ห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยโต๊ะที่ถูกวางอย่างเป็นระเบียบ มีกระดานดำอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าของห้อง และส่วนบนของกระดานดำถูกติดด้วยภาพสถาบันหลักของชาติไทย ภาพห้องเรียนของนักเรียนไทยที่หลายคนคงชินตา คนหลายรุ่นหลายช่วงเวลาคงผ่านห้องเรียนแบบนี้ ถึงแม้อาจจะมีปรับเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกระแสเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้กายภาพของห้องเรียนเปลี่ยนไป แต่สิ่งสำคัญที่โรงเรียนไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือห้องเรียนเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ความเป็นไทย “ทำให้นักเรียนเห็นว่าอะไรคือไทยหรืออะไรไม่ใช่ไทย” เป็นที่ที่จะเลือกเอาคำนิยามความเป็นไทยบางอย่างมาจัดแสดงในห้องเรียน และเลือกที่จะละทิ้งซ่อนคำนิยามบางส่วนเอาไว้นอกห้องเรียน บทบาทครูจะต้องตระหนักถึงการจัดการเรียนรู้อย่างไรที่ไม่ใช่การผลิตค่านิยมเดิมแล้วส่งต่อ แต่ควรที่จะต้องท้าทายวิธีคิดของนักเรียนในการเรียนรู้ความเป็นไทยอย่างวิพากษ์
เปลี่ยนจากครูผู้ตอกย้ำสู่ครูผู้ถอดรื้อความเป็นไทย
หากครูลองถามว่าความเป็นไทยคืออะไร ลองให้นักเรียนยกตัวอย่างขึ้นมา คำตอบที่ได้นักเรียนจะเอ่ยถึง รำ โขน ชุดผ้าไหมไทย และวัด เป็นหลัก ทำไมนักเรียนถึงตอบเช่นนั้น และคำตอบที่เขาแสดงออกมาเกิดจากการคิดหรือการถูกให้คำตอบมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการเรียนใช่หรือไม่
“การศึกษาแบบฝากธนาคาร (Banking Education)” เป็นแนวคิดสำคัญที่แฟรรี นักการศึกษาสายวิพากษ์ชาวบราซิล ได้เสนอขึ้นมาเพื่อวิพากษ์การศึกษาและการสอน ซึ่งเขามองว่านักเรียนเป็นผู้ที่รอรับความรู้ และรอให้ครูเข้ามาเติมเต็มความรู้ แล้ววัดว่ามีความรู้เรื่องนั้นในปริมาณมากน้อยเพียงใด บทบาทครูจึงเสมือนเป็นผู้ตอกย้ำความรู้การทำความเข้าใจความเป็นไทยลงในสำนึกของนักเรียนอย่างไร้คำถาม
เหล่าบรรดานักการศึกษาเชิงวิพากษ์ต่างเห็นด้วยกับแฟรรีและเสนอต่อไปว่า การศึกษาและการสอนไม่มีความเป็นกลาง ความรู้ที่ถูกส่งผ่านระบบการศึกษาแฝงไปด้วยลัทธิความเชื่อ อุดมการณ์ ของชนชั้นหนึ่ง บทบาทครูถูกมอบหมายให้เป็นผู้รักษาความสัมพันธ์เชิงระบบโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมให้ดำรงอยู่ ตลอดจนสร้างโลกทรรศน์ที่บิดเบือนจนทำให้เกิดความรู้สึกว่าโลกสังคมที่ดำรงอยู่เป็นสิ่งที่ปกติ ถ้าหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์ของการสร้างความเป็นไทย ความเป็นไทยมีหน้าตาแต่ละยุคที่ต่างกันออกไป เพราะถูกช่วงชิงการให้ความหมายจากท่ามกลางผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายเพื่อที่จะให้คำนิยามหลักของความเป็นไทยให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา มักจบลงด้วยการที่ใครที่มีอำนาจมากกว่าในเวลานั้นกลายเป็นผู้ขีดเขียนความเป็นไทยขึ้นมาในห้องเรียน
ครูต้องกลับมาตั้งคำถามต่อความรู้ที่อยู่ในการศึกษา หรือสิ่งที่ครูสอนว่ามันกำลังถูกครอบงำด้วยโลกทรรศน์หรือคำนิยามของใคร และผลักดันให้นักเรียนท้าท้ายกับคำนิยามเดิม ๆ นอกจากนี้นักการศึกษาหลังสมัยใหม่ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า การศึกษาและการสอนเป็นเรื่องเล่ากระแสหลัก ที่ถูกกำหนดขึ้นจากการประกอบสร้างในสังคมเพื่อสร้างภาพตัวแทนความจริงชุดหนึ่งขึ้นมา ดังที่นักเรียนเชื่อว่าความเป็นไทยก็มีเพียงภาพเดียวคือ “โขน รำ ชุดไทย”
ดังนั้นการรื้อสร้างจึงเป็นบทบาทของครูที่จะทำให้นักเรียนเห็นว่าความเป็นไทยไม่ได้หยุดนิ่งหรือเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มีการถูกสร้างและเปลี่ยนแปลงเสมอ และความเป็นไทยกระแสหลักได้ไปลดทอนหรือเพิ่มอำนาจให้กับคนกลุ่มใด ครูจะต้องทำให้เรื่องความไม่เป็นไทยที่ไม่ได้ถูกเล่าได้ถูกเล่า เรื่องที่ไม่ได้ถูกนับให้ถูกนับ มองเห็นความเป็นไทยที่กว้างขึ้น และเชื้อเชิญให้นักเรียนตั้งคำถามถึงการกำหนดคุณค่าของความเป็นไทย
ปฏิบัติการถอดรื้อความเป็นไทยในห้องเรียน
การถอดรื้อคือความท้าทายของครูในการสอน เราจะออกแบบการสอนอย่างไรที่ไม่ใช่การส่งต่อความรู้แบบฝากธนาคาร ผมขอเล่าถึงห้องเรียนของผมหัวข้อ “พลเมืองกับวัฒนธรรม” ในวิชาสังคมศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของผู้เขียนเอง เรื่อง “วัฒนธรรมในสังคมไทย” ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการสอน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการรื้อสร้างความหมายวัฒนธรรม และมองเห็นความเป็นไทยในชีวิตประจำวัน มีการแบ่งขั้นตอนการเรียนรู้ออกเป็น 5 ขั้นตอนที่สำคัญ ใช้ระยะเวลา 3 ชั่วโมงการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 1
ขั้นตอนที่ 1 สำรวจความหมายเดิม: เป็นขั้นตอนของการให้นักเรียนกลับมาสำรวจกับสิ่งที่ตนเองคุ้นเคย ด้วยการกลับไปถามว่าตัวนักเรียนกำลังนิยามความหมายของสิ่งที่ตนเองสำรวจว่าอย่างไร
ผมเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนบอกสิ่งที่คิดว่าเป็นวัฒนธรรมมาคนละ 1 อย่างห้ามซ้ำกัน เป็นที่น่าสังเกตและเป็นไปตามคาดว่า วัฒนธรรมที่นักเรียนเลือกยกมานั้นจะเป็นวัฒนธรรม เช่น รำไทย ชุด ประเพณี การทำบุญ ซึ่งเป็นการมองวัฒนธรรมที่อยู่บนการนิยามแบบความดีงามหรือตามแบบชั้นสูง เมื่อทุกคนบอกเสร็จผมจึงถามกลับไปว่า ทำไมตัวนักเรียนนึกถึงสิ่งเหล่านี้เพื่อเปิดประเด็นในขั้นต่อไป
ขั้นตอนที่ 2 ท้าทายต่อมุมมองความหมายเดิม: เป็นขั้นตอนที่สร้างสถานการณ์ให้นักเรียนได้เกิดข้อขัดแย้งต่อความหมายที่ตนเองเคยให้ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการถกเถียงต่อความหมายเดิม
นักเรียนจะต้องถกเถียงเรื่องความหมายของวัฒนธรรม โดยผมเริ่มแจกภาพวัฒนธรรม 10 ภาพ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม เช่น หมูกระทะ, เด็กแว้นซ์, โทรศัพท์, Facebook, กินเจ เป็นต้น แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกภาพที่คิดว่าเป็นภาพของวัฒนธรรมไว้ซ้าย และภาพที่ไม่ใช่วัฒนธรรมไว้ขวามือของโต๊ะ
เมื่อผมถามว่า “วัฒนธรรมคืออะไร ต้องเป็นสิ่งที่มีมานานใช่ไหม นานแค่ 2-3 ปีได้ไหม” สิ่งที่เกิดขึ้นนักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่าวัฒนธรรมต้องดีและมีการสืบทอดมายาวนานเป็นร้อยปี ต้องเป็นสิ่งที่มีมาก่อนเกิด ดังนั้นภาพโทรศัพท์ ภาพFacebook ภาพหมูกระทะ ภาพเด็กแว้นซ์ ที่เป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยก็เลยไม่ถูกนับ
ขั้นตอนที่ 3 สร้างความหมายใหม่: เป็นขั้นตอนนำเสนอความหมายใหม่ โดยมีการเชื่อมโยงไปสู่การอธิบายเชิงเนื้อหา
หากลองเปิดตำราเรียนทางสังคมวิทยา มานุษยวิทยา คำว่า “วัฒนธรรม” อาจนิยามอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมทำจนรู้สึกเป็นเรื่องปกติ เกิดเป็นสำนึกที่คุ้นชิน หากมองเช่นนี้แล้วความเป็นไทยที่เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งย่อมไม่ใช่หมายถึงวัฒนธรรมที่มาจากชนชั้นสูงหรือมาจากรัฐเพียงอย่างเดียว
ขั้นตอนดังกล่าวผมทำการขยายความหมายของวัฒนธรรมในอีกมุมแบบง่าย ๆ โดยอธิบายว่าวัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจนทำเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องดีงามเสมอไป เพื่อให้นักเรียนมีกรอบการมองวัฒนธรรมที่ขยายความหมายของวัฒนธรรมให้ไปสู่ชีวิตประจำวันของตัวเองมากขึ้น มีนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้นมาทันทีว่า “อ้าว ถ้าแบบนั้นการที่เราเล่น Facebook, กินหมูกระทะ ก็ใช่ ใช่ไหมครู” “ครูแล้วถ้าเราหิวเราไปกินข้าว แบบนี้เรียกว่าวัฒนธรรมไหม” เป็นคำถามที่สองต่อจากคำถามที่หนึ่ง
เมื่อนักเรียนได้นิยามของวัฒนธรรมที่ลงสู่วัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน จึงลองให้นักเรียนกลับไปมองวัฒนธรรมที่นักเรียนคุ้นเคยหรือรู้จักว่าวัฒนธรรมที่เป็นอยู่จริง มีวัฒนธรรมไทยแท้หรือไม่ เพราะแท้จริงแล้ววัฒนธรรมมีการผสมผสานอยู่ตลอดเวลา และมีการเปลี่ยนแปลงและถูกสร้างขึ้นมาในแต่ละช่วง จากแนวคิดที่ว่าจึงได้นำภาพวัฒนธรรมมาให้นักเรียนแยกว่า อะไรคือไทยแท้ให้ไว้ซ้ายมือ และไทยผสมให้ไว้ขวามือ สิ่งที่สังเกตเห็นคือนักเรียนเริ่มมีการเถียงกัน เช่น โขน ภาษาไทย ว่าแท้จริงแล้วเรามีการรับมาจากที่อื่น ปิดท้ายชั่วโมงด้วยการเฉลย และชวนคิดว่าไทยแท้มีจริงไหม ?
ชั่วโมงที่ 2
ขั้นตอนที่ 4 นำไปประยุกต์เชื่อมโยง: เป็นการให้นักเรียนได้นำความหมายใหม่ กรอบคิดหรือมุมมองใหม่ที่ได้มาใช้ในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ผมเปิดคลิปสั้นและภาพ สลับกับการตั้งคำถามเป็นหลัก เป็นการให้นักเรียนได้ลองเชื่อมโยงวัฒนธรรมกับปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันเข้ากับเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ เรื่องที่นำมาเป็นเรื่องตั้งแต่วัฒนธรรมบนรถเมล์ไทย วัฒนธรรมไสยศาสตร์ วัฒนธรรมรับน้อง วัฒนธรรมดราม่า และวัฒนธรรมในคำสอน ( เช่น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ )
ผมขอยกตัวอย่าง “คลิปวิดีโอสาธิตความปลอดภัยบนรถเมล์” ของ salmon ผมเปิดให้นักเรียนชม ซึ่งปฏิกิริยาระหว่างการชมวิดีโอของนักเรียนพบว่า ส่วนใหญ่ตลกขำขันกับการเสียดสีของคลิปและเห็นว่ามันตรงกับชีวิตจริงมาก หลังคลิปผมมีคำถามว่า “วัฒนธรรมแบบรถเมล์ไทยเกี่ยวข้องกับสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ อย่างไร” นักเรียนคนหนึ่งแสดงความเห็นว่า “บนรถเมล์ เราไม่มีสิทธิในเรื่องความปลอดภัยเท่าไหร่เลยครู”
ชั่วโมงที่ 3
ขั้นตอนที่ 5 สะท้อนคิดการเรียนรู้: เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ให้นักเรียนได้สร้างบทสนทนากับตัวเอง เพื่อตกตะกอนความคิด และอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้ของตัวเองอย่างไร
ผมนำเอาบทความเรื่อง “รสไทยแท้(ของแม่มึง)” ของคุณโตมร สุขปรีชา จากหนังสือ The Powerism ซึ่งเป็นบทความที่พูดถึงการพยามทำให้อาหารไทยมีความเป็นแบบเดียว มาให้นักเรียนอ่านแล้วชวนตั้งคำถามกับตัวเอง (แต่ยังไม่ทันได้อ่าน พอพูดถึงคำว่า “มึง” นักเรียนจะเอ่ยทันทีว่าครูกำลังพูดคำหยาบ เลยลองถามว่าใครเป็นคนกำหนดว่าคำนี้หยาบหรือห้ามพูด )
“การพยามทำให้อาหารไทยแท้มีแบบเดียว สะท้อนถึงวิธีคิดการปกครองแบบใด” เป็นคำถามที่ให้นักเรียนหลังอ่านจบเพื่อเขียนแสดงความคิดเห็น นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการสะท้อนการปกครองแบบเผด็จการ ที่ไม่เปิดโอกาสให้มีอาหารที่หลากหลายรสชาติ นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยกับผมว่า “ทำไมวัฒนธรรมในสังคมเราชอบเป็นแบบเผด็จการ ครูดูอย่างการตัดผมนักเรียนชายก็ได้”
ปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งนี้พบว่า สิ่งที่สังเกตเห็น นักเรียนได้ตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกปลูกฝังต่อวัฒนธรรมคำตอบมายาวนาน ที่สำคัญพวกเขากล้าจะเริ่มคิดกับวัฒนธรรมความเป็นไทยในมุมใหม่มากขึ้น
ก้าวพ้นความเป็นไท(ย)
ถึงท้ายที่สุดแล้วการศึกษาและการเรียนไม่ได้มีความเป็นกลาง พลังความรู้ที่ครูถูกให้สอนนั้นมีการเลือกที่จะแสดงและเลือกที่เก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้ และยังทำให้นักเรียนขาดการมองเห็นอย่างวิพากษ์ สิ่งสำคัญครูต้องสร้างปฏิบัติการการเรียนรู้ให้นักเรียนในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง มองเห็นถึงความเป็นไทยที่กว้างขึ้น หลากหลายขึ้น เห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างคุณค่าบางอย่างและท้าท้ายคุณค่านั้น เพื่อก้าวพ้นการสร้างพลเมืองที่จองจำกับ “ความเป็นไทย” สู่การสร้างพลเมืองที่มี “ความเป็นไท”
อรรถพล ประภาสโนบล
ชีวิต วัฒนธรรม ธรรมชาติ. / สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
ศิลปวัฒนธรรมไทย สายใยจากอดีต. / วาสนา บุญสม. อ่านออนไลน์