ทุกวันนี้ลิปสติกเป็นไอเท็มหลักในชีวิตของผู้หญิงจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน ผู้หญิงเราใช้ลิปสติกกันในชีวิตประจำวันแบบที่เรียกว่าตั้งแต่แตกเนื้อสาวยันเข้าโลงก็ว่าได้ ลิปสติกทำให้สาวน้อยรู้สึกว่าเธอเป็นสาวแล้ว ลิปสติกช่วยให้ความมั่นใจในการแต่งหน้าแต่งตัว ลิปสติกช่วยให้เรายิ้มได้อย่างมั่นใจ ลิปสติกบางสีช่วยทำให้บางวันเป็นวันพิเศษ ผู้หญิงไม่ทิ้งลิปสติกแม้เมื่อเธอจะอายุมากก็ตาม
แต่สาวๆ รู้หรือไม่ว่าลิปสติกนี่กว่ามันจะกลายเป็นของสามัญประจำริมฝีปากของเรา มันได้ผ่านบททดสอบของกาลเวลามาสาหัสขนาดไหน ..
ลิปสติก: ชนชั้นสูง หญิงงามเมือง แม่มด นักแสดง หญิงแกร่ง และเราๆ
คำว่า “ลิปสติก” ที่เราเรียกกันจนชินปากนี้เป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 นี้เอง แต่ก่อนหน้าที่จะมีคำเรียกนี้ มนุษย์เราได้ทาปากกันมานานนับพันปีแล้ว
ชาวสุเมเรียนแห่งเมโสโปเตเมียเป็นพวกแรกที่เริ่มทาสีบนริมฝีปากด้วยการใช้หิน/อัญมณีมาบดและผสมกับจาดตะกั่ว ชาวอียิปต์โบราณวาดริมฝีปากให้แดงด้วยสีที่สกัดจากแมลง และการวาดริมฝีปากนั้นเป็นการแสดงถึงสถานะทางสังคม ไม่ใช่เป็นการระบุถึงเพศเช่นทุกวันนี้ ในยุคกรีก ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้แต่งหน้ากัน การทาปากสีแดงเป็นการส่งสัญญาณว่าหญิงนั้นเป็นโสเภณี ในยุคโรมันนั้น การทาปากเป็นการกระทำเพื่อบ่งบอกสถานภาพทางสังคม ผู้ชายที่มีสถานะสูงก็ทาปากได้ การทาปากไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ สิ่งที่มนุษย์ในยุคโบราณใช้สร้างสีมีทั้งอัญมณี พืช สัตว์ แร่ธาตุต่างๆ
ช่วงยุคกลาง ศาสนจักรซึ่งมีอำนาจสูงสุดได้ประณามการใช้ลิปสติกอย่างรุนแรง ด้วยความเชื่อว่าผู้หญิงที่ทาปากแดงเป็นพวกที่บูชาซาตาน หรือเป็นซาตานกลับชาติมาเกิด หรือไม่ก็ต้องเป็นแม่มด นอกจากนี้ผู้หญิงที่ทาปากสีจัดมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับโสเภณี ผู้หญิง “ปกติ” ที่รักความงามระเรื่อของริมฝีปาก ไม่อาจทาลิปสติกสีจัดได้ จึงมักใช้ขี้ผึ้งที่มีสีแต่น้อย หรือไม่ก็กัดริมฝีปากหรือนวดให้ริมฝีปากมีสีแดงเรื่อ
ในอังกฤษ ควีนอลิซาเบธที่หนึ่งชมชอบการใช้ลิปสติกมาก ภาพจำของพระองค์คือผู้หญิงหน้าขาวเผือด และทาปากแดง ในยุคนี้แม้ว่าลิปสติกจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่วัตถุดิบต่างๆ ล้วนหายาก และเพียงพอสำหรับคนเพียงหยิบมือเดียว เมื่อพ้นสมัยควีนอลิซาเบธที่หนึ่ง ก็มีความพยายามที่จะ “แบน” ลิปสติกโดยรัฐสภาอังกฤษ ในปีค.ศ. 1650 เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษมองว่าการทาริมฝีปากเป็น “การเพ้นท์ที่อัปลักษณ์” หลังจากนั้นในปีค.ศ. 1770 รัฐสภาอังกฤษประกาศว่าผู้หญิงที่ใช้เครื่องสำอางและยั่วยวนผู้ชายด้วยเมคอัพ มีความผิด จะไม่ได้รับอนุญาตให้สมรส หรือให้ถือว่าการสมรสเป็นโมฆะ และหญิงเหล่านั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ตกทอดมาจากยุคกลางเลยทีเดียว ความเดียดฉันทน์ที่มีต่อลิปสติกยังคงสืบเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 19 ในยุคควีนวิคตอเรีย ซึ่งเป็นยุคที่สังคมมองว่าการแต่งหน้าเป็นเรื่องไม่สุภาพ เป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ ยกเว้นจะใช้กันในหมู่โสเภณีและนักแสดง กล่าวได้ว่าตลอดศตวรรษที่ 19 การใช้เครื่องสำอางยังไม่เป็นที่ยอมรับในอังกฤษสำหรับผู้หญิงที่สูงเกียรติ เพราะเครื่องสำอางเป็นเรื่องของชนส่วนน้อยคือนักแสดงและโสเภณี ผู้หญิงธรรมดาที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้าทาปากก็จะถูกมองว่าแก่นกล้ากินเหตุ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ลิปสติกก็ยังคงมีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แม้ว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สังคมในยุโรปจะยอมรับได้ที่ผู้หญิงจะทาปากในเวลาอาหารกลางวัน แต่กลับรับไม่ได้หากจะทาปากในเวลาอาหารค่ำ !!
อย่างไรก็ตาม ในฝรั่งเศสกลับไม่เป็นเช่นนั้น ลิปสติกสมัยใหม่ถูกคิดค้นขึ้นโดยบริษัทเครื่องสำอางสัญชาติฝรังเศสชื่อ Guerlain และได้มีการผลิตเพื่อขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนับแต่ปีค.ศ. 1884 เป็นต้นมา
ส่วนในอเมริกานั้น ก่อนศตวรรษที่ 19 ก็เป็นเช่นเดียวกับในยุโรป คือลิปสติกไม่ใช่เครื่องสำอางที่ผู้หญิงทั่วไปใช้ เมื่อเข้าสู่ต้นศตวรรษที่ 20 ก็มีเพียงแวดวงแฟชั่นเท่านั้นที่ยอมรับการใช้ลิปสติก ในทางสังคมนั้นบางรัฐในอเมริกา เช่น แคนซัส มีกฎหมายห้ามผู้หญิงอายุน้อยกว่า 44 ปีแต่งหน้า เมื่ออุตสาหกรรมภาพยนต์ในอเมริกาเติบโตขึ้นในศตวรรษที่ 20 การปรากฏของลิปสติกก็แพร่หลายไปในสังคมมากขึ้นจากอิทธิพลของดาราภาพยนตร์ แต่ในความรับรู้ของคนทั่วไป ลิปสติกยังคงเป็นประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันและเป็นข้อถกเถียงในสังคม กล่าวคือ ลิปสติกถูกมองอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศหรือเป็นสัญลักษณ์ทางเพศของผู้ใหญ่ ในขณะที่วัยรุ่นมองว่าลิปสติกเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง ดังนั้นผู้ใหญ่จึงมักมองวัยรุ่นที่ทาปากว่าเป็นพวกท้าทายอำนาจหรือมีการกระทำที่ต่อต้านสังคม ลิปสติกจึงเป็นชนวนหนึ่งของการถกเถียงระหว่างวัยรุ่นกับพ่อแม่
ในบริบทสังคมที่กว้างกว่านั้น ลิปสติกก็ยังคงถูกโยงเข้ากับโสเภณี โดยนิตยสารในอเมริกาบางฉบับได้ส่งเสียงเตือนเด็กสาวๆว่าผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิงที่แต่งหน้า ผู้ชายชอบผู้หญิงที่หน้าตาธรรมชาติ การแต่งหน้าจะส่งผลให้ผู้หญิงไม่เป็นที่ยอมรับ เสี่ยงต่อความล้มเหลวในหน้าที่การงาน เด็กวัยรุ่นไม่ควรได้รับอุญาตให้แต่งหน้าทาปากเพราะเกรงสังคมจะเข้าใจผิดว่าเป็น “ผู้หญิงไม่ดี”
อย่างไรก็ดี ลิปสติกไม่ได้มีความหมายแค่การเป็นสัญลักษณ์ทางเพศเท่านั้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิงได้ทำให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ลิปสติกซึ่งเคยมีความหมายเพียงเรื่องเพศ ได้มีความหมายใหม่เพิ่มเข้ามาคือการปลดปล่อยของผู้หญิงในทางการเมืองด้วย
ในความขัดแย้งนานาที่ลิปสติกได้เผชิญมา มันได้รับการยอมรับอีกครั้งด้วยการทาปากสีจัดของอลิซเบธ เทย์เลอร์ และมาริลิน มอนโร ในช่วงทศวรรษ 1950 ความโด่งดังของพวกเธอทำให้เด็กสาวจำนวนมากกล้าลุกมาทาปากแดงตามเธอ ความย้อนแย้งเกิดขึ้นอีกเมื่อ ลิปสติกได้รับความนิยมอย่างมาก มีการผลิตลิปสีต่างๆมากมาย มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้ง่ายจนเป็นที่แพร่หลาย และในทศวรรษ 1960 ลิปสติกก็ถูกโยงกับความเป็นผู้หญิงอย่างแนบแน่น จนถึงขนาดว่าผู้หญิงที่ไม่ทาลิปสติกจะถูกเข้าใจว่ามีความเจ็บป่วยทางจิตหรือว่าเป็นเลสเบี้ยนไปเลย
ลิปสติกได้เดินทางมาไกลมากในอารยธรรมของมนุษย์นับจากยุคโบราณมาถึงปัจจุบัน เรื่องราวของลิปสติกในศตวรรษที่ 21 จะเป็นเช่นไรย่อมอยู่ที่เราๆ จะนิยามและให้ความหมายกับมัน
Happy International Lipstick Day!!!
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://blog.mylola.com/womens-health/history-lesson-lipstick-ancient-mesopotamia-today/
https://sheerblends.com/blogs/news/happy-international-lipstick-day