ในโลกที่เราใช้พลังงานสมองมากกว่ากาย เซลล์ประสาทพัฒนาจนเรียนรู้ได้เร็ว สร้างสรรค์ และฉลาดขึ้น ขณะที่สมองถูกใช้งานจนหยุดคิดแทบไม่ได้ จิตใจวิ่งวนไปตามสิ่งเร้า โลกออนไลน์และออฟไลน์ที่ความเร็วคือชัยชนะ
ชะลอความเร็ว ปลดภาระและพันธนาการไปผ่อนคลายกับ 5 ศาสตร์บำบัดยอดนิยมของคนทั่วโลกที่ไม่ว่าจะป่วยกาย ป่วยใจ หรือคนทั่วไปก็เข้าถึงได้ เพราะนอกจากจะช่วยฟื้นฟูกำลังวังชายังมีพลังเยียวยาลึกไปถึงจิตวิญญาณ
1. Keep Calm and Hug A Cow
กระตุ้นฮอร์โมนแห่งรัก “กอดวัวบำบัด” เทรนด์เยียวยาล่าสุดจากฮอลแลนด์
นอกจากวัวเป็นสัตว์กอดอุ่น ยังมีฤทธิ์เยียวยามนุษย์อย่างเหลือเชื่อ! “กอดวัวบำบัด” (Koe Knuffelen) เทรนด์สุขภาพจิตล่าสุดจากฮอลแลนด์ ด้วยอุณหภูมิเลือดที่อุ่นกว่ามนุษย์ อัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่า ไซส์ใหญ่โตจนโอบไม่มิด สร้างประสบการณ์การกอดที่ทำให้มนุษย์ผ่อนคลายและสงบลง ซ้ำยังมีผลวิจัยว่าการกอดวัวช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนแห่งรัก ปกติจะหลั่งขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อเราโอบกอดใครสักคน มันช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัย อบอุ่น มองโลกในแง่ดี และเชื่อมโยงกับสังคมได้ดีขึ้น
กิจกรรม “กอดวัวบำบัด” เริ่มด้วยการพาผู้รับการบำบัดเดินชมฟาร์ม ทำความรู้จักสัตว์น้อยใหญ่ให้คุ้นเคย จากนั้นจึงปล่อยให้ใช้เวลากับวัวตัวใดตัวหนึ่ง 2-3 ชั่วโมง ผ่านการลูบไล้ แปรงขน พูดคุย โอบกอด และนอนพิง ระหว่างคลาสผู้บำบัดจะคอยดูปฏิกิริยาของวัวว่าอารมณ์คงที่และเป็นมิตรกับผู้รับการบำบัดหรือไม่ แม้วัวจะเป็นสัตว์รักสงบ ยอมให้มนุษย์เข้าใกล้ได้ง่าย แต่ก็ใช่ว่าทุกตัวจะยอมให้กอด
วัวที่มีบุคลิกเหมาะกับการบำบัดส่วนใหญ่จะมีนิสัยอดทน เป็นวัวอายุมาก ตัวไหนขี้อิจฉาต้องอยู่ให้ไกลเพราะมักทำตามใจตัวเอง จริงๆ แล้ววัวก็เหมือนคนที่ไม่ชอบการถูกคุกคาม ผู้บำบัดจึงต้องแนะนำวิธีการเข้าถึงวัวโดยที่พวกมันไม่รู้สึกถึงการบังคับ ไม่เช่นนั้นมันอาจลุกหนีออกไปเลย สิ่งสำคัญคือ คุณต้องรู้จักปล่อยวางและผ่อนคลาย วัวเป็นสัตว์ที่รับรู้ความรู้สึกมนุษย์ได้เร็วและตอบสนองกลับมาในทางเดียวกัน
ทุกวันนี้ฟาร์มหลายแห่งในรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของฮอลแลนด์ รวมถึงฟาร์มในสวิสเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา เริ่มมีบริการบำบัดสุขภาพจิตจากวัวแถมยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สามารถเชื่อมโยงชีวิตเมืองให้เข้ากันกับชีวิตในชนบทได้อย่างดี
อ้างอิง
ภาพประกอบ : https://www.independent.co.uk/arts-entertainment/cow-cuddling-america-netherlands-therapy-a9007096.html
ภาพประกอบ : https://people.com/pets/cow-hugging-therapy-wellness-tren
2.“อาบเสียงฆ้อง” คลื่นเสียงโบราณ พลังแห่งการเยียวยาคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ล้วนมีคลื่นความถี่เฉพาะของมัน
คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ล้วนมีคลื่นความถี่เฉพาะของมันเอง เมื่อใดที่ความถี่แปรปรวน อาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยทางร่ายกายและจิตใจ “การบำบัดด้วยคลื่นเสียง” จึงถูกใช้เพื่อปรับสมดุลกับผู้ที่เผชิญภาวะซึมเศร้า เครียดวิตกกังวล เจ็บปวดจากบาดแผล จนถึงสภาวะสมองเสื่อมและออทิสติก
ฆ้องถูกใช้ในงานเฉลิมฉลองและเป็นเครื่องมือบำบัดในยุคโบราณ 4,000-16,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ปัจจุบันเสียงฆ้องเป็นที่สนใจในฐานะการบำบัดเยียวยาเทคนิคใหม่ ทำให้ร่างกายสดชื่น คลายตึงเครียด การอาบเสียงฆ้องเสมือนการอาบคลื่นเสียงที่เข้าไปชำระล้างภายในร่างกาย คลื่นเสียงความถี่ต่ำทำให้สมองสงบลง เมื่อทุกส่วนผ่อนคลายจนเข้าสู่ภาวะหลับลึก เมื่อนั้นร่างกายจะเริ่มเยียวยาตัวเอง
การอาบเสียงฆ้องเริ่มจากการนอนบนเสื่อโยคะ ห่มผ้า หนุนหมอนสบายๆ และหลับตา จากนั้นนักบำบัดจะตีฆ้องบรรเลงยาวนาน 1-1.30 ชั่วโมง สังเกตได้ว่าเมื่อเราผ่อนคลาย อุณหภูมิตัวเราจะเริ่มลดลง ยิ่งผ่อนคลายเท่าไร การบำบัดยิ่งมีประสิทธิภาพ ทุกวันเราต้องเผชิญตัวแปรมากมาย เช่น ความโกรธ การบาดเจ็บ ความตึงเครียด ล้วนมีผลต่อร่างกาย อารมณ์ ทำให้คลื่นความถี่สมองนั้นผันผวนอยู่เสมอ คลื่นความถี่ที่เสถียรของฆ้องจะปรับจูนความถี่ร่างกายให้สมดุล สำหรับบางคนที่เพิ่งเริ่มทำสมาธิอาจไม่คุ้นเคยกับความเงียบ เสียงฆ้องจะเข้ามาช่วยพยุงให้การทำสมาธิมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ส่วนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีข้อมูลสนับสนุนว่า การบำบัดผ่านเสียงช่วยเยียวยาสุขภาพและภาวะไม่สมดุลต่างๆ ได้ เช่น โรควิตกกังวล ความเครียด ความเจ็บปวด อารมณ์ผันผวน ความหดหู่ ความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรม ช่วยพัฒนาความจำและสมาธิ ช่วยให้หลับลึก เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล ใครสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ เพราะในประเทศไทยก็เริ่มมีคลาสอาบเสียงฆ้องบำบัดให้ได้ทดลองกัน
อ้างอิง
https://triyoga.co.uk/blog/yoga/gong-bath-for-beginners
https://www.truerelaxations.com/gong-baths-sound-healing
ภาพประกอบ : https://www.truerelaxations.com/gong-baths-sound-healing
3.NLP สะกดจิตบำบัด
ปรับพฤติกรรมและความคิดจากจิตใต้สำนึก
ค้นหาเหตุแห่งทุกข์เพื่อคลี่คลายปัจจุบัน Neuro-Linguistic Programming (NLP) หรือ สะกดจิตบำบัด ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์หรือพลังเหนือธรรมชาติ แท้จริงแล้ว NLP คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ควบรวมองค์ความรู้ทางจิตวิทยากับภาษาศาสตร์เข้าด้วยกัน
การสะกดจิตบำบัด คือ กระบวนการสื่อสาร โดยนักบำบัดสร้างเงื่อนไขทางจิตวิทยาเพื่อทำให้ระบบประสาทรับรู้ของผู้รับการบำบัดพร้อมฟังคำแนะนำในระดับจิตใต้สำนึก เป้าหมายคือให้รู้จักและเข้าใจตนเองว่าอะไรที่ทำให้คิดและทำอย่างทุกวันนี้ ก่อนเข้าสู่การปรับเปลี่ยนจิตใต้สำนึก ความคิด และพฤติกรรมที่อยากแก้ไข ขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นความสำเร็จในอดีต เสาะหากระบวนการเพื่อมาปรับใช้ในอนาคต นักบำบัดเชื่อว่าผู้ป่วยล้วนมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว นักบำบัดเพียงช่วยดึงเอาคำตอบเหล่านั้นออกมาเท่านั้นเอง
NLP ใช้ได้ผลกับผู้ที่มีภาวะแบบไหน
นักบำบัด NLP ต้องศึกษาและวิเคราะห์มุมมองของผู้รับการบำบัด เพื่อทำความเข้าใจว่าความคิดและพฤติกรรมต่างๆ เกิดจากอะไร ตัวอย่างการใช้ NLP เพื่อแก้ปัญหาทั้งทางกายภาพและจิตใจ เช่น
1. การสะกดจิตเพื่อควบคุมน้ำหนัก : ช่วยแก้ไขพฤติกรรมเคยชินในการรับประทานอาหาร และเปลี่ยนทัศนคติในการออกกำลังกาย
ปัจจุบัน NLP ถูกใช้ในหลากหลายวงการ เช่น การให้คำปรึกษา การแพทย์ กฎหมาย ธุรกิจ ศิลปะ การแสดง กีฬา การทหาร และการศึกษา หากใครสนใจการสะกดจิตบำบัด หรือ NLP ก็มีการบำบัดในเมืองไทยแล้วเช่นกัน
อ้างอิง
https://thaihypnosis.com/Content/page/NLP
https://www.psychologytoday.com/us/therapy-types/neuro-linguistic-programming-therapy
https://www.goodtherapy.org/learn-about-therapy/types/neuro-linguistic-programming
ภาพประกอบ : https://web.facebook.com/ปลดล็อคชีวิตด้วยสะกดจิตบำบัด
4.ART THERAPY ศิลปะคือยาวิเศษ
หลายคนเข้าใจว่าการทำงานศิลปะกับศิลปะบำบัดคือสิ่งเดียวกัน แน่นอนว่าระหว่างทำงานศิลปะ เราจะได้รับการเยียวยาขั้นพื้นฐานโดยอัตโนมัติ คือปลดปล่อยความรู้สึกภายใน ผ่อนคลาย และเพิ่มสมาธิ ส่วนศิลปะบำบัด แนวคิดหลักคือสะท้อนปัญหาภายในจิตใจ ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ทางศิลปะกับจิตบำบัด โครงสร้างกระบวนการจะเป็นสามเหลี่ยม นักบำบัด ผู้รับการบำบัด และงานศิลปะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้รับการบำบัดทำความเข้าใจตัวเองและพัฒนาทักษะในการเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ ผู้รับการบำบัดจึงไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านศิลปะ เพราะศิลปะบำบัดเน้นการแสดงออกถึงประสบการณ์ภายใน อารมณ์ความรู้สึก จินตนาการโดยไร้ข้อจำกัด ไม่ใช่การแสดงความสามารถในด้านศิลปะที่ผ่านการฝึกฝน ผลงานที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับการตัดสินจากใครคนใดคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งจากนักบำบัดเอง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้รับการบำบัดได้
ศิลปะบำบัดแบ่งเป็น 4 แขนง ได้แก่ Art Therapy ทัศนศิลป์, Music Therapy ดนตรีบำบัด, Drama Therapy ละครบำบัด, Dance Therapy การเคลื่อนไหวบำบัด โดยแต่ละศาสตร์จะมีเทคนิค เครื่องมือ และกระบวนการบำบัดที่แต่งต่างกัน
หลายคนคิดว่าต้องป่วยก่อนถึงเข้ารับการบำบัดได้ แต่ความจริงแล้วนอกจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยออทิสติก หรือกลุ่มคนที่มีปัญหาทางจิตแล้ว คนทั่วไปที่เผชิญภาวะตึงเครียด มีอารมณ์แปรปรวน ไม่ถนัดในการเข้าสังคม ไม่มีความมั่นใจในตัวเองก็สามารถเข้ารับการบำบัดด้วยศิลปะได้
และเมื่อทำศิลปะบำบัดแล้วควรรับประทานยาจากจิตแพทย์ร่วมด้วย เนื่องจากยาที่แพทย์สั่งนั้นมีความจำเป็น เพราะช่วยในเรื่องปรับสารเคมีในสมองที่กระตุ้นพฤติกรรม เพิ่มพลังงาน สร้างสมดุลในการใช้ชีวิต ส่วนการบำบัดจะทำหน้าที่ในระยะยาว เพื่อให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจตนเอง เข้าใจโลก และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกต่างไปจากเดิม เพราะหากมีความคิดหรือมุมมองชีวิตแบบเดิม อาจมีโอกาสที่โรคจะวนกลับมาอีก การรับประทานยาสม่ำเสมอร่วมกับการทำจิตบำบัดควบคู่กันไปจึงเป็นการรักษาที่ยั่งยืน
อ้างอิง
https://web.tcdc.or.th/th/Articles/Detail/ศิลปะบำบัด
https://www.youtube.com/watch?v=GNVKAOm8CHs
https://www.urbinner.com/post/what-is-art-therapy
https://www.verywellmind.com/what-is-art-therapy-2795755
ภาพประกอบ : http://4mamaearth.org/2016/03/11/art-therapy-for-kids
ภาพประกอบ : https://events.marylhurst.edu/event/workshop-dance-relationship
ภาพประกอบ : https://www.oakvillemusictherapy.com
5.“เรกิ” ยืมพลังจักรวาลฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
ด้วยเคล็ดวิชาฝ่ามือบำบัด
เรกิ คือ ศาสตร์บำบัดที่หยิบยืมพลังงานจักรวาลมาใช้ ผู้บำบัดทำหน้าที่เหมือนท่อส่ง-รับพลังงานจักรวาลแล้วถ่ายเทผ่านฝ่ามือทั้งสองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้รับการบำบัด เพื่อปรับสมดุลร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณบนพื้นฐานแนวคิดเรื่อง “พลังงานชีวิต” หากพลังงานชีวิตต่ำจะทำให้เจ็บป่วยและตึงเครียด กลับกันเมื่อพลังงานชีวิตสูง สุขภาพจะแข็งแรงและมีความสุข
ว่ากันว่าศาสตร์เรกิมีมาก่อนมนุษยชาติ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1922 มิคาโอะ อูซูอิ (Mikao Usui) ชาวญี่ปุ่นไปค้นพบพลังงานนี้เข้าขณะฝึกสมาธิอยู่ในถ้ำบนภูเขาคุรามะ จังหวัดเกียวโต จากนั้นเขาจึงก่อตั้งสมาคม The Usui Reiki Ryoho Gakkai กระทั่งภายหลังศาสตร์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก โดยยึดหลักการ 5 ข้อที่เราสามารถยึดถือและปฏิบัติตามในการดำเนินชีวิต
怒るな (โอโกรุ นะ) = เราจะไม่โกรธ
心配すな (ชิมไป สุนะ) = เราจะไม่กังวล
感謝して (คันฉะ ชิเตะ) = เราจะแสดงความขอบคุณ
業を励め (เกียว โอะ ฮาเกเมะ) = เราจะตั้งใจทำงานและหน้าที่ของตนเอง
人に親切に (ฮิโตะ นิ ชินเซ็ทสึ นิ) = เราจะทำดีต่อผู้อื่น
ในห้องเงียบสงบและบรรยากาศแสนสบาย ผู้รับการบำบัดจะนั่งลงบนเก้าอี้หรือนอนบนเตียง ส่วนผู้บำบัดเอามือวางเหนือศีรษะ แขนขา และลำตัว ระหว่างนี้มือของผู้บำบัดจะอุ่นขึ้นและรู้สึกแปลบๆ เหมือนมีพลังงานไหลผ่าน ผู้บำบัดค้างมือนิ่งเพื่อถ่ายทอดพลังงานอยู่ในจุดเดิม จุดละประมาณ 5 นาที จนกว่าจะรู้สึกว่าพลังงานหยุดเคลื่อนไหว ค่อยเลื่อนสู่จุดถัดไปบนร่างกาย โดยใช้เวลาทั้งหมด 45-60 นาที
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลมากกว่า 60 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่นำศาสตร์เรกิมาให้บริการ และอีกหลายโรงพยาบาลทั่วโลกบรรจุศาสตร์นี้เข้าไปในแพทย์ทางเลือก โดยสามารถบำบัดร่วมกับการรับประทานยาของแพทย์แผนปัจจุบัน ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังการผ่าตัดและให้เคมีบำบัดโดยไม่มีผลกระทบต่อการรักษา และยังกระตุ้นการขับพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
อ้างอิง
https://www.reiki.org/faqs/what-reiki
https://www.kinrehab.com/reiki
https://th.anngle.org/j-lifestyle/reiki.html
ภาพประกอบ : https://www.baltimoremagazine.com/section/health/ask-the-expert-reiki-energy-healing
ภาพประกอบ : https://digitaldefynd.com/best-reiki-classes
ภาพประกอบ : https://sites.google.com/view/reiki-chilling/home