ผู้เขียน : ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ
![]()
ขบวนการมรดกเมืองแปลความมาจากภาษาอังกฤษว่า urban heritage movements ซึ่งเป็นทั้งกระบวนการและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างมรดกในพื้นที่เมือง ในที่นี้ นำเสนอพิพิธภัณฑ์มรดกเหมยโฮเฮ้าส์ (Heritage of Mei Ho House) ซึ่งเป็นการบูรณะอาคารการเคหะที่รัฐอุดหนุนให้เป็นบ้านพักเยาวชนและพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าวิถีชีวิตคนสามัญ และกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ ที่เกิดจากการต่อรองของผู้มีรายได้จำกัดกับโครงการพัฒนาของรัฐบาลฮ่องกง
กลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์เกิดจากกลุ่มผู้อยู่อาศัยและอาสาสมัครร่วมกันขับเคลื่อนสิทธิของผู้เช่าและผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมหลายประการให้สังคมฮ่องกงเห็นความสำคัญของคนเล็กคนน้อยที่ใช้ชีวิตในย่าน ที่ควรได้รับความเคารพเฉกเช่นกัน ส่วนเหมยโฮวเฮ้าส์เป็นอาคารการเคหะชุดแรกที่สร้างขึ้นในยุคอาณานิคมและเหลือรอดเพียงอาคารเดียว แม้เหมยโฮวเฮ้าส์เป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการประกาศโดยสำนักงานโบราณวัตถุและโบราณสถานเช่นเดียวกับกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ แต่เหมยโฮวเฮ้าส์นั้นเป็นอาคารที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้วเมื่อเริ่มต้นการอนุรักษ์ โครงการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ใช้แผนพัฒนาโครงการแบบร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน
มาทำความรู้จักโครงการบูรณะอาคารประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับภาคประชาสังคมและพลเมืองฮ่องกง และเปรียบเทียบความหมายของการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ทั้งสองแห่งกับขบวนการมรดกเมืองในบริบทฮ่องกง
ขบวนการต่อสู้กลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2549 กับ พ.ศ. 2559 จากแรงผลักดันขององค์กรพัฒนาเอกชน และผู้ที่อยู่อาศัยในอาคาร 4 ยูนิตเพื่อ “สิทธิ์ที่อยู่อาศัย” และ “การอนุรักษ์มรดกที่มีชีวิต” โดยรักษาไว้ทั้ง “บ้านและคน” (lau uk jau lau jan) ในปัจจุบัน บลูเฮ้าส์ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยให้กับคนรายได้ต่ำที่เป็นผู้สูงวัย และพัฒนาเป็นพื้นที่ของกิจกรรมชุมชนและวัฒนธรรม (Sham, 2017, p. 8)

ภาพ 1หน้าอาคารกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ (ภาพจาก Google Arts & Culture)
กลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ตั้งอยู่ในย่านหว่านไฉ ประกอบด้วยอาคารจำนวน 9 หลังที่เรียกชื่อตามสีอาคาร บ้านสีน้ำเงิน บ้านสีเหลือง บ้านสีส้ม ปัจจุบัน คงเหลือบ้านน้ำเงินเพียงหนึ่งหลังและบ้านสีเหลืองจำนวนสองหลัง อาคารทั้งสามหลังได้รับการประกาศเป็นอาคารประวัติศาสตร์ ในทศวรรษ 2470 ผู้อาศัยในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์เป็นระบบการเช่าที่เรียกว่า “ระบบลูกบาศก์” เพราะต้องแบ่งพื้นที่การใช้สอยซ้อนกันคล้ายทรงลูกบาศก์ เพื่อรองรับผู้เช่าจำนวนมาก แต่ละครอบครัวมีเพียงเตียงหลังเดียว โดยมีครัวและห้องน้ำที่ใช้ร่วมกัน (Lee, 2009, p. 60) แต่ภายในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ ยังมีโรงเรียนสำหรับเด็กที่พ่อแม่มีรายได้ต่ำ มีศาสนสถานที่รวมจิตใจของผู้อยู่อาศัย มีพื้นที่ค้าขาย มีสถานที่สำหรับกิจกรรม และโรงหมอที่ให้บริการแพทย์แผนจีนสำหรับผู้อยู่อาศัย
เมื่ออาคารได้รับการประกาศเป็นอาคารประวัติศาสตร์ พ.ศ. 2549 คงเหลือผู้อยู่อาศัย 28 ครัวเรือน (60 คน) โดยองค์กรพัฒนาเมือง (Urban Renewal Authority: URA) ร่วมกับสมาคมการเคหะฮ่องกง (Hong Kong Housing Society: HKHS) เสนอให้อนุรักษ์อาคารเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ชาจีน และพิพิธภัณฑ์การแพทย์จีน ในแผนการอนุรักษ์ ไม่อนุญาตให้มีการอยู่อาศัยอีกต่อไป นำมาสู่ความไม่พอใจให้กับหลายฝ่าย เกิดการประท้วงและจัดตั้งกลุ่ม “Blue House Concern Group” ที่มีตัวแทนสภาเขตหว่านไฉและอาสาสมัครวิชาชีพต่าง ๆ เป็นแนวร่วมให้กับผู้อาศัยในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ เพื่อโต้ตอบกับการอนุรักษ์ “จอมปลอม”

ภาพ 2 ป้ายร้านที่ตั้งบ้านเล่าเรื่องฮ่องกง ที่เคยเป็นร้านขายแอลกอฮอล์ (ภาพจาก Google Arts & Culture)
ในที่สุดองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อกิจการทางสังคมที่อยู่ในย่านหว่านไฉร่วมกับผู้อาศัยในย่านนำเสนอแผนการสงวนรักษากลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์หว่านไฉ (Wan Chai Blue House Preservation Plan) ต่อคณะกรรมการวางแผนผังเมือง และได้รับการปรับแผนเป็นการสงวนรักษามรดกหว่านไฉ (Wan Chai Heritage Preservation) (‘Proposing Community Heritage Preservation Model through the Blue House Project’, 2007) ด้วยการรักษากายภาพภายในอาคารที่สะท้อนการใช้งานของผู้อาศัย เช่น การกั้นห้อง เตียงสองสามชั้นที่ต่อขึ้นเอง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ย่านหว่านไฉ (Wanchai Livelihood Museum) ในส่วนชั้นล่างอาคาร พัฒนาเป็นบ้านเล่าเรื่องฮ่องกง (Hong Kong House of Stories) เพื่อใช้สื่อสารกับบุคคลภายนอก โดยมีคนในท้องถิ่นเป็นมัคคุเทศก์ (Lee, 2009, pp. 106–109) และมีการบูรณะอาคารโดยหน่วยงานการพัฒนา (Development Bureau: DEVB) และพันธมิตรให้กับผู้เช่าเดิมมีความสะดวกสบายมากขึ้น มีการสร้างบันไดและเฉลียงเพื่อเชื่อมอาคารทั้งสามหลังเข้าด้วยกัน และสร้างลานกิจกรรมสำหรับชุมชนในพื้นที่ระหว่างอาคาร ต่อมาเปิดดำเนินกิจการในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม แล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559
ภาพ 3 ที่อยู่แบบ “ลูกบาศก์” ที่สะท้อนความเป็นอยู่ในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ (ภาพจาก Google Arts & Culture)
พิพิธภัณฑ์บ้านเล่าเรื่องฮ่องกงในพื้นที่ชั้นล่างของอาคาร อาศัยการบอกเล่าโดยผู้อยู่อาศัย และสิ่งจัดแสดง เช่น ป้ายร้านค้า “Shop No. 72 Stone Nullah” ซึ่งเป็นร้านขายแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ มีนิทรรศการชั่วคราวและกิจกรรมอาศัยการทำงานของอาสาสมัครเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ความเป็นอยู่ของผู้คนในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ (St. James’ Settlement, n.d.)
โครงการฟื้นฟูกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ได้รับรางวัล UNESCO Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation 2017 ที่ได้รับการประกาศว่าเป็น “...หนึ่งในความพยายามของพลเมืองในการปกป้องมรดกท้องถิ่นที่ไม่ได้รับความสนใจ ในอาณาบริเวณที่มีแรงกดดันของตลาดอสังหาริมทรัพย์สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก...” (UNESCO 2017b) (Wong, 2018, pp. 52–58)
เหมยโฮวเฮ้าส์เป็นอาคารการเคหะรุ่นแรกในทศวรรษ 2490 สำหรับผู้มีรายได้ต่ำ และคงเหลือเพียงหลังเดียวอยู่ในย่านเจ็กกิบเหมย (Shek Kip Mei) (Chu, 2007) เมื่อแรกสร้างเหยโฮวเฮาส์เป็นอาคาร รูป H ประกอบด้วยอาคารปีกซ้ายและขวาสำหรับการอยู่อาศัย รวมทั้งสิ้น 348 ยูนิต ในแต่ละยูนิตมีพื้นที่เพียง 11 ตารางเมตร แต่อาจมีผู้อาศัยสูงถึง 8-9 คน มีระเบียงที่เชื่อมอาคารสำหรับซักล้างและทำครัว ไม่มีลิฟต์ แต่ละชั้นมีห้องน้ำที่ใช้ร่วมกันเพียงหกห้องและจุดจ่ายน้ำ 2 จุด ต่อมา ทศวรรษ 2510 การเคหะแห่งชาติปรับปรุงให้ยูนิตมีขนาดใหญ่ขึ้น และสร้างห้องน้ำและครัวภายในยูนิต ในอีกสองทศวรรษต่อมา เมื่อประชากรในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ อาคารการเคหะรุ่นแรกทยอยถูกรื้อถอน จนเหลือเพียงเหมยโฮวเฮ้าส์และมีผู้อาศัยรุ่นสุดท้ายจนถึง พ.ศ. 2547
เหมยโฮวเฮ้าส์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในแปดแห่งในแผนงานการฟื้นฟูอาคารแบบร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ต่อมา พ.ศ. 2551 สมาคมบ้านเยาวชนฮ่องกง (Hong Kong Youth Hostel Association: HKYHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เสนอแผนปรับปรุงเป็นบ้านพักเยาวชน และพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้อยู่อาศัย (Comin, 2019, p. 78) เมื่อการบูรณะแล้วเสร็จ มีห้องพัก 129 ห้อง แต่ละห้องสร้างบรรยากาศของการเคหะในยุคทศวรรษ 2510 ทางเชื่อมอาคารได้รับการปรับปรุงให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ลิฟต์ ส่วนชั้นล่างของอาคารทางปีกขวาเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ “มรดกเหมยโฮวเฮ้าส์” (Heritage of Mei Ho House) และเปิดให้บริการเมื่อ พ.ศ. 2556 (ภาพ 4)
นิทรรศการจัดแบ่งเป็นสี่ส่วนตามเส้นเวลา และมี 2 ชั้น ในชั้นล่าง นิทรรศการประกอบด้วย 6 ส่วน “ยุคทองของการเข้าสู่ที่พำนักใหม่” (resettlement) ไล่เรียงให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากก่อนการย้ายเข้าสู่โครงการเคหะ
ภาพ 4 เหมยโหวเฮ้าส์ที่ได้รับการบูรณะเป็นบ้านพักเยาวชน (ภาพโดยผู้เขียน)
ห้องแสดงแรกกล่าวถึงเพลิงผลาญเจ๊กคิบเหมย ในคืนวันคริสต์มาส พ.ศ. 2496 ผู้คนกว่า 50,000 ชีวิตไร้ที่อยู่ในทันที จากนั้น กล่าวถึงโครงการสร้างเหมยโฮวเฮ้าส์เพื่อรองรับคนไร้ที่อยู่ นิทรรศการอีกสี่ส่วนเล่าถึงชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ ทศวรรษ 2490-2520 “ชีวิตในเจ๊กคิบเหมย” แสดงให้เห็นเรื่องราวความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หากเทียบกับการอยู่ในชุมชนแออัด (ภาพ 5) “เหมยโฮวเอ้าส์บ้านของฉัน” เน้นเรื่องเล่าจากความทรงจำของผู้ที่เคยอาศัย “ความผูกพันกับเจ๊กคิบเหมย” กล่าวถึงเครือข่ายทางสังคมและการเกื้อหนุนของโบสถ์คริสต์กับชาวชุมชน ส่วนสุดท้าย “ความทรงจำเจ๊กคิบเหมย” แสดงโมเดลอาคารการเคหะ ประกอบกับสิ่งของ วัตถุ ภาพถ่ายเก่า ได้รับบริจาคจากผู้เช่าเดิมในตู้กระจก (ภาพ 6)
ภาพ 5 ลักษณะการจัดแสดงในส่วน ชีวิตในเจ๊กคิบเหมย (ภาพโดยผู้เขียน)
ชั้นบน ปรากฏฉากจำลองที่แสดงความเป็นอยู่ในการเคหะขนาดเท่าจริง จากรุ่นแรก ห้องมีขนาดเล็กที่มีพื้นที่ราว 11 ตารางเมตร จำเป็นต้องทำชั้นลอยสำหรับเป็นที่นอนให้เพียงพอกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว ห้องนั้นทั้งมืดและมีเพียงช่องขนาดเล็กให้อากาศไหลเวียน ส่วนต่อมา ร้านขายของชำจัดแสดงร้าค้าที่เคยตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของอาคาร ส่วนห้องสุขาที่ใช้ร่วมกันซึ่งเคยอยู่ที่ทางเชื่อมอาคาร เป็นสุขาที่ไม่มีประตู ไม่มีเพดาน และมีเพียงผนังปูนแยกแต่ละห้อง ไม่แยกชายและหญิง ผู้เช่าต้องขนน้ำจากจุดจ่ายน้ำมาใช้ด้วยตนเอง และมีพื้นที่ซักล้างใกล้บริเวณดังกล่าว
ภาพ 6 ลักษณะการนำเสนอด้วยภาพถ่าย ประกาศ และหนังสือพิมพ์ที่บอกเล่า
ชีวิตในโครงการการเคหะที่รัฐอุดหนุน (ภาพโดยผู้เขียน)
จากนั้นเป็นห้องจำลองภายหลังการปรับปรุงช่วงทศวรรษ 2510 ด้วยการยุบรวมห้องพักให้ยูนิตใหญ่ขึ้น มีเครื่องเรือนทันสมัย ส่วนของระเบียงนั้นแยกสำหรับแต่ละยูนิต ภายในห้องมีแสงสว่างจากนอกอาคาร การจัดแสดงสะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ด้วยเครื่องเรือนในยุคทศวรรษ 2510 และเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ ตอนท้ายของนิทรรศการชั้นบน สรุปให้เห็นวิวัฒนาการสถาปัตยกรรมและโครงการบูรณะเหมยโฮ้วเฮ้าส์ให้เป็นบ้านพักเยาวชนและพิพิธภัณฑ์

ภาพ 7 การจำลองยูนิตอาศัยในระยะแรกที่ต้องอยู่กันอย่างแออัด (ภาพโดยผู้เขียน)
เมื่อผู้ชมกลับมายังชั้นล่างอาคาร เป็นส่วนสุดท้ายที่นำเสนอชิ้นส่วนอาคาร เช่น หน้าต่าง บันได ผนัง เพื่อกล่าวถึงบทบาทสมาคมบ้านเยาวชนฮ่องกง และความสำเร็จในการบูรณะและใช้ประโยชน์อาคารเหมยโฮวเฮ้าส์ในรูปแบบใหม่ วิดีทัศน์ฉายให้เห็นกระบวนการบูรณะ เพื่อย้ำถึงความสำเร็จของโครงการบูรณะอาคาร และการปรับใช้ประโยชน์เพื่อเป็นที่พักให้กับนักเดินทาง เหมยโฮวเฮ้าส์ในวันนี้มีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วยการเพิ่มตำแหน่งงาน และยกระดับคุณภาพสังคมในท้องถิ่น และการมีส่วนรวมภาคประชาชนในการพัฒนาพิพิธภัณฑ์
ภาพ 8 การจำลองห้องน้ำส่วนกลางที่เคยอยู่ทางเชื่อมอาคาร ไม่มีฝาประตูและเพดาน (ภาพโดยผู้ขียน)
ขบวนการฟื้นฟูมรดกเมืองทั้งสองแห่งเกิดขึ้นจากการใช้อาคารที่อยู่ในการครอบครองของรัฐ และเป็นอาคารประวัติศาสตร์ แต่ทั้งสองโครงการนั้นมีจุดเริ่มต้นในการทำงานและเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ก. การดำเนินการภายใต้แผนงานร่วมทุนรัฐกับเอกชน โครงการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ทั้งสองนั้นดำเนินการตามแผนงานร่วมทุนรัฐกับเอกชน (PPPS) ที่ตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2551 ในกรณีกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ แผนงานของภาครัฐในระยะแรกต้องการพัฒนาให้อาคารดังกล่าวเป็นพิพิธภัณฑ์โดยไม่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัย แม้จะมีข้อแลกเปลี่ยนในการจัดหาที่อยู่ให้ใหม่ แต่เป็นโครงการที่ “ไม่เห็นหัว” ของผู้อยู่อาศัยที่สูงวัยและไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเกิดการรวมตัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบ อาสาสมัครจากภายนอกและกลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ ร่วมกันต่อรองและนำเสนอแผนพัฒนารัฐร่วมเอกชน ที่ผู้อยู่อาศัยเดิมคงพำนักในอาคารประวัติศาสตร์ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวและบริหารพื้นที่
ส่วนโครงการเหมยโฮวเฮ้าส์นั้น ไม่มีผู้พำนักอาศัยแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2547 สมาคมบ้านพักเยาวชน (HKYA) เป็นผู้ที่ได้รับเลือกและลงทุนบูรณะอาคารให้เป็นบ้านพักเยาวชน และเป็นแหล่งรายได้ให้เหมยโฮวเฮ้าส์สามารถดำเนินกิจการได้อย่างยั่งยืน ส่วนพิพิธภัณฑ์เหมยโฮวเฮ้าส์พยายามนำเสนอเรื่องราวของคนฐานรากในสังคมฮ่องกง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยอยู่ในย่านร่วมเป็นแหล่งข้อมูลในการพัฒนานิทรรศการ และบริจาคข้าวของและภาพถ่ายสำหรับการจัดแสดงในนิทรรศการ
ข. เรื่องเล่าชนชั้นแรงงานที่แตกต่าง การจัดนิทรรศการของเหมยโหวเฮ้าส์ใช้ลำดับพัฒนาการย่านการเคหะ ใช้สำเนาภาพถ่าย การบรรยายสาระด้วยข้อความ สำเนาเอกสาร หนังสือพิมพ์ ฉากจำลองความเป็นอยู่ในแต่ละยุคของการเคหะ แต่การใช้เส้นตามลำดับความเป็นอยู่ จากความยากลำบากของชนชั้นแรงงงานสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่โครงการการเคหะที่รัฐอุดหนุน จากบรรยากาศชุมชนแออัดที่ทะมึนสู่ความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการเคหะ ในเบื้องปลายของนิทรรศการ แสงสว่างภายในนิทรรศการเชื่อมโยงกับการบูรณะเหมยโฮวเฮ้าส์ที่ตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นิทรรศการไม่ชี้ให้เห็นบทบาทของคนเล็กคนน้อยอย่างแท้จริง แต่กลับฉายพัฒนาการโครงการเคหะที่รัฐอุดหนุน และบทบาทของหน่วยงานที่มีส่วนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชนชั้นแรงงาน
ส่วนกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ ไม่มีการจัดแสดงนิทรรศการอย่างถาวร แต่ปรับใช้งานตามวาระต่าง ๆ เป็นทั้งสถานที่ที่เก็บร่องรอยต่าง ๆ เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะ เมื่อศิลปินสร้างสรรค์ผลงานจากแรงบันดาลใจของกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ เป็นสถานที่ทำกิจกรรมให้กับเด็ก ที่สำคัญคือ ผู้เช่าอาคารที่คงใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์นำชมเรื่องราวที่ตนสัมผัสทุกเมื่อเชื่อวัน
โครงการฟื้นฟูมรดกเมืองทั้งสองต่างมีวาระในการบอกเล่าที่แตกต่างกัน ผู้อาศัยในกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์ต้องการใช้เรื่องเล่าแสดงถึงสิทธิ์ของคนในเมือง แม้จะเป็นชนชั้นแรงงาน และเป็นสถานที่ที่มีความหมายในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน หากปราศจากผู้พำนักและเรื่องเล่า และพื้นที่กลายเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนจีนตามแผนงานของรัฐในระยะแรก กลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์คงจะเป็นเพียงซากสิ่งหลงเหลือจากอดีต (museumification) มากกว่าจะเป็นมรดกที่ยังคงมีชีวิต
ส่วนเรื่องเล่าใน “มรดกเหมยโฮวเฮ้าส์” ช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจพัฒนาการความเป็นอยู่ มีหลักฐานและข้อมูลที่ฉายภาพผู้อยู่อาศัยในอดีต กลุ่มนักเดินทางที่เข้าพักในบ้านพักเยาวชน สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของสถานที่ที่ตนเองพำนักในระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากพิเคราะห์ให้ลึกแล้ว การจัดแสดงเช่นนั้น อาจไม่สามารถสื่อสารถึง “เลือดเนื้อ” ของผู้ที่เคยพำนักอย่างแท้จริง ประเด็นทางสังคมอีกหลายอย่างไม่ได้รับการกล่าวถึงเช่นความไม่ปลอดภัยในการอยู่อาศัยในโครงการเคหะ
ค. กลไกในการขับเคลื่อน กรณีกลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์เกิดขึ้นจากความพยายามในการต่อรองสิทธิ์ของผู้เช่า เพราะโครงการพัฒนาของทางการมิได้ใส่ใจกับเรื่องราวของผู้คนที่เคยและยังดำรงอยู่ในอาคารดังกล่าว ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในการต่อรองกับทางการ อาศัยทั้งคนในย่านและอาสาสมัครจากวิชาชีพต่าง ๆ เช่น สถาปนิก นักสังคมสงเคราะห์ ที่มีบทบาทในการผลักดันให้กลุ่มอาคารบลูเฮ้าส์คงเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่นำเสนอเรื่องราวทางวัฒนธรรม “บลูเฮ้าส์” จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิ์ที่บุคคลพึงมี และเป็นกลไกในการรักษาข่ายใยทางสังคมของเมือง
ส่วนเหมยโฮวเฮ้าส์นั้นเป็นอาคารที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ข้อเสนอในการบูรณะอาคารเพื่อใช้เป็นบ้านพักเยาวชน จึงตอบโจทย์การใช้อาคารให้เกิดประโยชน์ และดำเนินกิจการเพื่อก่อรายได้ให้บ้านพักเยาวชน แม้นิทรรศการมรดกเหมยโฮวเฮ้าส์กล่าวถึงกลุ่มผู้อาศัยในการเคหะ และอาศัยความร่วมมือจากผู้ที่เคยใช้ชีวิตในย่านช่วยถ่ายทอดข้อมูลและบริจาคสิ่งของ แต่ภาพอดีตนั้นคือภาพสะท้อนของการหวนหาอดีต มิใช่ขบวนการเพื่อต่อสู้หรือต่อรองสิทธิ์ของกลุ่มชนชั้นแรงงานแต่อย่างใด
Cheung, E., & Chan, A. P. C. (2012). Revitalising Historic Buildings through Partnership Scheme: A case study of the Mei Ho House in Hong Kong. Property Management, 30(2), 176–189. https://doi.org/10.1108/02637471211213415
Chu, C. (2007). Heritage of Disappearance? Shekkipmei and Collective Memory(s) in Post Handover Hong Kong. TDSR, XVIII(II).
Comin, J. Y. (2019). Heritage and public housing in Hong Kong: The case of Mei Ho House [PhD Thesis]. Hong Kong Baptist University.
Lee, C. M. (2009). Whose Heritage? - A Study of a Conservation Movement in a Hong Kong Urban Building Complex [Master Thesis]. Chinese University of Hong Kong.
Lu, T. L. ‐D. (2009). Heritage Conservation in Post‐colonial Hong Kong. International Journal of Heritage Studies, 15(2–3), 258–272. https://doi.org/10.1080/13527250902890969
Proposing Community Heritage Preservation Model through the Blue House Project. (2007, June 18). Proceedings of the 6th Conference of the Pacific Rim Community Design Network. the 6th Conference of the Pacific Rim Community Design Network, Fujian. http://courses.washington.edu/quanzhou/pacrim/proceedings.html
Sham, D. (2017). Imagining a New Urban Commons: Heritage Preservation as/and Community Movements in Hong Kong (Woring Paper Series No. 260). Asian Research Institute.
St. James’ Settlement. (n.d.). VIVA BLUE HOUSE & Hong Kong House of Stories: Continue the Tong-lau Way of Life with All Its Diversity and Sense of Community. Google Arts & Culture.
Wong, W. H. (2018). Community Participation in Heritage Management: A Case Study of HK’s Conservation Approached [Master Thesis]. Anhalt University of Applied Sciences.