สถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และข้อมูลความรู้มากมายอย่างพิพิธภัณฑ์ย่อมไม่พ้นถูกใช้เป็นฉากหลังของหนังหลากหลายเรื่อง ทั้งหนังรัก ตลก ระทึกขวัญ ยันสยองขวัญฆาตกรรมแบบ ‘House of Wax’ ของฮอลลีวูดหรือ ‘ห้องหุ่น’ ของไทย และหนัง 5 เรื่องที่เลือกมานี้ก็พาคอหนังไปเดินเล่นใน 5 พิพิธภัณฑ์จาก 5 ประเทศพร้อมนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ที่มากกว่าแค่ยืนดูโมนาลิซายิ้มให้
1. The New Rijksmuseum (Belle de Nature)
Movie: สารคดีปี 2014 ที่เล่าเรื่องวิบากกรรม 10 ปีของการบูรณะไรส์มิวเซียม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัมในประเทศเนเธอร์แลนด์ แรกเริ่มทีมงานของหนังเรื่องนี้ตั้งใจแค่บันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงของพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุกว่า 100 ปีแห่งนี้ว่า มันส่งผลต่อผู้คนอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นมหกรรมดราเมดี้ตลกร้ายที่คล้ายจัดฉากไม่ผิดรายการ The Face Thailand
เดิมผู้บริหารของพิพิธภัณฑ์ไรจ์คส์วางแผนบูรณะไว้แค่ 5 ปี แต่กลับยืดเยื้อใช้เวลาถึงเกือบ 10 ปีในการก่อสร้างและฟันฝ่าคำคัดค้านของมหาชนชาวดัตช์ที่ขัดขวางการดำเนินงาน เผชิญหน้าการเมืองที่เข้าแทรกแซง ความผิดพลาดของทางพิพิธภัณฑ์เองและอีกสารพัดจนงบบานปลายไปปิดที่ 375 ล้านยูโร! หนังเพิ่งเข้าฉายในเมืองไทยเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2558 ในชื่อไทยที่ให้ภาพชัดเจนว่า ‘บูรณะโกลาหล’ และได้รับความสนใจจากคอหนังสารคดีเป็นอย่างมากทั้งการเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้น การพาเข้าสู่หลังพิพิธภัณฑ์ที่เผยมุมยากลำบากออกมาให้โลกได้เห็นว่า กว่าจะมาจัดแสดงได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และการถ่ายภาพที่สวยงามเกินหน้าเกินตาหนังหลายเรื่อง สมกับที่ได้คะแนนนิยมจากคอหนังในเว็บไซต์ imdb.com ถึง 7.6 เต็ม 10 คะแนน
Museum: Rijksmuseum - The Museum of the Netherlands หรือในชื่อไทยว่า พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 พิพิธภัณฑ์สำคัญของประเทศเนเธอร์แลนด์เคียงข้างพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ (Van Gogh Museum ที่อยู่ใกล้กัน) แรกเริ่มนั้นเดิมทีนั้นสร้างขึ้นที่เดอะเฮก เมืองราชการของประเทศในปี 1800 ก่อนจะย้ายมาที่เมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัมในปี 1808 โดยคำสั่งของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (หลุยส์ โบนาปาร์ต) กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ผู้เป็นพระอนุชาของจักรพรรดินโปเลียนผู้โด่งดัง ก่อนที่ปี 2003 จะมีการปิดบูรณะจนแล้วเสร็จในปี 2012 และเกิดเป็นหนังสารคดีเรื่อง The New Rijksmuseum (Belle de Nature) ที่นี่คือแหล่งรวมผลงานของศิลปินดัตช์ยุคทอง (Dutch Golden Age) โดยเฉพาะชิ้นเรียกแขกอย่าง ‘The Night Watch’ ของแร็มบรันต์ ศิลปินเอกที่เป็นความภาคภูมิของชาวดัตช์ไม่แพ้แวน โก๊ะ รวมไปถึงผลงานจากจิตรกรฝั่งเอเชียที่ผู้บริหารไปดั้นด้นมาเก็บสะสมไว้มากมามาย
--------------------------------------------
2. Night at the Museum
Night at the Museum: Battle of the Smithsonian
Night at the Museum: Secret of the Tomb
Movie: ไตรภาคแห่งความสนุกในพิพิธภัณฑ์ที่ทำเงินถล่มทลายช่วงปลายปีจนทุกภาคผ่านหลัก 350 ล้านดอลลาร์ ไม่แปลกที่รายรับรวมทั่วโลกของทั้ง 3 ภาคถึงไปปิดยอดที่ 1,312 ล้านดอลลาร์! เรื่องราวในแต่ละภาคก็ว่าด้วยการผจญภัยในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกาของแลร์รีย์ เดลีย์ (เบน สติลเลอร์ ในบทตลกสังขารตามถนัด) ยามกะดึกที่ได้พบเหตุการณ์เหนือจริงและร่วมผจญภัยไปกับเหล่าของสะสมที่มีชีวิตขึ้นเมื่อพิพิธภัณฑ์ปิด ตั้งแต่ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวสต์ (โรบิน วิลเลียมส์ ที่เสียชีวิตหลังถ่ายภาค 3 จบแค่ไม่กี่เดือน) ไปจนถึงทีเร็กซ์ที่ออกล่าทั่วพิพิธภัณฑ์ ร่วมแสดงโดยโอเวน วิลสันและริกกีย์ เจอร์เวส
Museum: พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) ตั้งอยู่ ณ วัปเปอร์เวสต์ไซต์ในเขตแมนฮัตตันของกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ไม่ไกลจากสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค ปอดแห่งนิวยอร์ค ถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยขนาดกว่า 2,000,000 ตารางฟุต! ครอบคลุมทุกรายละเอียดของทั้งคน สัตว์ และสิ่งของสมปณิธานของพิพิธภัณฑ์ที่ว่า “เพื่อค้นพบ แปลงสาร และเผยแพร่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์ ธรรมชาติของโลกและจักรวาลผ่านการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และการศึกษา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1896 และเปิดต้อนรับผู้มาเยือนกว่า 5 ล้านคนต่อปี...จุดนี้อย่าได้สับสนกับพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ (National Museum of Natural History) ในเครือสมิธโซเนียนซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันดีซี
-------------------------------------
3. After Midnight (Dopo mezzanotte)
Movie: หนังรักหลังเที่ยงคืนที่ไม่มีหุ่นตื่นขึ้นมาสร้างความหายนะในพิพิธภัณฑ์ มีแต่เรื่องรักของมาร์ติโน (จิออร์จิโอ ปาซอตตี) ยามกะดึกที่ชอบงานนี้เพราะได้อยู่คนเดียว กับสาวเปรี้ยวพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดอย่างอแมนด้า (ฟรานเซสกา อินอดี) ที่เขาแอบชอบเธอจนต้องแวะไปซื้อไปทุกวันทั้งที่เกลียดอาหารขยะ ประโยค “ที่จริงผมชอบกินแอปเปิ้ล” คงเป็นหนึ่งในประโยคบอกรักที่ประหลาดที่สุดแต่หวานเชื่อมไม่แพ้ประโยคไหนในโลกภาพยนตร์ ผลงานการกำกับจากปี 2004 ของดาวิเด เฟอร์ราริโอ ที่ได้ 2 รางวัลจากเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลิน ถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของวงการหนังอิสระในอิตาลี
Museum: พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์แห่งชาติ (Museo Nazionale del Cinema) ในเมืองตูริน ประเทศอิตาลี มีขนาดกะทัดรัดที่ 3,200 ตารางเมตร ต้อนรับผู้เข้าชมปีละแค่ราวครึ่งล้าน แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญของโลก เพราะมันรวบรวมหนัง ใบปิด ภาพวาด อุปกรณ์และสิ่งของมากมายที่สำคัญต่อโลกภาพยนตร์เอาไว้กว่า 20,000 รายการ มีแม้กระทั่งกรงนกทวีตตีย์จาก Looney Tunes ทั้งยังเป็นสถานที่หลักของเทศกาลภาพยนตร์โตริโน ตัวตึกโมเลอันโตนิเอลโลนั้นถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองตูรินมาตั้งแต่สร้างเสร็จในปี 1883 เพื่อเป็นวัดของชาวยิว สำคัญถึงขนาดถูกเลือกให้พิมพ์ลงบนเหรียญ 2 เซนต์ยูโรในอิตาลี ก่อนจะกลายเป็นมาพิพิธภัณฑ์หนังในปี 2000 และด้วยรูปทรงที่ต้องมียอดโดมตามแบบวัดยิวนี้ก็ทำมันได้รับตำแหน่งพิพิธภัณฑ์ที่สูงที่สุดโลก
-------------------------------------
4. The Da Vinci Code
Movie: จากนิยายเรื่องดังของแดน บราวน์ในปี 2003 ที่สั่นสะเทือนทั้งวงการศิลปะและศาสนามาสู่ภาพยนตร์ทำเงินในปี 2006 ที่นำแสดงโดยเจ้าของออสการ์นำชาย 2 ปีติดอย่างทอม แฮงส์ และกำกับโดยรอน ฮาเวิร์ด ยอดฝีมือที่จับหนังมาแทบทุกแนวจนได้ออสการ์จากหนังปี 2001 เรื่อง ‘A Beautiful Mind’) เนื้อเรื่องก็อย่างที่คงได้ทราบกันอยู่แล้วว่า เกิดเหตุฆาตกรรมในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จนโรเบิร์ต แลงดอน (แฮงส์ ซึ่งรับเล่นบทเดิมในอีก 2 ภาคต่อ ‘Angels and Demons’ และ ‘Inferno’) นักสัญวิทยาหนุ่มต้องบินจากอเมริกามาฝรั่งเศสเพื่อไขปริศนาที่ถูกทิ้งไว้บนภาพวาดโมนาลิซา
Museum: ฉากหลังก็ดังไม่แพ้ตัวหนัง พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) คือพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกด้วยตัวเลขนับ 10 ล้านคนต่อปี และไม่มีทีท่าว่า จะมีที่ไหนมาแซงหน้าได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของกรุงปารีสไม่น้อยหน้าหอไอเฟล ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับตั้งแต่เปิดให้ชมอย่างเป็นทางการในปี 1793 ลูฟวร์หรือหลังการถือกำเนิดของกรุงรัตนโกสินทร์เพียง 10 ปีเท่านั้น ภาพวาดโมนาลิซาต้นฉบับของลีโอนาร์โด ดาวินชีนั้นเป็นเพียง 1 ในผลงาน 380,000 รายการที่เก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ในอาคารขนาด 60,600 ตารางฟุตแห่งนี้
-------------------------------------
5. Russian Ark
Movie: อภิมหาภาพยนตร์ที่ถ่ายรวดเดียวจบ 96 นาทีไม่มีตัดที่พาผู้ชมเลาะผ่านห้องต่างๆ ของพระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) 1 ใน 5 ตึกหลักของพิพิธภัณฑ์แอร์มิทาช (State Hermitage) ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย บรรยายโดยวิญญาณขุนนางจากศตวรรษที่ 19 ที่บอกว่า ตนนั้นตายอนาถในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ พาไปพบกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มากมายทั้งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซีย โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียตยุค “ม่านเหล็ก” จักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซีย ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ พระราชินีผู้ขึ้นครองราชย์หลังปลงพระชนม์พระราชสวามีของพระองค์เอง และอีกหลายบุคคลที่มีชีวิตขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจแบบสดๆ ไม่มีตัดต่อจนเหมือนได้ดูละครเวทีผ่านจอหนัง องค์ประกอบต่างๆ ของหนังก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและโดยเฉพาะดนตรีที่ยกผลงานของมิคาอิล กลินคา ประพันธกรชั้นเอกของรัสเซียมาใช้ประกอบและเล่นกันสดๆ ไปพร้อมคณะนักแสดง นี่จึงถือเป็นประสบการณ์การเยี่ยมชมพิพิธภัณธ์ที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่ง
Museum: พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาช (State Hermitage) คือนิยามของความเวอร์วังอลังการ ก่อตั้งโดยพระราชดำริของจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซียในปี 1764 ที่นี่จึงถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ของสะสมที่จัดแสดงก็เน้นความหรูหราสมกับที่เริ่มต้นจากพระราชสมบัติส่วนพระองค์ของพระราชินีแคทเธอรีน รวมรวบงานศิลปะของทั้งศิลปินยุโรปชื่อก้องอย่างปิกัสโซ เรมแบรนต์ ไปจนถึงโบราณวัตถุจากอียิปต์และอีกมากมาย มีทั้งหมดกว่า 120 ห้องใน 5 ตึกที่เปิดให้เข้าชม (อีกหนึ่งตึกนั้นไม่เปิดให้คนนอกเข้า) นำพาคนรักศิลปินมาเยี่ยมชมปีละเกือบ 3 ล้านคน
สำหรับที่มิวเซียมสยามเอง เราก็เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เหมือนกันหลายเรื่องมากๆ เพื่อนๆพอจะจำกันได้ไหมครับว่ามีเรื่องอะไรกันบ้าง?
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก imdb.com, /lyudmila-galahad.hatenadiary.jp, rijksmuseum.nl, amnh.org, fox.co.uk, kink.fm