|
|||
เมื่อ 150 ล้านปีก่อน โลกเรามีไดโนเสาร์ไดพลอโดคัส ในปัจจุบัน โครงกระดูกของไดพลอโดคัสคอยาว 3 ตัว อย่าง Prince, Apollonia และ Twinky ได้กลายเป็นดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา หลี กง เฉียน ที่สิงคโปร์ ซากฟอสซิลที่แทบจะสมบูรณ์แบบของไดโนเสาร์ซอโรพอดทั้ง 3 ตัวนี้ย้ำเตือนเราอีกครั้งว่าไดโนเสาร์นั้นมีขนาดมหึมาแค่ไหน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้ทุนสร้างถึง 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สถาปัตยกรรมภายนอกอลังการ ตัวอาคารสูง 7 ชั้น และมีรูปทรงคล้ายก้อนหินที่มีมอสปกคลุม จัดได้ว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมสิงคโปร์ที่คุ้นเคยกับการมีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกและสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำใคร ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย Mok Wei Wei สถาปนิกชาวสิงคโปร์ อีกทั้งรูปแบบก็ไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติทั่วๆ ไป ด้วยการออกแบบที่ไม่ล้าสมัย ตัวพิพิธภัณฑ์มี 7 ชั้น มองจากภายนอกดูราวหินแกรนิตก้อนมหึมา โดยมุมด้านหนึ่งของอาคารออกแบบให้ระเบียงเป็นสีดินเผาและตกแต่งด้วยพืชพรรณสิงคโปร์ห้อยระย้าเรียงกันเป็นชั้น
ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่เพียงแต่จัดแสดงเรื่องราวในอดีตเท่านั้น หากยังใช้เป็นจุดชื่นชมสัตว์ป่าแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีกด้วย สัตว์บางชนิดก็ยังคงมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ขณะที่บางชนิดก็อาจกำลังมีชะตากรรมไม่ต่างจากไดโนเสาร์ดิพลอโดคัสเท่าไหร่นัก ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงจระเข้น้ำเค็มซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีชีวิตอยู่ตามน่านน้ำของสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีลิงอุรังอุตัง ตัวนิ่ม (หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ชะมดเกล็ด) เสือ หมูป่า ทั้งยังมีสัตว์สายพันธุ์เล็ก อย่างแมงมุมจำนวนมากพอที่จะทำให้ขนลุก ผีเสื้อนานาพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย รวมถึงผีเสื้อหนอนกระท้อนขนาดใหญ่ ปูหลากชนิด ตั้งแต่ปูแมงมุมญี่ปุ่นที่มีความยาวถึง 4 หลา ไปจนถึงปูแมงมุมปะการังที่ตัวเล็กกว่า 1/10 นิ้ว และขอเตือนไว้ว่าอย่าหลงไปกับสีสันสวยงามของปูปะการังลายโมเสกเชียว เพราะกระดองสีชมพูลายจุดของมันนั้นดูสดใสก็จริง แต่มีพิษร้ายแรงถึงขั้นฆ่าหนูได้ถึง 40,000 ตัวเลยทีเดียว
นอกจากความน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสิงคโปร์ยังมีส่วนที่ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ที่ที่มีคำตอบให้ทุกคำถาม โดยในพิพิธภัณฑ์มีส่วนจัดแสดงที่อธิบายถึงวิธีการที่สัตว์ต่างชนิดปรับตัวเพื่อที่จะกระโดดหรือบินข้ามระหว่างต้นไม้ได้ หรือถ้าเราเคยสงสัยว่าขาของช้างสามารถรับน้ำหนักมหาศาลของช้างได้อย่างไร ที่นี่ก็มีคำตอบให้
นอกจากนี้ สิ่งที่หาดูได้ยากอย่างหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์นำมาจัดแสดงก็คือ งารูปเกลียวของตัวนาร์วาล ปลาวาฬชนิดหนึ่งที่ถูกขนานนามว่า “ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล” อาศัยอยู่บริเวณมหาสมุทรอาร์กติก งาความยาว 3 เมตรที่นำมาจัดแสดงนั้นเป็นงาที่รัฐบาลรัสเซียมอบให้นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ชื่อ “Whampoa” เมื่อทศวรรษ 1860 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวของเขาเก็บซ่อนมันไว้ ก่อนจะมอบให้พิพิธภัณฑ์เมื่อปีก่อน โดยรวมแล้วในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งมีชีวิตจัดแสดงอยู่ราว 2,000 ชนิด มีทั้งพืชและสัตว์รวม 1 ล้านสายพันธุ์ ส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักที่มีป้ายบอกชนิดชัดเจน หรือถูกเก็บไว้ในขวดที่เก็บไว้บนชั้นบนของพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ห้ามใช้ไม้เซลฟี่อย่างเด็ดขาดด้วยเหตุผลที่ว่าทางพิพิธภัณฑ์ต้องการให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่สงบ ราวกับเดินเที่ยวอยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์
Lee Kong Chian Natural History Museum เลขที่ 2 Conservatory Drive, Singapore; +65 6601 3333 เปิด วันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ 10:00 – 19:00 น. ค่าเข้าชม $21($16 สำหรับชาวสิงคโปร์), ราคาสำหรับนักเรียนและผู้สูงอายุ $13 ($9), เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เข้าชมฟรี สามารถซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ Sistic ช่วงที่มีผู้เข้าชมจำนวนมากสามารถเข้าชมได้เพียง 90 นาทีเท่านั้น
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก cnn.com
|