Queen วงระดับตำนานผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยจังหวะอันเร้าใจ ดนตรีที่แหวกขนบนำเพลงโอเปร่ามาผสานกับเพลงร็อก จนกลายเป็นสไตล์เพลงอันเป็นอมตะ ส่งผลให้ชื่อของวง Queen เปรียบดั่งราชาในคราบของราชินีของวงการดนตรีและก้าวข้ามยุคสมัยมาไกลถึงศตวรรษนี้ ดังที่เคที่ เพอร์รี่ ถึงขั้นกล่าวว่า “เฟรดดี เมอร์คิวรี เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่สุดของฉันเสมอมา ส่วนผสมระหว่างการเขียนเนื้อเพลงเชิงเสียดสีและทัศนคติแบบ ‘ช่างมัน!’ ของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้งานดนตรีของฉัน”
เซาธอลล์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวงการดนตรีและดนตรีร็อกระดับตำนานของเกาะอังกฤษ กล่าวถึงวง Queen ว่าเป็นวงประเภทที่ “พวกเขาไม่ยอมทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ” สมาชิกในวงต่างมีการวางแผนเส้นทางอาชีพของตนในทุกๆ แง่ รวมถึงการทำตลาดให้งานดนตรีของตัวเองทั้งภาพลักษณ์การแต่งกายขึ้นเวที เขาใส่ชุดกิโมโนผ้าไหม กางเกงขาสั้นและสายเอี๊ยมสีแดง เสื้อรัดรูป ซึ่งนับว่าล้ำมากในยุค 70s “พวกเขาฉลาดล้ำและรู้ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร”
BOHEMIAN RHAPSODY เล่าเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาของวง Queen จากจุดตั้งต้นเมื่อสมาชิกวงยังเป็นนักศึกษาหนุ่มของวิทยาลัยในลอนดอน ไปจนถึงจุดสูงสุดของการเป็นร็อกสตาร์ระดับโลก ทั้งยังได้เล่าถึงชีวิตส่วนตัวอันซับซ้อนและน่าสะเทือนใจของเฟรดดี เมอร์คิวรี ฟรอนต์แมนของวงกับรักแรกหญิงสาว รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนในชีวิตของเขา ขนานไปกับการเติบโตของวงดนตรี และการต่อสู้กับโรคเอดส์ของเฟรดดีในเวลาต่อมา ผ่านสายตาของผู้กำกับที่มองว่าเขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง…
ปี 2014 หนังฟอร์มเล็กแต่เต็มไปด้วยแรงสะท้านอย่าง Whiplash ผลงานโดยผู้กำกับหนุ่ม เดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) ที่สร้างเสียงฮือฮาและเสียงรัวกลองได้อยู่หมัด ปี 2016 ผู้กำกับคนเดิม เพิ่มเติมคือความหวาน เขาชวนไรอัน กอสลิง และเอ็มมา สโตน มาเจ๊อะกันอีกครั้ง (Gangster Squad และ Crazy, Stupid, Love) พร้อมถ่ายทอดหนังที่เล่าถึงเส้นทางความฝันของคนวัยหนุ่มสาวผ่านเรื่องราวของดนตรี แต่เป็นมุมโรแมนติกมากกว่า หนังเล่าถึงเซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) หนุ่มนักเปียโนแจ๊สที่ดิ้นรน เขามีโอกาสพบรักกับมีอา (เอ็มมา สโตน) นักแสดงสาวดาวรุ่งที่โดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ แต่แล้วพวกเขาทั้งคู่กลับพบว่า การไล่ล่าความฝันของตัวเองเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากกว่าความรักที่มีให้กัน เมื่อความฝันตัวใหญ่กว่าคนรักอีกคน ความสัมพันธ์เห็นทีต้องจบ หนังให้อารมณ์แบบหนังเพลงฮอลลีวูดสไตล์ดั้งเดิม มุมมองกล้องที่ไหลเอื่อยที่ใช้ดนตรีเป็นตัวบอกเล่าอารมณ์ของหนัง อันเป็นเสน่ห์แบบหนังเพลงยุคก่อนๆ เขาละ
เมื่อนิตยสารชื่อดัง LIFE ถึงวาระต้องปิดตัว และฟิล์มเนกาทีฟ หมายเลข 25 โดยช่างภาพอันดับหนึ่งของนิตยสารที่เตรียมพร้อมจะเป็นภาพปกได้หายไป การออกผจญภัยครั้งสำคัญของวอลเตอร์ มิตตี้ (เบน สติลเลอร์) จึงเริ่มต้นขึ้น
มิตตี้เป็นหัวหน้าแผนกฟิล์มที่ทำงานอย่างมุ่งมั่น วันๆ อยู่แต่ในออฟฟิศ ได้เห็นโลกภายนอกผ่านฟิล์มที่เขาต้องล้างเท่านั้น และเมื่อเขายืนกรานว่าจะต้องใช้รูปที่ดีที่สุดเพื่อการปิดตัวอย่างงดงามของเขา เขาจึงต้องออกเดินทางเพื่อไปตามหาช่างภาพฌอน โอคอนแนล (ฌอน เพนน์) และถามหาเอาฟิล์มที่หายไปมาให้ได้ หนังได้พาเราออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่แปลกตา มิตตี้ได้เจอผู้คนมากมายที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบ ได้สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่าง ท่ามกลางความเบื่อหน่ายในชีวิตคนทำงาน มิตตี้ใช้การเดินทางเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือค้นหาตัวตน การรู้จักผู้คนอันแปลกใหม่ ไปจนถึงโมเมนต์ที่ได้พบเสือหิมะ เมื่อเขาประจักษ์ด้วยดวงตา ของเขาเองเพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกไว้ในความทรงจำ
ขอพูดถึงผู้กำกับคนเดิมเสียหน่อย เดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) เล่าถึงความฝันของมือกลองในวงออเคสตราเรื่องราวของแอนดรูว์ (รับบทโดยไมลส์ เทลเลอร์ จาก Divergent) มือกลองหนุ่มวัย 19 ปีที่ต้องการเป็นมากกว่าฉากหลังในวงดนตรี โดยความฝันในการเป็นมือกลองระดับโลกก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาถูกค้นพบโดยเทอเรนซ์ เฟลชเชอร์ (เจเค ซิมมอนซ์) ครูสอนดนตรีที่มีวิธีการสอนที่เข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นถึงพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวเด็กคนนี้ ถ้าใครสักคนต้องการพิสูจน์ตนเอง คุณจะพบคำตอบจากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า การพิสูจน์ตนเองบางครั้งต้องแลกมาด้วยการลงมือทำอย่างจริงจัง ถูกเคี่ยวกรำ และรับความกดดันสุดขีดขั้นให้ได้