รู้ไว้ใช่ว่า
[ #MuseumCore] 11.11 จากวันคนโสดสู่วันช็อปปิ้ง การโต้กลับทางวัฒนธรรมผ่านทุนนิยม
รู้ไว้ใช่ว่า
10 พ.ย. 63 705

ผู้เขียน : ยุภาพร ธัญวิวัฒน์กุล

ก่อนหน้านี้สังคมไทยไม่เคยมีวันสำหรับคนโสดมาก่อน แต่ในช่วง 4-5 ปีมานี้ คนไทยเริ่มรู้จักวันคนโสดมากขึ้นผ่านโปรโมชั่นการช็อปปิ้งสินค้าออนไลน์ช่วงการฉลองวันคนโสด 11 พฤศจิกายน ที่มีบรรดาสินค้ามากมายลดราคาต่ำสุดยั่วใจเหล่านักช็อป

วันคนโสดมาจากไหน?

เดิมทีวันคนโสดถูกเรียกว่า “วันชายโสด” มีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มนักศึกษาชาย (ไม่มีแฟน) ของมหาวิทยาลัยนานกิง ประเทศจีน ในช่วงทศวรรษ 1990 กำหนดขึ้นเองเพื่อไปฉลองสังสรรค์กัน โดยการเลือกกำหนดให้เป็นวันที่ 11.11 มาจากแนวคิดว่า 1 เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงสถานะตัวคนเดียว หรือปัจเจกบุคล  เมื่อเลข 1 มารวมกันถึง 4 ตัวในเดือนพฤศจิกายนจึงเปรียบเหมือน “วันรวมตัวของคนเหงา” ได้มาร่วมปาร์ตี้ฉลองกัน ต่อมาแนวคิดนี้ได้แพร่ความนิยมทั่วไปทั้งผู้ชายและผู้หญิงในกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ต่างก็สนุกสนานกับวันฉลองนี้

 

จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 2009 แจ๊ค หม่า ซีอีโอบริษัทอาลีบาบา กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ชจำหน่ายสินค้าปลีกสัญชาติจีนมองเห็นโอกาสทำกำไรจากการเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ภายใต้แนวคิดว่า “คนโสดคือนักช็อปตัวยง” ซึ่งมักมีพฤติกรรมจับจ่ายใช้เงินซื้อของและซื้อความสุขให้ตัวเองค่อนข้างสูงกว่าคนที่มีครอบครัว อีกทั้ง คนกลุ่มนี้มีอัตราเติบโตสูงและกำลังขยายวงกว้างขึ้น บริษัทฯ ริเริ่มนำแผนการตลาดโดยทำแคมเปญลดราคาสินค้าถูกที่สุดในรอบปีเพียงวันเดียวเท่านั้นมาใช้โปรโมทร่วมกับการฉลองวันคนโสดและได้กระแสการตอบรับที่ดีมาก สามารถกระตุ้นให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จนเรียกได้ว่าเป็น “งานช้อปปิ้ง 24 ชั่วโมงที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจลงทุนซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทลาซาด้ากรุ๊ปที่มีฐานส่วนแบ่งในตลาดการค้าปลีกออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ธรรมเนียมการฉลองวันคนโสดด้วยการช็อปปิ้งกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่จากจีนถูกส่งออกไปเผยแพร่ยังภูมิภาคอื่นผ่านระบบทุนนิยมการค้าไปโดยปริยาย รวมถึงประเทศไทยด้วย

 

จาก Single Being กลายเป็น New Normal

แม้ว่าวันคนโสดจะไม่ใช่วันสำคัญทางวัฒนธรรมแต่การเฉลิมฉลองวันคนโสดอย่างเอิกเกริกทั้งการช็อปปิ้งและปาร์ตี้ในกลุ่มหนุ่มสาวยุคใหม่กลายเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ สังคมโลกหลังปี ค.ศ. 2000 กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยอิทธิพลจากอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาก้าวไปไกล

 

จากค่านิยมและบรรทัดฐานเดิมที่ตกทอดมาจากสังคมยุคเก่าที่ยึดถือตามแนวคิดของลัทธิขงจื้อที่สร้างกรอบให้คนวัยเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องแต่งงาน มีครอบครัวมีทายาทสืบสายตระกูล สังคมได้สร้างภาพลักษณ์ของคนไร้คู่อ้างว้างโดดเดี่ยวและลดทอนคุณค่าในตัวตน จัดเป็นกลุ่มคนที่น่าสมเพช ซึ่งเป็นภาวะสังคมกดทับทำให้คนต้องก้มหน้ายอมรับ คนโสดจำนวนมากพยายามแสวงหาคู่ครองและแต่งงานให้ได้ ทำให้มีหลายธุรกิจบริการเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ทั้งบริการจัดหาคู่แต่งงาน เจ้าสาวต่างแดน หรือแม้แต่บริการรับจ้างเป็นแฟนในช่วงเทศกาลเมื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิด รวมถึงการแต่งงานบังหน้าเพื่อปกปิดรสนิยมกรณีชายรักชาย หรือการลักลอบรับจ้างตั้งท้องให้กับครอบครัวที่มีบุตรยาก

 

แต่ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมาผลสำรวจหลายประเทศในเอเชียที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทยฯลฯ พบว่าค่านิยมเรื่อง “การเป็นโสด” กลายเป็นค่านิยมที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานยุคใหม่โดยเฉพาะคนยุค Gen X และ Y ที่มีความพอใจกับการใช้ชีวิตโสดหรือแต่งงานแต่ไม่มีพันธะเรื่องลูก พวกเขาแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการให้ความสำคัญกับความสุขของตนเอง เห็นคุณค่าในตัวตนมากขึ้น และมีอิสระทางความคิด เลิกยึดติดกับกรอบสังคม สถานะโสดจึงเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่าเป็นเรื่องปกติสามัญ ทำให้เห็นว่าการเฉลิมฉลองและประกาศตนอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นคนโสด” รวมถึงการซื้อสินค้าเพื่อปรนเปรอตนเองอย่างอิสระ สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนปฏิกิริยาโต้กลับทางสังคมวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการปลดเปลื้องจากการกดทับภายใต้กรอบของสังคมเก่าอีก ปัจจุบัน Single Being ได้กลายเป็น New Normal ในสังคมโลกยุคใหม่ไปแล้ว

 

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ