เจิดจ้าและช่างพูดคือภาพจำของพิธีกรสาวหมวย ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ แต่ตอนนี้ความมุ่งมั่นกลับเป็นภาพคุ้นตาหลังจากเธอรับอาสาช่วยผู้ป่วยโควิด 19 ได๋ขะมักเขม้นตอบแชทเพื่อติดตามอาการผู้ป่วย โทรประสานเตียงที่โรงพยาบาล ผลัดกันให้กำลังใจผู้ป่วย ทีมงาน และตัวเอง ในวันนี้ก็เช่นกัน เรานัดคุยกับได๋ระหว่างรอถ่ายทำรายการ คำขอเดียวคือ ขอมือถือไว้ใกล้ตัวเพราะกลัวช่วยผู้ป่วยที่คุยค้างไว้ไม่ทัน
งานนี้ไม่มี Special Power ฮีโร่...ก็คนธรรมดา แค่มีหัวใจพิเศษ
“ไดอาน่า” ชื่อนี้มาจากเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ทรงงานช่วยเหลือสังคม ส่งเสริมมนุษยธรรม และเปลี่ยนทัศนคติคนทั่วโลกที่มีต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี มะเร็ง ฯลฯ แน่นอนเธอคือหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ได๋เริ่มทำสิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่น
จากจุดเริ่มต้นเมื่อสองเดือนก่อนท่ามกลางวิกฤตโควิดที่กำลังโคม่า ได๋และเพื่อนๆ พยายามหาทางช่วยผู้ป่วยโควิดด้วยการก่อตั้งเพจชื่อว่า “เราต้องรอด” ความตั้งใจจริงดึงดูดเหล่าอาสาสมัครและบุคลากรทางการแพทย์หลายสิบคนมาร่วมหัวจมท้ายช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดตกสำรวจ ผู้ที่ยังหาเตียงในโรงพยาบาลไม่ได้ หรือแม้แต่คนที่ถูกไล่ออกจากที่พักเพราะติดโควิด 19 จากนั้นสารพัดปัญหาก็โถมมาให้เธอแก้ไข
ได๋เองไม่เคยคิดว่าเธอกลายเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้คนในวิกฤตโรคระบาด แต่เมื่อเริ่มแล้วต้องช่วยให้ถึงที่สุดและจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะภารกิจของเธอไม่ใช่เพียงเป็นที่พึ่งของผู้ป่วย แต่มันคือการช่วยพยุงทั้งสังคมให้รอดไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ไม่ต้องมีพลังพิเศษก็ช่วยคนได้
ชอบความรู้สึกที่ว่าคนธรรมดาก็ช่วยเหลือคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีอำนาจพิเศษ ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ เรามีโปรเจ็กต์ช่วยเหลือสังคมมาตลอด อาจเพราะโรงเรียนเราสนับสนุนเรื่องนี้มาก มีการระดมทุนไปช่วยเหลือองค์กรต่างๆ เช่น ช่วยเป็นทุนการศึกษา ช่วยเหลือเด็กพิการ แล้วเราชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญา ชีวประวัติและแนวคิดของมหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) แม่ชีเทเรซ่า เจ้าหญิงไดอาน่า จนซึมซับกลายเป็นสามัญสำนึกที่ต้องช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก
‘เสียง’ ที่ดังกว่า
ทุกครั้งที่เราอ่านข่าวแล้วเจอเหตุการณ์ไหนที่เราพอช่วยได้จะพยายามช่วยมาตลอด อย่าง 3 ปีที่แล้วน้ำท่วมอีสานก็ลงพื้นที่ทุกอาทิตย์ ถึงระหว่างทางจะเหนื่อย แต่เวลาเราช่วยคนให้รอดพ้นจากความทุกข์ มันเหมือนปุ๋ยในใจ ไม่ต้องพูดคำว่าขอบคุณด้วยซ้ำ แค่เห็นแววตาเขา เราก็รู้สึกได้ ทุกครั้งที่ใครสักคนต้องการความช่วยเหลือแล้วเราช่วยได้ เราจะทำทันที
จากนั้นไวรัสโคโรนาเข้ามาปี พ.ศ. 2562 ช่วงนั้นมันแพร่กระจายในจีนหนัก เราอ่านข่าวทุกภาษาเลยรู้ว่ามันกำลังมาและอันตรายมาก เลยซื้อหน้ากากอนามัยกับเจลแอลกอฮอล์ไว้เยอะแล้วแพ็กส่งให้คนใกล้ชิด ฟีดแบ็กกลับมาคือเป็นบ้ารึเปล่า ทำเราเสียใจไปพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นมันก็มาจริงๆ เราเลยรู้ว่าถ้าคอยติดตามข่าวสถานการณ์โลก จะทำให้เรารู้ล่วงหน้าและเตรียมตัวได้ทัน พอเรารู้ว่าแต่ละประเทศเจออะไรบ้าง รับมือกันยังไง เราก็อาจพอเห็นวิธีทางที่จะตั้งรับกับปัญหาได้
ในระลอก 1 กับ 2 เรายังไม่ได้ทำอะไรเพราะสถานการณ์พอควบคุมได้ แต่พอมาระลอก 3 เชื่อไหมมีคนส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือเราเยอะมาก แล้วทำไมเราถึงไม่ใช้เสียงในฐานะสื่อและใช้คอนเนกชั่นที่พอรู้จักให้เป็นประโยชน์ล่ะ เพราะเอาเข้าจริงเสียงของคนทั่วไปต่อให้พูดจนแทบตะโกนร้องขอชีวิตก็ไม่มีใครได้ยิน แต่การที่เรามีโอกาสทำงานในสื่อ เราสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับพวกเขาได้ เราคุยกับ จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย (จ๊ะ คันหู) ว่าถ้าตั้งใจกันจริงจัง เสียงของเราต้องช่วยคนอื่นได้แน่ๆ
ตอนนั้นเรามีกรุ๊ปไลน์เพื่อนที่คอยอัพเดตสถานการณ์กับคลัสเตอร์ตามจุดต่างๆ ชื่อว่า “เราต้องรอด” ต่างคนต่างให้กำลังใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องรอดไปด้วยกัน เลยเป็นที่มาของชื่อเพจเราต้องรอด
ฮีโร่หลังบ้านเพจ “เราต้องรอด”
ทำเพจตอนแรกมีสมาชิก 4 คน คือ ได๋กับจ๊ะคอยตอบในเพจ มีผู้ช่วยของได๋กับผู้ช่วยของจ๊ะขอเอกสารต่อ ช่วงแรกๆ ที่เปิดเพจมีคนติดต่อเข้ามาวันละ 10-30 คน ตอนนั้นเราไม่รู้กฎเกณฑ์ก็ด้นสดกันไป สุ่มสี่สุ่มห้าโทรไปโรงพยาบาลว่าติดโควิดต้องทำยังไง จากนั้นเราค่อยๆ ตบเข้ามาจนรู้ขั้นตอน
แต่มีวันหนึ่งเราแตะมือถือไม่ได้เลยเพราะถ่ายงานสิบกว่าชั่วโมง แต่เคสก็ยังเข้ามาตลอด โชคดีคุณนิหน่า-สุฐิตา ปัญญายงค์ กับน้องอีกคนเข้ามาช่วยจัดระบบใหม่ ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก แล้วเราก็มีทีมอาสาเป็นนักเทคนิคการแพทย์ มีหมอและพยาบาลเจียดเวลามาช่วย ทีมกราฟิก ทีมตอบหลังบ้าน คืนนั้นรวมๆ มีทีมเพิ่มเกือบ 20 คน จากนั้นเราก็รับเคสเป็นระบบขึ้น ทำไลน์ OA ระบุรหัสประจำตัวของแต่ละเคส มีบุคลากรทางการแพทย์ช่วยสกรีนระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ พอรันงานไปสักพักได้น้องๆ EMT (Emergency Medical Technician) ที่ฝึกอบรมการแพทย์ฉุกเฉินมาช่วย ระหว่างผู้ป่วยรอรถพยาบาลมารับ ทีมนี้จะเข้าไปวัดระดับออกซิเจน ถ้าต่ำกว่า 96 เราจะมีเครื่องผลิตออกซิเจนไว้ให้ใช้ ช่วงเวลาแบบนี้ทุกคนพยายามอยู่ห่างจากผู้ป่วยมากที่สุด แต่น้องๆ กลุ่มนี้เสี่ยงมาก คนป่วยโควิดอยู่ที่ไหน เขาจะพุ่งไปช่วยระหว่างที่ยังไม่ถึงมือคุณหมอ
สลับโหมด “บันเทิง” กับ “ความเป็นความตาย”
ทุกวันนี้พยายามจัดระบบความคิดและความรู้สึกตัวเองให้ได้ บางทีนอนไม่หลับ ในหัวคิดว่าถ้าคืนนี้เขาหายใจไม่ออกล่ะ หรือแม้แต่ตอนกินข้าว เราก็คิดถึงผู้ป่วยว่าจะมีอะไรกินไหม แต่งานตรงหน้าของเราคือมอบความบันเทิง เราจะเอาความรู้สึกที่แบกอยู่ให้ผู้ชมรับรู้ไม่ได้ อย่างเมื่อวานเป็นครั้งแรกที่เราตัดเรื่องนี้ไม่ออก ขณะอยู่หน้าฉากทำรายการต้องสนุกสนาน แต่มันหยุดคิดไม่ได้ ตอนนี้ค่อนข้างเหนื่อย ยิ่งเรารับสายเอง คุยเอง ประสานเอง พอมากเข้าทำให้ใจเราผูกติด ตอนนี้รู้สึกหนักแต่พยายามจัดการความรู้สึกของตัวเองอยู่
ดราม่ากัดกิน ไม่ไหวก็ต้องไหว
ยอมรับว่าเรื่องดราม่ากระทบเยอะ บางคนบอกว่าเราหิวแสง บ้างว่าเราปูทางเพื่อสมัครการเมือง กระทบนะ แต่อะไรที่เป็นปัจจัยภายนอกเราให้กระทบได้ไม่เกิน 5 วินาที อยากกรี๊ดก็กรี๊ด อยากร้องไห้ก็ร้องเลย เสร็จปุ๊บปาดน้ำตาแล้วมารับเคสต่อ เพราะความรู้สึกเราจัดการกับมันได้ แต่ชีวิตคนไม่ช่วยไม่ได้ เราบอกกับทีมงานและตัวเองเสมอว่า เสียใจได้ แต่อย่ายอมให้คนเสียชีวิตภายใต้การดูแลของเรา เราอยู่ตรงนี้เพื่อทำงาน เราไม่ได้อยู่เพื่อให้ใครมาสรรเสริญ คนกำลังจะตาย เราไม่มีเวลามานั่งคิดหรอกว่าใครจะว่าเรายังไง รู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่แค่นั้นพอ
การตลาดที่ช่วยสังคมได้คือการตลาดที่ดี
หากองค์กรไหนหรือใครทำการตลาดด้วยวิธีทำความดีแล้วช่วยคนได้จริง เราจะดีใจมาก สมมติคุณเป็นนักการเมืองแล้วตั้งใจอยากลงสมัครในพื้นที่นั้น อยากได้คะแนนเสียงแล้วใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือคนในพื้นที่ เราว่ามันดีนะ การที่คุณจะเป็นผู้แทนของคนในชุมชน เราอยากให้เข้าใจปัญหาของพวกเขาอย่างแท้จริง หรือใครอยากจะทำแบบไหนก็ได้ถ้าทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น เราเองยินดีเป็นแพลตฟอร์มให้ด้วยซ้ำ และอย่าไปสนใจว่าคนจะมองยังไง มาร์เกตติ้งที่ช่วยคนอื่นได้มันดีจะตาย
วิกฤตมาปัญหาผุด เพราะความเหลื่อมล้ำเป็นเหตุ
ความเหลื่อมล้ำในประเทศเราเยอะเกินไป ยิ่งตอนนี้คนหาเช้ากินค่ำทำงานไม่ได้ เจอกับปัญหาหนี้นอกระบบอีก ผัดกับข้าวขายก็ติด แบกผักในตลาดก็ติด แล้วคนในครอบครัวที่เขาหาเลี้ยงอยู่จะทำยังไง หรือแม้กระทั่งคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน ปัญหาคนตกสำรวจ บัตรประชาชนไม่มี บางทีเขาไม่รู้ว่ารัฐมีสวัสดิการอะไรให้บ้าง ลงทะเบียนฉีดวัคซีนออนไลน์ยังไงล่ะ เราว่าปัญหาอยู่ทุกที่ คนที่ยังมีกินมีใช้ คุณโชคดีกว่าคนอื่น แต่คนที่ไม่มีเขาไม่มีจริงๆ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสในการมีชีวิตอยู่ต่อเลยเหรอ เรารู้สึกว่าอยู่ประเทศนี้อย่าจนนะ เพราะคนจนไม่มีทางเลือก ข้าวจะกินยังไม่มีเลย โอกาสในการรับการรักษามันไม่มีอยู่แล้ว สมมติว่าโควิดมันผ่านไป ปัญหานี้ก็ยังอยู่ เราจะช่วยกันยังไง ทุกหน่วยงานทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้
คนตัวเล็กๆ ก็ทำให้สังคมน่าอยู่ได้
บางคนอาจคิดว่าต้องมีเงินเท่านั้นถึงช่วยคนได้ ไม่ต้องค่ะ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ มันแบ่งปันให้กันได้ บางคนรู้ว่ายายข้างบ้านเป็นโควิดแต่ประสานโรงพยาบาลไม่ได้ เข้าถึงช่องทางช่วยเหลืออื่นๆ ไม่เป็น เราก็เข้าไปช่วยได้ มีอินเทอร์เน็ตก็แจ้งเพจ ช่วยเป็นหูเป็นตาแล้วปรึกษาเราได้ ถ้ายายไม่มีข้าวกิน เดี๋ยวเราส่งให้ ถ้ายายหายใจไม่ออก บอกเลยเดี๋ยวเราจัดการให้
หรือแค่คุณไม่รังเกียจคนที่ติดเชื้อก็ดีมากแล้ว เราเคยเจอเคสที่พอเจ้าของหอพักรู้ว่าคนในหอติดโควิดก็ไล่ออกทันที คุณรู้ไหมว่าเขาต้องเจอความเครียดแค่ไหนตั้งแต่รอผลตรวจ รอลุ้นว่าคนที่บ้านจะติดไหม จะหาเงินจากไหนมาดูแลตัวเอง บางทีแค่มีความเห็นใจให้กันในช่วงเวลาที่คับขันแบบนี้ เรารู้ว่าหลายคนหนัก แต่บางคนเขาไม่มีแม้แต่ที่อยู่ หลายครั้งลูกเพจติดต่อเข้ามาว่าอยากช่วยแต่ไม่มีเงิน เราบอกแค่ช่วยแชร์ให้เราก็พอ เผื่อว่าคนที่มีปัญหาเห็นจะได้รู้ว่ายังมีเราที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ จริงๆ พลังโซเชียลมีเดียสำคัญมาก หรือบางครั้งคนในสื่อก็ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กันได้
อย่าหมดหวัง ท่องไว้ “เราต้องรอด”
ไม่อยากจะพูดแบบนี้แต่ต้องพูด เราคงผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ และสถานการณ์มันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด รู้ว่ามันยาก แต่ถ้าจะให้โลกสวยบอกว่าเราจะผ่านมันไปด้วยดี มันโกหกค่ะ สถานกาณณ์จะหนักหนาสาหัสและจะหนักกว่านี้อีก ถึงพวกเราจะพอเป็นกระบอกเสียงและช่วยเหลือได้บ้าง แต่ท้ายที่สุด ทุกคนต้องสู้และปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด อดทนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องจัดการมันให้ได้ ดูว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหน แล้วค่อยๆ จัดการ
ถ้าไม่มีใครช่วยเราก็ต้องช่วยตัวเอง สู้ค่ะ...ยังไงเราก็ต้องรอด