้เกิดกระแสของวัฒนธรรม ได้เห็นความภูมิใจ ก่อนไปผมยังเป็นศิลปินที่คนรู้จักแล้วบอกว่าชอบเพลง แต่พอกลับมา เรามีคนเดินมาบอกแล้วพูดว่าขอบคุณนะที่ทำเพื่อประเทศไทย มันเป็นความภาคภูมิใจและเป็นก้าวต่อไปของเราเองด้วย และเวทีนี้ก็มีคุณค่ากับผมมาก
ก้าวต่อไปของ เก่ง ธชย
ตอนนี้กำลังทำค่ายเพลงไวท์ไลน์ (ซึ่งคล้องกับภาษาไทยว่า ไว้ลาย) ยังอยู่ในช่วงจุดเริ่มต้น ค่ายเพลงของเราคือใส่ความเป็นไทยเข้าไปเป็นกิมมิก เปิดโอกาสให้น้องๆ รุ่นใหม่มาปล่อยของ โดยมีผมเป็นโปรดิวเซอร์ อยากขยับบทบาทบ้าง จากนักแข่งขันประกวดมาเป็นเจ้าของค่ายเพลง มาปั้นคนที่มีเอกลักษณ์ดูบ้าง ผมอยากเห็นความว้าว ผมชอบความหลากหลาย แม้จะเรียนดนตรีไทยแต่ผมเป็นคนที่ฟังเพลงใหม่ตลอดเวลา ผมชอบเอาตัวเองไปอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผมยังไปเต้นบนเวที EDM ผมยังไปเต้น Mosh Pit ในคอนเสิร์ตเมทัล ผมเชื่อว่าเราต้องเรียนรู้วัฒนธรรมการฟังเพลงของหลายๆ ศาสตร์ เราต้องเปิดใจ และเอาความว้าวในแต่ละดนตรีมาประยุกต์กับความเป็นไทย ผมอยากเห็นเด็กรุ่นใหม่มาทำเพลงไทยในแบบวัฒนธรรมร่วมสมัยเพิ่มขึ้น
ถ้าสมมติวันนี้ มีคนมาถามคุณว่า ทำอย่างไรให้เด็กรุ่นใหม่สนใจความเป็นไทยให้มากขึ้น คุณจะบอกเขาว่า…
ผมจะบอกเขาว่า “เราควรพูดกันให้น้อยลงและลงมือทำให้มากขึ้นครับ”
ผมชอบเข้าวัด ทำบุญ ชอบกฐินผ้าป่า ชอบดูดวง มีเรื่องความเชื่อ ยันต์ต่างๆ และความเชื่อเป็นศาสตร์ที่ผมสนใจ
นี่แหละไทยสไตล์เก่ง
ติดตามผลงานของ ธชย Youtube Channel : TACHAYA
เรื่อง : วีรภา ดำสนิท / ภาพ : เนาวรัตน์ บุญวิภา
ขอขอบคุณสถานที่ : พิพิธภัณฑ์บ้านไทย จิม ทอมป์สัน www.jimthompsonhouse.com