แต่ละภูมิภาคทั่วโลกล้วนมีความเชื่อและเรื่องลี้ลับอธิบายได้ยาก และมีเรื่องเล่าที่ซ่อนไว้เบื้องหลังยิ่งค้นยิ่งเจอแนวคิดและเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกันบางเรื่องก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
Muse Latitude จะพาคุณไปสำรวจ 5 แนวคิดความเชื่อ ชนิดไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่ 5 เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราว 5 ความเชื่อสุดโด่งดังทั่วโลก
1. “คำสาปฟาโรห์” เรื่องเล่าลี้ลับจากสุสานอียิปต์
ว่ากันว่าผู้ใดที่เข้าไปทำความไม่พอใจให้มัมมี่ของชาวอียิปต์ หรือหยิบสิ่งของ เศษซากปรักหักพังในสุสานติดตัวมา ผู้นั้นจะต้องคำสาป ยิ่งหากสร้างความรบกวน ขุ่นข้องหมองใจให้กับ “ฟาโรห์” คำเรียกกษัตริย์ทุกพระองค์ของอียิปต์โบราณ จะทำให้ต้องคำสาปที่อาจทำให้ถึงแก่ความตาย โดยเฉพาะกับสุสานของยุวฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen) ฟาโรห์แห่งแดนไอยคุปต์ ที่เชื่อกันว่าคำสาปจารึกไว้ เพื่อไม่ให้ใครมาแตะต้องทองคำและสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในกว่า 5,000 ชิ้น
ในปี ค.ศ.1922 โลกก็ได้รู้จักชื่อโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษวัย 48 ปี ผู้คนพบสุสานของยุวฟาโรห์ตุตันคาเมนที่มาของเรื่องลี้ลับนับตั้งแต่ทีมขุดเข้าไปสำรวจสุสานซึ่งได้แก่ การเสียชีวิตของลอร์ดคาร์นาร์วอน (Lord Carnarvon) นายทุนที่สนับสนุนการค้นหาและเปิดสุสานหลังค้นพบได้ไม่นานตามด้วยการเสียชีวิตของทีมขุดที่ทยอยล้มหายตายจาก ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ขุดสำรวจ คนที่เชื่อในเรื่องลี้ลับของอียิปต์มองว่าไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ ส่วนโฮเวิร์ด คาร์เตอร์อยู่ต่อไปจนเสียชีวิตในวัย 64 ปี ได้รับการยอมรับในฐานะนักโบราณคดีเลื่องชื่อที่ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจเรื่องอียิปต์โบราณ ขนาดกูเกิลต้องสร้างดูเดิลรำลึกให้มาแล้ว
ถ้าพูดถึงนักโบราณคดีอียิปต์วิทยายุคใหม่ชื่อก้องโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังเคยเดินทางมาประเทศไทย ต้องเป็น ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ (Dr.Zahi Hawass) ชาวอียิปต์ ผู้เคยบอกเล่าความฝันหลังการย้ายสองมัมมี่เด็กที่ขุดพบแยกจากมัมมี่ของผู้เป็นพ่อ โดยเขานำสองมัมมี่ออกไปเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของโอเอซิส ในฝันเขาเห็นเด็กในผ้าลินินแถมยังยื่นมือมาบีบคอ หลายคืนซ้ำๆ ทำให้เกิดความคิดย้ายมัมมี่ผู้เป็นพ่อมาตั้งไว้คู่กัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ฝันถึงเหตุการณ์นี้อีกเลย
เรื่องราวลี้ลับแนวคำสาปฟาโรห์และมัมมี่ ต่อมากลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายลี้ลับ แอคชั่น สยองขวัญ ทหลายเรื่องกลายมาเป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ ว่าด้วยชาวอังกฤษหรือชาวตะวันตกที่เข้าไปรุกล้ำสุสานทำให้พระศพของฟาโรห์ขุ่นเคือง และชื่อ “คำสาปฟาโรห์” เองยังเป็นชื่อมังงะที่ได้รับรางวัลโชกากุกันมังงะอะวอร์ดและเป็นมังงะมีชื่อเสียงขายดีตลอดกาลของแดนอาทิตย์อุทัยในฐานะการ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ที่ให้ “แครอล”นางเอกของเรื่องมีเหตุกลับเข้าไปในอียิปต์ยุค 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เขียนโดย อาจารย์โฮโซกาวะ จิเอโกะ (Chieko Hosokawa) ตั้งแต่ปี 2519 ที่จนถึงปัจจุบันยังไม่จบ
แหล่งที่มา
2. “ตาข่ายดักฝัน” เครื่องรางดักฝันร้ายของชาวอเมริกันพื้นเมือง
งานทำมือห่วงกลมๆ ที่ทำจากต้นไม้ประเภทหลิวนำมาดัดให้กลมโค้ง มีตาข่ายที่ถักทอคล้ายใยแมงมุม มีขนนกประดับสำหรับห้อยแขวนแบบโมบายสวยงาม นี่คือคำอธิบายเครื่องรางของขลังสุดโรแมนติกอย่าง Dream Catcher หรือตาข่ายดักฝันซึ่งมีที่มาจากชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกาที่กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลกหาซื้อได้จากเพจของแฮนด์เมดวินเทจetsy.comตลาดนัดจตุจักรและถนนข้าวสาร
ความโรแมนติกของเครื่องรางชิ้นนี้เริ่มตั้งแต่การใช้วัสดุที่ชนเผ่า Ojibwa Chippewa หาได้จากธรรมชาติ นำมาขึ้นเป็นชิ้นงาน ต่อด้วยนำไปผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ก่อนมอบให้เด็กเกิดใหม่เพื่อดูแลคุ้มครองเด็กๆ จากฝันร้ายให้หลับสนิทตลอดคืน แต่ละส่วนของเครื่องรางนี้ที่เชื่อมโยงกับโลกธรรมชาติ รูปวงกลมของห่วงเป็นตัวแทนวงกลมของชีวิต เชื่อมโยงกับวงโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และเชื่อว่าเส้นใยที่ถักทอคือตาข่ายจับความฝันอันมืดมิดในตอนกลางคืนและขับไล่ฝันร้ายนั้นออกไปทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
คำที่ชาว Ojibwa Chippewa ใช้เรียกตาข่ายดักฝัน คือ “asabikeshiinh” ซึ่งแปลว่า “แมงมุม” ความหมายนี้เกี่ยวข้องกับเส้นด้ายที่ถักทอหลวมๆ ที่กลางห่วง และยังเป็นวิธีที่เหมือนกับการร้อยเชือกรองเท้าย่ำหิมะของชนเผ่านั่นเอง ตาข่ายนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องในตำนานว่าด้วยแม่แมงมุม หรือ Spider Woman ที่ต้องการปกป้องเด็กและทารกของเผ่า ที่ต่อมาเมื่อชนเผ่าอพยพไปไกล ทำให้ Spider Woman ยากที่จะปกป้องเด็กๆ ทั้งหมด จึงเริ่มสร้างตาข่ายดักฝันอันแรก จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คนเป็นแม่ในชนเผ่าเริ่มทำตาข่ายดักฝันด้วยตัวเองแล้วแขวนไว้ข้างเตียงของเด็กๆ
แหล่งที่มา :
3. “ด้ายแดง” ในตำนาน เครื่องรางขอคู่คนโสดในฮ่องกง
ด้ายไม่แดงไม่มีแรงเดิน คือสิ่งที่อธิบายความตั้งใจที่อยากมีคู่ได้ดีที่สุด เพราะชาวตะวันออกที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อจากจีนเชื่อว่าเมื่อเราเกิดมาจะมีด้ายแดงที่มองไม่เห็นผูกเราอยู่กับเนื้อคู่ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ ทำให้สาวๆ หลายคนกดจองตั๋วเดินทางไปฮ่องกงเพื่อไปวัดหวังต้าเซียน (Wong Tai Sin Temple) นอกจากไปสักการะเทพหวังต้าเซียนและเทพเจ้าจีนหลายองค์แล้ว คนโสดร้อยทั้งร้อยยังมีเป้าหมายหลักสำคัญ คือ การขอพรความรักจากเทพเจ้าด้ายแดง หรือเทพเจ้าหยกโหลว ศักดิ์สิทธิ์เรื่องคู่ ทำเอาทั้งชาวฮ่องกง ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวไทยที่ทั้งโสดและอยากมีคู่หรือมีคู่แล้วอยากให้ความรักดีขึ้นไปอีก หลั่งไหลเดินทางกันมาขอพร
เทพเจ้าแห่งด้ายแดงนั้นมีหลายชื่อเรียก นอกจากเทพเจ้าหยกโหลว เทพเจ้าแห่งจันทรา และผู้เฒ่าแห่งดวงจันทร์แล้ว ยังรวมถึง The Old Man from the Moon ตามคำเรียกแบบตะวันตก ตำนานจีนเล่าว่าหลังคู่ครองของผู้เฒ่าท่านหนึ่งจากโลกนี้ไปอยู่บนสวรรค์ ผู้เฒ่าได้สวดมนต์ขอเทพให้เขาได้ขึ้นไปอยู่กับคนรัก จนทำให้ได้ขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ คอยทำหน้าที่จดรายชื่อคู่รักที่จะได้รับคำอวยพรให้อยู่คู่กันอย่างมีความสุข ก่อนกลายเป็นที่มาของความเชื่อในปัจจุบัน
มีตำนานที่เล่าต่อหลังจากที่ผู้เฒ่าได้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งจันทราว่า ผู้เฒ่าแห่งดวงจันทร์ได้บังเอิญพบกับหนุ่มรูปงาม “เหวยกู่” หนุ่มรูปงามมีชาติตระกูล ซึ่งเป็นช่วงเวลาในสมัยราชวงศ์ถัง เขาได้ซักถามเกี่ยวตำราการแต่งงานชาวโลกที่ผู้เฒ่าแห่งดวงจันทร์กำลังอ่าน แต่กลับไม่เชื่อ จึงลองถามถึงเนื้อคู่ของตนดูบ้าง ผู้เฒ่าจึงได้พาเขาไปดูเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมม ด้อยฐานะในตลาด ก่อนหายตัวไป ทำให้เหวยกู่โกรธหนัก และว่าจ้างให้คนรับใช้ในบ้านสังหารเด็กน้อยคนนั้น ก่อนจะทราบว่าภรรยาของตนซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าเมืองคือเด็กน้อยคนเดียวกัน โดยที่เธอรอดชีวิตมาได้จากความเมตตาของคนรับใช้ที่ฝากไว้เพียงรอยแผลที่ทำให้รู้ว่าเธอคือเด็กน้อยตัวจริง จากนั้นมีบุญวาสนาได้เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าเมืองที่ขอรับเลี้ยง เรื่องราวนี้ทำให้เหวยกู่ศรัทธาในเฒ่าแห่งดวงจันทร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับการขอพรกับเทพเจ้าด้ายแดงต้องใช้ด้ายแดงผูกนิ้วเอาไว้ไม่ให้หลุดระหว่างพิธีเด็ดขาด ไหว้เสร็จแล้วยังสามารถซื้อด้ายแดงที่มีจำหน่ายติดตัวกลับบ้านเอาฤกษ์เอาชัย เสริมดวงเรื่องคู่ ในเวลาเดียวกันความเชื่อเรื่องด้ายแดงที่เป็นสัญลักษณ์เนื้อคู่ของจีนยังส่งต่อมาถึงประเทศญี่ปุ่น
จากเดิมชาวจีนเชื่อว่าด้ายแดงของเนื้อคู่ผูกติดอยู่ที่ข้อเท้า แต่ในความเชื่อของญี่ปุ่นเปลี่ยนไปเป็นผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของทั้งสองคน ที่ทำให้หลายคนนึกถึงภาพยนตร์อนิเมะแนวจินตนิมิตเรื่องดัง Your Name หรือ Kimi no Na wa ผลงานการกำกับของมาโกโตะ ชินไคที่มีสัญลักษณ์ของด้ายแดงปรากฏอยู่ และที่ศาลเจ้ามุสุบิโนะอิโตะในญี่ปุ่นก็มีด้ายแดงที่ช่วยคุ้มครองเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ของเพื่อน ครอบครัวและคู่รักให้ได้ซื้อหากลับไป แม้เรื่องราวเทพเจ้าจะต่างกันออกไป
แหล่งที่มา :
4.“นาซาร์ (Nazar)” เครื่องรางดวงตาสีฟ้าตุรกี จ้องมา-จ้องกลับไม่โกง
ไม่ว่าประเทศไหน ภูมิภาคไหนของโลกย่อมมีความเชื่อโชคลางที่กำเนิดเมื่อหลายพันปีก่อน อย่างน้อยก็เพื่อขจัดปัดเป่าความกลัวที่เกิดจากธรรมชาติและสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น แต่มองเราอยู่ก็เป็นได้! เช่นเดียวกับประเทศตุรกี ประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและประเทศตะวันออกกลาง มีวัฒนธรรมใกล้เคียง ที่มีเครื่องรางดวงตาสีฟ้า หรือนาซาร์ (Nazar) ช่วยขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป สอดรับกับความเชื่อที่ว่าอาจมีดวงตาชั่วร้ายกำลังจ้องเขม็งด้วยความอิจฉาอาฆาตมาดร้าย จนทำให้รู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด หรือโชคไม่ดี
คำว่า Nazar มาจากภาษาอารบิกที่มีความหมายว่า การมองเห็น การเฝ้าระวัง ความสนใจ มักทำจากแก้วสีฟ้า มีวงกลมสีขาวและสีดำประดับตรงกลางเป็นสัญลักษณ์รูปตาชัดเจน ชาวตุรกีส่งต่อวิธีการสร้างสรรค์เครื่องรางนี้มาหลายยุคหลายสมัย ถูกนำไปวาดเป็นดวงตาบนหัวเรือที่ใช้ทำประมงในอดีต และแขวนใกล้ประตูหรือหน้าต่างบ้านเพื่อความปลอดภัยและป้องกันสิ่งร้ายๆ ที่อาจเข้ามา
ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนาซาร์หลายเรื่องด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของแม่ชาวตุรกีที่ให้กำเนิดทารกตัวน้อย แก้มชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ด้วยเพราะเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมกล่าวถึงทารกด้วยถ้อยคำที่มีแต่ความชื่นชมถึงความน่ารักและสุขภาพ
ไม่ว่าจะเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ ทารกเริ่มป่วยในสัปดาห์ต่อมา นั่นทำให้ผู้เป็นแม่นึกถึงนัยน์ตาปีศาจที่อาจจ้องมองอยู่ และเลือกที่จะกลัดเข็มกลัดเล็กๆซ่อนปลายที่ประดับด้วยนาซาร์บนเสื้อผ้าของลูกน้อย ด้วยความเชื่อที่ว่านาซาร์จะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายไปจากคนในครอบครัว และหากนาซาร์เกิดรอยร้าว นั่นแสดงถึงว่าเครื่องรางของขลังชิ้นนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งหลังจากนั้นต้องเปลี่ยนชิ้นใหม่ทันที
หากถามว่าคนตุรกียังใช้เครื่องรางนี้ในชีวิตประจำวันอยู่หรือเปล่า คำตอบคือ พวกเขายังมีนาซาร์ชิ้นเล็กๆ ติดตัว วางบนโต๊ะทำงาน หรือมีติดบ้าน โดยหาซื้อได้ในตลาด ร้านเครื่องประดับ แหล่งท่องเที่ยว สนามบิน ทั้งในรูปแบบของเครื่องประดับ พวงกุญแจ ของตกแต่งบ้านเพื่อสื่อความหมายถึงความโชคดี ความสงบ และความปลอดภัย แขวนอยู่ในรถแท็กซี่ ประดับเป็นลายเครื่องบินพาณิชย์ และแม้แต่ในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและยอดวิว และที่เมืองแคปพาโดเชีย นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปเที่ยวชมต้นไม้ที่ห้อยสัญลักษณ์นาซาร์เอาไว้เต็มต้นเพื่อปัดเป่าโชคร้าย จนกลายเป็นหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเมื่อได้ไปเยือนประเทศตุรกี
5. กุมารทอง เครื่องรางของขลังสุดฮิตเมืองไทย
ไม่มีใครไม่รู้จักกุมารทอง เครื่องรางของขลังที่มีมายาวนานหลายร้อยปีที่ถือเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของสังคมไทย เมื่อพูดถึงกุมารทอง คนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึงภูตผีวัยเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง คอยช่วยเหลือผู้เลี้ยงอย่างเต็มความสามารถตามความตั้งใจไว้ใช้งานที่ส่วนใหญ่เป็นกุมารทองที่ให้คุณด้านเมตตามหานิยม ไม่ใช้เพื่อทำร้ายศัตรู
กุมารทองปลุกเสกจากวิญญาณของเด็กชาย หากเป็นหญิงจะเรียกโหงพราย ผ่านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์โดยผู้มีอาคมคาถา ที่แรกเริ่มในสมัยโบราณต้องมาจากผู้หญิงที่ตายทั้งกลม หรือลูกเสียชีวิตในท้องของแม่ที่เสียชีวิตเท่านั้น จากนั้นผ่าศพเด็กออก ย่างไฟให้แห้งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วจึงปิดทอง ซึ่งเป็นที่มาของคำเรียก กุมาร “ทอง” นั่นเอง ความเชื่อในการปลุกเสกกุมารทองนั้นยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แต่ขั้นตอนดั้งเดิมที่นำศพของเด็กมาปลุกเสกนั้นผิดต่อกฎหมาย ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนและลดทอนขั้นตอนต่างๆ อย่างการนำดินจาก 7 ป่าช้ามาปั้นเป็นรูปกุมารทองเด็กแทน เช่น การสร้างกุมารทองวัดมหาบุศย์ ที่สร้างด้วยดิน 7 ป่าช้า ผสมผงพรายกุมารผสมกับผงอิทธิเจและปถมัง แล้วปลุกเสก ที่ว่ากันว่าเมื่อเซ่นไหว้อย่างดีจะมีคุณสูง (โปรดใช้วิจารณญาณ)
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือความเชื่อและการปรากฏตัวของตัวละครกุมารทองในงานวรรณคดีไทยสมัยอยุธยาอย่าง “ขุนช้าง-ขุนแผน” ที่มีเรื่องราว“กำเนิดของกุมารทอง” ว่าด้วยเหตุการณ์ขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ เมียที่คิดจะวางยาฆ่าตน จากนั้นได้คว้านท้องเพื่อนำบุตรชายภายในท้องนั้นมาทำเป็นกุมารทอง เพื่อใช้งานและช่วยเหลือในการสู้รบกับศัตรู ซึ่งนับได้ว่าเป็นตอนที่สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับกุมารทองในมุมมองเครื่องรางของขลังในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
ส่วนในเรื่องการค้าขาย ผู้ที่บูชาเชื่อว่ากุมารทองเป็นผู้ช่วยและมีจิตวิญญาณการขายที่ดีเยี่ยม ยิ่งหากผ่านการปลุกเสก จากครูบาอาจารย์ที่มีคาถาอาคมแก่กล้าด้วยแล้ว กุมารทองอาจเข้าไปแฝงอยู่ในจิตความคิดของผู้คนได้ และดลใจให้คนเข้ามาซื้อของแม้ไม่ได้เตรียมตัวมา ส่วนของบูชา ยังไงก็ต้องเป็นน้ำแดง
แหล่งที่มา :
เรื่อง: ณัชชา