เจนนี่ - วัชระ สุขชุม สาวน้อยผมดำขลับ ตาคมแบบฉบับสาวใต้ ผู้สร้างสีสัน เสียงหัวเราะ และเป็นยิ่งกว่าสายคอสเพลย์ เพราะเธอช่างกล้าโคฟเวอร์เป็นคนดังหลากหลาย (และแถมเหมือนด้วยสินะ)
เจนนี่เริ่มต้นงานในวงการบันเทิงตั้งแต่ครีเอทีฟรายการทีวี จนขยับความสามารถเป็นที่ยอมรับและเป็นที่จดจำในฐานะพิธีกร รายการเทยเที่ยวไทย นอกจากนี้ยังมีรายการทางช่องวัน ไลน์ทีวี และยูทูบ มาเป็นพาเหรดอย่าง ชวนเล่น Challenge, 2piece 2please, Wrong Say Do, หนูนก แถมยังเป็นขาประจำในสายปาร์ตี้อย่าง Trasher ที่เราจะพบเธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์สุดเปรี้ยวมานานหลายปีแล้ว และนี่เป็นเหตุให้เมื่อนึกถึงความสนุก เราจึงอยากคุยกับเธอ
เจนนี่ค้นพบความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ในตัวเองตั้งแต่เมื่อไร
รู้ตัวตั้งแต่เด็กเลย เพราะทุกครั้งที่มีงานโรงเรียน เราจะร่วมกิจกรรมสร้างสีสันตลอด ถ้าย้อนกลับไปสมัยอนุบาลเราก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน พอเข้าประถมก็อยู่ชมรมจัดบอร์ดวิชาการ รำเซิ้งสวิง รู้สึกว่าเราสนุก มีความสุข กลายเป็นว่าทุกครั้งที่มีงานหรือกิจกรรมในโรงเรียน ครูก็จะนึกถึงเรา สนุกในโรงเรียนไม่พอ พอขึ้น ม.ปลายก็ชวนเพื่อนไปทำกิจกรรมนอกโรงเรียนด้วย ตอนนั้นเป็นการประกวดกองเชียร์ เพื่อนก็บอกว่าในห้องเราก็มีจำนวนเยอะนะ ลองไปแข่งกันสนุกๆ ก็น่าจะดีนะ ก็เลยไป
ที่มาของชื่อ เจนนี่ มีมาตั้งแต่ ป.4 แล้ว เพราะว่าคุณครูเรียก ตอนนั้นมีภาพยนตร์เรื่องเจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ คุณครูเห็นเราตุ้งติ้งออกสาวก็เลยเรียกฉายานี้มาตลอด จนเพื่อนๆ เรียกตาม
บทบาทอะไรที่เจนนี่มักจะได้รับ
ต้องเป็นนักแสดงอยู่แล้วค่ะ(หัวเราะ) เราออกนอกหน้าอยู่แล้ว กลุ่มเพื่อนเราที่คบโชคดีว่าแต่ละคนจะมีความถนัดที่หลากหลาย เรากล้าแสดงออก เรากล้าพูด เราก็เลยรับหน้าที่ที่จะอยู่เบื้องหน้า ตัวอย่างเช่น ละครเวที ที่เราทำเองเป็นละครเพลง เราก็คิดเอง เอาเพลงเร็วๆ มาต่อเป็นเรื่องราวสนุกสนานแล้วต่อด้วยเพลงอกหัก ตอนนั้นเราก็ได้รับหน้าที่เป็นเบื้องหน้า แล้วเรามีเพื่อนที่คิดได้ มีเพื่อนที่ควบคุมงานได้ มีเพื่อนที่สามารถเสกชุด เสกอุปกรณ์อะไรต่างๆ ได้มาอยู่รวมกัน งั้นนี่เป็นหน้าที่เธอนะ ส่วนสวยๆ อย่างฉันจะไปเป็นอั้ม พัชราภา อยู่หน้าเวที (หัวเราะ)
สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อเราน่าจะเพราะเพื่อน เพื่อนที่คบค่อนข้างจะสนุกสนาน ร่าเริง ถ้าไม่สนุกก็คงไม่ทำ เราว่าความสนุกที่ทำมันเป็นแหล่งสร้างความสุขให้กับเราทางหนึ่งด้วย รู้สึกว่าถ้าเรียนอย่างเดียว ความกดดันก็เยอะอยู่แล้ว เราน่าจะมีอะไรที่มาผ่อนคลาย จึงเป็นนิสัยที่ชอบแสวงหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุข ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะทำให้ทุกคนมีความสุข เราแค่เริ่มทำกิจกรรมเพราะเรามีความสุขจากตัวเอง พอทำมาเรื่อยๆ เราไม่ได้รับความสุขคนเดียว คนอื่นก็ได้รับความสุขด้วย เราก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ชีวิตมหาวิทยาลัยเราก็รับทุกงาน งานคณะยันงานมหาวิทยาลัย จบแล้วก็ยังเข้าไปช่วยทำอีก
แสดงว่าตอนเข้าเรียนไปปี 1 ต้องเด่นมากแน่เลย
หน้าตาค่ะ (หัวเราะ) หัวโปก ตัวดำ หน้าแบบเด็กเลี้ยงวัว ตอนเข้าปีหนึ่ง (คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร)เราไม่ได้อยากจะเด่นดัง แต่เพราะเราเป็นเราแบบนี้ เวลาเพื่อนให้ทำอะไร เราก็กล้าที่จะทำและกลายเป็นจุดเด่น ยกตัวอย่าง การรับน้องตั้งแต่ปี 1 เราจะเป็นตัวแทนในการกับพี่ปี 2 – พี่ปี 4 โดนรุ่นพี่กดดัน คอยสั่งว่าพรุ่งนี้ขอโชว์นะ เพื่อนๆ ก็จะทำอะไรดี เจนนี่ทำอะไรดี เราก็เลยเป็นที่พึ่งในการทำกิจกรรมเอ็นเตอร์เทน โชว์มัดใจโชว์แรกคือเราหน้าเหมือนมิสเตอร์ดี ผมเกรียน ก็เลยโชว์เป็นมิสเตอร์ดี (นักร้อง ทายาทค่ายกันตนา) จนใครๆ ก็เรียกเรามิสเตอร์ดีตลอด เราก็ยิ่งสนุกที่ได้แสดงตัวตนเป็นใครคนนึงให้คนอื่นมีความสุข และกลายเป็นว่ามีคนจดจำ จากโชว์เราก็เริ่มเป็นพิธีกรงานรับน้องของคณะ บางทีก็ลามไปเป็นงานพิธีกรมหาวิทยาลัย งานประกวดดนตรี ส่วนใหญ่คนก็จดจำเรา ทุกครั้งที่มีงานบันเทิงแนวนี้ เขาจะเห็นเจนนี่ยืนอยู่บนเวที
มาที่ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงอย่าง Trasher กันบ้าง เจนนี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อย่างไร
Trasher ถือเป็นโอกาสและโชคของเรามาก (Trasher Bangkok คือกลุ่มจัดปาร์ตี้ตัวแม่ที่เน้นเปิดเพลงป๊อปยุค 90 พร้อมจุดเด่นคือการทำมิวสิกวิดีโอล้อเลียนแบบ Parody) พอเข้ามหาวิทยาลัยมาปุ๊บก็ได้รู้จักพี่โจโจ้ ทิชากร ภูเขาทอง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คณะอยู่หนึ่งปี และเป็นตัวตั้งตัวตีที่ก่อร่าง Trasher มา พวกเราเป็นเด็กกลุ่มหน้าคณะ เรียนจบไม่กลับบ้าน ไม่เดินห้าง อยู่หน้าคณะกัน วันๆ เปิดเพลงเต้นและเดินแบบ พี่โจโจ้คือคนที่รับน้องเราและเห็นว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้อยากตลก อยากหัวเราะ ก็เรียกเจนนี่มา เรียกเรามาถ่ายหนังสั้นเล่นๆ จากโทรศัพท์มือถือ เขาซื้อลำโพงมาเพื่อเปิดเพลงให้เราเต้นโชว์ พอพี่โจโจ้เรียนจบ เขาก็มาตั้งกลุ่ม Trasher จริงจัง และเจนนี่ก็ตามเข้ามาร่วมกลุ่มภายหลัง จุดเริ่มต้นของ Trasher เกิดจากที่พี่โจโจ้รู้สึกว่าเขาอยากจะทำปาร์ตี้ที่มันแตกต่าง เหมือนโฮมปาร์ตี้ที่ชวนเพื่อนมาสนุกในบ้าน ชื่อเราก็มาจากคำว่า Trash แปลว่าขยะ เพราะเราเหมือนคนบ้าน คนไร้สาระ ก็เลยเติม er เข้าไป เป็นกลุ่มคนไร้สาระที่ทำเรื่องไร้สาระให้มีสาระ (หัวเราะ)
ปาร์ตี้เราจัดครั้งแรกที่ Café Democ สี่แยกคอกวัว และอยากเปิดเพลงที่หาฟังไม่ได้ในผับเพลงป๊อปแมสๆ อย่าง บริตนีย์ สเปียร์ คริสติน่า อากีเลร่า และอยากหาวิธีโปรโมตงานที่เข้าถึงคน จากเมื่อก่อนเรามักจะประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตด้วยการแปะใบปลิว แต่เมื่อปี 2008 เริ่มมี Youtube เริ่มมีอินเทอร์เน็ต เข้ามา เริ่มมีเทรนด์การทำวิดีโอล้อเลียน จนเขาอยากทำวิดีโอล้อเลียนมารายห์ แคร์รี่ ในเพลง All I want for Christmas Is You ช่วงเทศกาลความสุขในแบบฉบับคนไทย และต่อมาคือริฮานน่า ซึ่งเป็นเอ็มวีที่ล้อเลียนต้นฉบับแบบช็อตต่อช็อต จนประสบความสำเร็จ และกลายเป็นว่าเราได้เข้ามาอยู่ทีม Trasher เต็มตัว ทำเอ็มวีตัวอื่นๆ ตามมา ถ้า Trasher เป็นช่อง 7 เราก็เป็นอั้ม พัชราภา (หัวเราะ) ความสำเร็จมาจากพวกพี่ๆ เขา ส่วนเราเป็นคนถ่ายทอดความสำเร็จนั้นออกมาต่างหาก จนถึงวันนี้เราเห็นพัฒนาการของ Trasher จากปาร์ตี้เล็กๆ เหมือนบ้านที่มีคนมา 50 คน วันนี้มีคนมาบ้านเราถึง 3,500 คน (จำนวนขายบัตร) แต่เราทุกคนก็ยังพยายามดูแลให้ปาร์ตี้ในบ้านหลังนี้อบอุ่นเหมือนเดิม
ย้อนกลับไป ก่อนที่จะมาเป็นทีมปาร์ตี้ตัวแม่นั้น เจนนี่ทำอะไรอยู่
แม้จะเรียนจบแล้ว แต่ตอนนั้นชีวิตยังไขว้เขวอยู่เลย และเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เราไม่เคยรู้สึกไร้ค่าเท่ากับสองปีนั้นเลย เราพยายามหางานด้วย แต่ไม่มีใครรับ ตอนนั้นอยากทำงานสายสื่อมวลชน เพราะรู้ตัวว่าเราชอบทำงานที่เกี่ยวกับการคิด ชอบถ่ายทอดงานแปลกๆ แต่ว่าเราไม่ได้เรียนจบมาตรงสาย ตอนนั้นรู้สึกว่าเพิ่งเรียนจบปีเดียวเอง ไม่ต้องรีบไปหรอก พอสักพักเริ่มเข้าปีที่สอง เริ่มไม่ใช่แล้ว…เรารู้สึกว่า คนอื่นมีงานกันแล้ว ชีวิตเรายังไปไม่ถึงไหน จนเริ่มรับจ๊อบเล็กจ๊อบน้อย มีรุ่นพี่รู้จักชวนไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารเพื่อให้เรามีเงิน ไม่ต้องขอพ่อขอแม่ ทำร้านอาหารได้ 5 เดือนก็ลาออก ออกมาสักพักก็ได้เข้ามาร่วมกับพี่ๆ Trasher
ระหว่างนั้นเองชีวิตก็เจอทางแยกให้ตัดสินใจ จากที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า จะ 25 ปีแล้วยังไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เลยไปสอบเรียนต่อปริญญาโท คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดฝันไว้ว่า ถ้าฉันสอบติด ป.โท ฉันจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ พอสอบติด ดีใจ เพิ่งไปรายงานตัว ปรากฏ Channel V Thailand ก็เรียกไปสัมภาษณ์งาน กลายเป็นว่าจากชีวิตที่เคยว่างเปล่า ทั้งเรียนทั้งงานเข้ามาทุกอย่าง ลองทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ไม่กี่สัปดาห์ สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกงาน Channel V Thailand เพราะเรารู้สึกว่าเราสามารถเรียนรู้และศึกษาหาความรู้จากงานที่เราทำในประสบการณ์จริงได้
ช่วยเล่าชีวิตคนทำงานครีเอทีฟ เบื้องหลังความสนุกให้ฟังสักนิด
ครีเอทีฟเป็นงานที่เราใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก เพราะเราโตมากับรายการทีวี รายการวิทยุ พอ Channel V Thailand เขาถามว่าทำรายการเพลงญี่ปุ่นได้ไหม เราเป็นคนฟังเพลงทุกแนว ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ก็ตอบไปเลย ทำได้ และรายการ Japan Bravo คือรายการแรกที่เป็นครีเอทีฟ และมีข้อจำกัดคือ เข้าไปเริ่มงานต้องเป็นงานเลยนะ เราต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุด โดยดูจากรูปแบบรายการเดิมว่าเป็นอย่างไร เติมคอนเทนต์เข้าไปทั้ง 4 เบรก ช่วงแรกอัพเดตวงการเพลง ช่วงที่สองเล่นเกม ช่วงที่สามโฟนอินจากทางบ้าน ช่วงที่สี่เตรียมปิดรายการ ทั้งหมดเราต้องนั่งตีโจทย์ให้ออกโดยไม่มีใครมาสอน
แต่ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตเราเปลี่ยนมาจนทุกวันนี้เพราะทำ Trasher ควบคู่ จากนั้นแกรมมี่ก็เห็นผลงานเรา และมีโอกาสได้มาทำงานครีเอทีฟที่แกรมมี่ จนมาพบกับพี่ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทร ซึ่งยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี รอบข้างมีแต่คนเก่งๆ พอเราอยู่กับคนเก่งก็กลายเป็นว่าเขามอบโอกาสดีๆ ให้เรา ยอมรับว่าที่ผ่านมาเราเป็นคนไม่ค่อยวิ่งเข้าหาโอกาส แต่ว่าพอโอกาสเข้ามา เราจะไม่ทิ้ง ทุกวันนี้ก็พยายามทำให้ได้มากที่สุด เราจะได้รู้ว่างานไหนเราชอบ เราไม่ถนัด งานไหนเราอยากทำต่อ งานไหนเป็นตัวเรา และงานไหนท้าทายความสามารถของเรา
อยู่แกรมมี่เริ่มทำรายการ แตกฟองไลฟ์, Bang Room ช่อง Bang Channel สักพักมาอยู่รายการเทยเที่ยวไทย จากตำแหน่งครีเอทีฟ มีคนถามตลอดสมัยก่อนที่เป็นครีเอทีฟแล้วกล้องชอบจับ ถามว่าเจนนี่จดอะไรตลอดเวลา คำตอบคือ หนูจดงาน จดมุกที่พี่ๆ เขาเล่น เพราะรายการนี้เป็นรายการที่ไม่มีกรอบ กฎเกณฑ์ พิธีกรพร้อมจะออกนอกกรอบเสมอ (หัวเราะ) พอเราจดก็เหมือนกับเราเรียน กลายเป็นว่าตั้งแต่เทปแรกยันเทปสุดท้ายที่เป็นครีเอทีฟ เราก็จดทุกอย่างที่พี่ๆ เขาพูด แล้วก็เอามาทำงานต่อ เพราะเราคุมตัดต่อ ทำออกมาเป็นรายการ ซึ่งเป็นโอกาสที่เราได้เรียนรู้งานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในรายการเดียวกันที่มันเป็นรายการที่ไม่เหมือนใคร
ความแตกต่างจากวันที่เคยอยู่เบื้องหลังกับวันที่ได้มาอยู่เบื้องหน้า
รูปแบบของความกดดันมันต่างกัน อยู่เบื้องหลัง เรากดดันที่ต้องพยายามคิดหางานที่จะไม่ซ้ำเดิมเพื่อให้พิธีกรได้มีอะไรใหม่ๆ ออกมา แต่พออยู่เบื้องหน้าเราก็ต้องคิดสานต่อในสิ่งที่ครีเอทีฟเขาคิดมา ทำอย่างไรให้มันสนุกขึ้นไปอีก
พอมาทำงานครีเอทีฟ ทำพิธีกร ก็ยังไม่ทิ้ง Trasher
ไม่ทิ้งค่ะ เพราะอันนี้ก็เป็นรายได้หลักของครอบครัวอยู่ (หัวเราะ) มีทุกวันนี้ที่ปูทางมาก็คือ Trasher เป็นถนนเส้นแรกของเราที่ประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ได้เป็นถนนเส้นใหญ่หรือเป็นถนนที่เรียบง่ายมากนัก แต่ก็เป็นถนนที่ทำให้เราเจอโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตเสมอๆ ทุกวันนี้เหมือนมีบ้าน 2 หลัง หลังแรกคือ Trasher หลังที่สองคือแกรมมี่ ต่อให้ขนาดจะต่างกัน แต่เราเลือกอยู่ทั้งสองบ้าน ทุกวันนี้เป็นอิสระ ไม่ได้เซ็นสัญญากับใคร เพราะทุกบ้านก็ดูแลเราเหมือนคนในครอบครัวเหมือนกัน
สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อได้มายืนอยู่ตรงนี้
การได้รับ “โอกาส” คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด และยังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกมาก แต่ที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ บอกได้เลย “มีวันนี้เพราะพี่ๆ ให้” เมื่อเราได้รับโอกาสจากพี่โจโจ้ พี่ป๋อมแป๋ม และพี่ๆ ในวงการ ทำให้เรามีโอกาสเอนเตอร์เทนและสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้พยายามจะทำให้ใครมีความสุข แต่เราทำเพราะเราชอบเอง ทุกวันนี้เดินๆ อยู่ก็ชอบมีคนมาขอ “เล่นตลกให้ดูหน่อย” แต่บางทีเราก็เลือกสร้างความสุขให้เขาโดยการด่ากลับไปนะคะ เขาก็หัวเราะชอบใจ
มองย้อนกลับไป เคยคิดไหม ทำไมคนไทยชอบความบันเทิง ชอบความสนุก
มันอยู่ในเพลงชาติของเราแล้ว ไทยนี้รักสนุก แต่ถึงรบไม่ขาด คนไทยต้องบันเทิงมาก่อน ง่ายๆ แม้แต่งานศพ งานที่มีการสูญเสีย คนไทยก็ยังมีความรื่นเริงอยู่ในงานที่โศกเศร้า แถวบ้านเจนนี่ก็หากิจกรรมบันเทิงๆ มาเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า เช่นการเล่นหนังตะลุง หรือตั้งวงคิดเลข เจนนี่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่เป็นพลังหรือแรงขับเคลื่อนให้แต่ละคนมีชีวิตต่อไป หลายคนพอสนุกแล้วก็อยากจะใช้ชีวิตต่อ อยากจะทำงานต่อ พอได้ทำอะไรที่สนุกๆ แล้วมันก็เป็นตัวขับเคลื่อนให้เรามีชีวิตที่ดี มีมุมมองที่ดีมากขึ้นด้วย
ชีวิตคนเรา ถ้ามัวมีแต่เรื่องดราม่าตลอด ไม่มีความบันเทิง ชีวิตก็จะไม่ได้ไปไหนเลย แต่ถ้าหยิบความสนุกในตัวเองแล้วถ่ายทอดความสุขออกมาให้คนอื่น ความสนุกจะพาทั้งเราและคนรอบข้างเดินไปข้างหน้าได้อีกหลายก้าวเลยละ
เรื่อง : พริบตา
ภาพ : เนาวรัตน์ บุญวิภาส / IG : jennie_panhan