เวียดนาม หนึ่งในประเทศที่โด่งดังจากสงครามอินโดจีน เป็นที่รู้จักของนานาประเทศในฐานะสนามรบทางอุดมการณ์ระหว่างประชาธิปไตยและสังคมนิยม จากเหนือจรดใต้ สงครามปะทุขึ้นในแทบจะทุกอาณาบริเวณของประเทศ หลังสงครามจบใน ค.ศ. 1975 รูปธรรมของความทรงจำปรากฏชัดผ่านวัตถุจัดแสดงกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ หลายสิบแห่งภายในประเทศ บางแห่งสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในสงครามเป็นการเฉพาะ
กลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ผู้เขียนเดินทางไปเวียดนามใน 3 เมืองหลัก เดียนเบียน ซาปา และฮานอย อาจารย์ของผู้เขียนซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดการมรดกวัฒนธรรม แนะนำให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในทุกเมืองที่ไปถึง พร้อมกล่าวเป็นนัยว่า ให้ลองมองหาเรื่องราวเบื้องหลังการจัดแสดง เพราะเวียดนามได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่ใช้พิพิธภัณฑ์สร้างชาติได้อย่างแยบยล
ผู้ให้อภัย New Dien Bien Phu Museum
เริ่มต้นที่เมืองเดียนเบียน ทางตอนเหนือของเวียดนาม เดียนเบียนเป็นที่รู้จักในฐานะของสงครามครั้งสุดท้ายที่ประกาศชัยเหนือศัตรู ใน ค.ศ. 1954 ทหารเวียดกงภายใต้การนำของ โฮจิมิน เอาชนะกองทัพฝรั่งเศสที่มากไปด้วยปืนกลและรถถัง ชาติตะวันตกกลับต้องพ่ายให้กองกำลังที่มีเพียงทหารเดินเท้าและอาวุธที่เป็นรอง แต่ด้วยกลศึกที่เหนือชั้นและความชำนาญทางภูมิศาสตร์ จึงสามารถประกาศชัยเหนือศัตรูเอาไว้ได้ ความสำเร็จในครั้งนั้นถูกนำมาบอกเล่าผ่านการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เดียนเบียนฟู เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่สร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 60 ปี สงครามเดียนเบียน ใน ค.ศ. 2003 ภายใต้การดูแลของรัฐ มีวัตถุจัดแสดงราว 270 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากสงคราม ตั้งแต่อาวุธ เครื่องแต่งกาย ยารักษาโรค และของใช้ในชีวิตประจำวันของกองกำลังทั้งสองฝ่าย เล่าเรื่องตามช่วงเวลาทางประวัติศาตร์ตั้งแต่เริ่มจนจบสงคราม
ไม่ใช่เพียงทหารกล้าที่ได้รับการบันทึกลงในเรื่องเล่า พิพิธภัณฑ์ยังได้แบ่งพื้นที่ให้กับ “แนวหลัง” แพทย์ ชาวนา และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่คอยปลูกข้าวส่งน้ำเป็นท่อเสบียงให้กับกองทัพ ภาพถ่ายกิจกรรม เครื่องใช้สอยต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่ต้านภัยจากผู้รุกราน
สำหรับผู้เขียน หนึ่งในความน่าสนใจของเรื่องเล่าภายในนั้นนอกจากการแบ่งพื้นที่ให้กับคนแนวหลังแล้ว อยู่ที่การนำเสนอตัวเองอย่างไรในเรื่องเล่า ซึ่งพิพิธภัณฑ์เลือกกล่าวถึงตัวเองในฐานะของ “ผู้ชนะที่ให้อภัยแก่ศัตรู” ที่เริ่มปูพื้นตั้งแต่ ส่วนจัดแสดงที่ว่าด้วยเหตุการณ์หลังจบสงคราม เริ่มที่การปราชัยของฝรั่งเศส ภาพข่าวตัด โปสเตอร์ระบุความสำเร็จเหนือศัตรูที่กลายมาเป็นความสำเร็จของชาติหาใช่เพียงทหารและกองทัพ ตลอดจนภาพของทหารฝรั่งเศสที่ได้รับการช่วยเหลือจากเหล่าแพทย์และชาวบ้านของฝั่งตรงข้าม ก่อนส่งกลับไปยังมาตุภูมิ และจบลงที่ทหารจากสองฝากโอบกอดกัน
ศัตรูที่ถูกดูแลใน Hoa lo prison historical relic
ภาพของการให้อภัยนั้นยังถูกฉายซ้ำอย่างต่อเนื่องในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เรือนจำ Hoa lo prison historical relic ที่เมือง ฮานอย เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ในช่วงที่เวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ในช่วงแรก เรือนจำ Hoa lo ถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมืองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอาณานิคม ผู้นำและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหญิงชายหลายคนเคยถูกจองจำที่นี่ หลังการถอยร่นของฝรั่งเศสสู่การก้าวขึ้นมาของฝ่ายซ้ายที่มีชัยเหนือเอกราช เรือนจำกลายเป็นสถานที่คุมขังเชลยศึกชาวตะวันตก ในช่วงสงครามอินโดจีน ทหารฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาถูกนำตัวมาคุมขังอยู่หลายปี ก่อนส่งกลับประเทศ ว่ากันว่า จอห์น แมคเคน อดีตสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ก็เคยถูกจองจำอยู่ 5 ปี สมัยเป็นนักบิน
ความแยบยลของการจัดแสดงนั้นอยู่ที่ความพยายามในการสร้างภาพเปรียบเทียบ ในช่วงที่ฝรั่งเศสเรืองอำนาจ เรือนจำถูกให้ภาพสถานที่ไม่ต่างจากนรกบนดิน เครื่องทรมาน ภาพการประหารด้วยกิโยติน ถังรองหัวมนุษย์ที่ถูกบั่น ห้องขังที่ชื้นเจือกลิ่นราและอับแสง คลุ้งไปด้วยโรคร้ายและความตาย ถูกจำลองด้วยรูปจำลองนักโทษผอมหนังหุ้มกระดูกที่ถูกโซ่ล่ามแม้ยามนอน
ในทางตรงกันข้าม เรือนจำภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์นั้น นักโทษที่ถูกจองจำกลับได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกับพลเมืองนอกแดน ภาพกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ของเชลยชาวตะวันตกถูกนำเสนอสลับกับข้าวของเครื่องใช้ มีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสให้นักโทษ เต้นรำ เล่นเกมส์กระดาน ไปจนถึงของขวัญจากนักโทษที่มอบให้กับโฮ จิมินท์ ในฐานะที่ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีแม้จะเป็นศัตรูผู้รุกรานก็ตาม
ในงานเขียนเรื่อง พิพิธภัณฑ์กับความทรงจำ Museum and Memory ของ ซูซาน เอ เครน (Zuzan A. Crane) เสนอว่า พิพิธภัณฑ์ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรักษาและคงสภาพความทรงจำผ่านการสร้างภาพตัวแทนต่าง ๆ เช่น ภาพถ่ายข้าวของเครื่องใช้ที่เก็บบันทึกความทรงจำ หน้าที่ของมันคือเร้าความรู้สึกของผู้ชม ซึ่งจะเป็นไปในทิศทางบวกหรือลบนั้นก็สุดแท้แล้วแต่ประสบการณ์ร่วมของผู้ชมนั้น ๆ จะสอดคล้องไปกับความตั้งใจของเรื่องเล่าที่ผู้จัดนำเสนอหรือไม่
กรณีของพิพิธภัณฑ์เวียดนามทั้งสองแห่ง หากว่ากันตามข้อเสนอของเครนนั้น อาจกล่าวได้ว่า ภาพจำ ที่พิพิธภัณฑ์ต้องการให้ผู้ชมรับรู้นั้น ถูกนำเสนออกมาได้อย่างแยบยลผ่านเครื่องใช้และข้อมูลที่ถูกเลือกสรรมาแล้ว แม้เนื้อหาของทั้งสองแห่งจะไม่ได้ระบุอย่างโดยตรงว่าใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายในแต่ละโศกนาฏกรรม ฉีกขนบเรื่องเล่าของพิพิธภัณฑ์สงครามที่ส่วนใหญ่เลือกกล่าวถึงความโหดร้ายของฝั่งตรงข้ามด้วยการบอกว่าตนเองถูกกระทำอย่างไร
อีกทั้งการเลือกกล่าวถึงตนเองในฐานะของผู้ให้อภัยจึงมีมากไปกว่าการจัดสมดุลของข้อมูล แต่เหนือขั้นขึ้นไปอีกด้วยการเลือกให้คนรุ่นหลังที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์นั้นจำอดีตของพวกเขาในแบบใด เพราะเมื่อสงครามจบลงและคนที่อยู่ต้องเดินต่อ การเลือกให้อภัยโดยใช้พิพิธภัณฑ์เป็นทางออกจึงดูจะเป็นตัวเลือกที่เวียดนามใช้
รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด
Zuzan A. Crane. (2000). Museum and Memory. Palo alto, CA, USA: Stanford
University Press
https://en.vietnamplus.vn/new-museum-commemorates-dien-bien-phu-victory/59857.vnp
อ่านเพิ่มเติม
รินนา ทากุดเรือ. (2558). พิพิธภัณฑ์สงครามในจังหวัดกาญจนบุรี : การสร้างพื้นที่และความทรงจํา. กรุงเทพฯ : คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เหวียน คัก เวียน (2557). เวียดนาม : ประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์