“ From astronaut to veterinarian , Barbie encourages girls to be anything they want . Barbie invites girls around the world to experience fun , fashion , and friendship, inspiring them to imagine and dream.” (http://www.mattel.com/our_toys/ot_barb.asp)
“บาร์บี้หนุนให้เด็กผู้หญิงเป็นอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ตั้งแต่นักบินอวกาศจนถึงสัตวแพทย์ บาร์บี้เชิญชวนให้เด็กผู้หญิงทั่วโลกประสบกับความสนุกสนาน แฟชั่น มิตรภาพ โดยดลใจให้เกิดจินตนาการและความใฝ่ฝัน”
หากไม่นับของเล่นประเภทเกมตัวต่อหรือบล็อกไม้ ของเล่นส่วนใหญ่ที่พบเห็นในปัจจุบันมักจะจำลองแบบจากโลกของความเป็นจริง เพียงแต่ย่อส่วนให้เล็กลง เช่น รถยนต์ อาวุธ เครื่องใช้ไม้สอย ฯลฯ ตุ๊กตาอย่างเช่นบาร์บี้ก็จัดเป็นหนึ่งในของเล่นประเภทนี้เช่นกัน แต่ในกรณีของตุ๊กตานี้ มิใช่เป็นการจำลองวัตถุสิ่งของที่แวดล้อมมนุษย์ หากเป็นการจำลองร่างของมนุษย์เลยทีเดียว
ตุ๊กตาบาร์บี้เป็นของเล่นที่ทำด้วยสารสังเคราะห์เนื้อดี จำลองแบบจากเรือนร่างของผู้หญิงวัยรุ่นอย่างเหมือนจริง ซึ่งในวัยดังกล่าว เด็กสาวเริ่มให้ความสำคัญกับแฟชั่นการแต่งกาย ดังนั้น เสื้อผ้าของตัวตุ๊กตาจึงจัดทำขึ้นอย่างประณีตอีกด้วย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บาร์บี้มีราคาแพงกว่าตุ๊กตาโดยทั่วไป ในเมืองไทยนั้น บาร์บี้กลายเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่เด็กหญิงชนชั้นกลางมีฐานะมาได้หลายปีแล้ว
เมื่อต้นทศวรรษ 1950 นักวิชาการชื่อ โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) ได้วิเคราะห์การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมผ่านของเล่นในสังคมกระฎุมพีตะวันตก โดยชี้ให้เห็นว่าของเล่นที่จำลองความเป็นจริงเป็นการฝึกเตรียมเด็กให้ยอมรับโลกของผู้ใหญ่เอาไว้ล่วงหน้า บาร์ตส์ได้กล่าวว่า “เด็กมีโอกาสสร้างตัวตนให้เป็นเพียงผู้ครอบครองและผู้ใช้ ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์ เขาไม่เคยได้เนรมิตสิ่งใด มีแต่คอยใช้สิ่งที่มีอยู่”
ของเล่นในโลกตะวันตกเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วยังมิได้พัฒนาความซับซ้อนทั้งในแง่กายภาพและในแง่การสื่อความหมายทางสังคมมากเท่ากับในปัจจุบัน ดังนั้น จึงน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะสานต่อการวิเคราะห์ของเล่นตามแนวคิดสัญศาสตร์ (semiotics) ของบาร์ตส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทสังคมบริโภคที่ยอกย้อนขึ้นกว่าในยุคนั้น ซึ่งรวมถึงสังคมบริโภคร่วมสมัยของไทยเราด้วย
รูปลักษณ์ของตุ๊กตาบาร์บี้
นับตั้งแต่ รูท แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler) ผู้คิดทำตุ๊กตาบาร์บี้ขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ได้รับแรงบันดาลใจจากลูกสาวของตัวเองที่เล่นตุ๊กตากระดาษและจินตนาการให้ตัวตุ๊กตานั้นเติบโตขึ้น ประกอบกับข้อสังเกตเกี่ยวกับตลาดของตุ๊กตาในช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งมีแต่ตุ๊กตาที่จำลองมาจากเด็กหรือจำลองจากสัตว์ ทำให้เขาคิดที่จะเปลี่ยนตัวแบบมาเป็นเด็กสาววัยรุ่นซึ่งมีช่วงอายุสูงกว่าวัยเด็ก และเป็นวัยที่ “แฟชั่น” เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิต
ในระยะแรกของการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ ตัวหุ่นจะเป็นภาพจำลองของหญิงวัยรุ่น รูปร่างผอมเพรียว ผิวขาว ผมยาวสีทอง ซึ่งต่างไปจากแบบของตัวตุ๊กตาในขณะนั้น พัฒนาการของบาร์บี้ในระยะแรกคือการเปลี่ยนแปลงหน้าตา ทรงผม ท่วงท่า หรือสรรหาวัสดุมาเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในตัวตุ๊กตา เช่น ขนตา แต่เมื่อบาร์บี้ได้รับความนิยม และถึงทางตันในการพัฒนารายละเอียดภายในตัวหุ่น ผู้ผลิตจึงได้หันมาให้ความสำคัญต่อด้านที่เป็น “ส่วนยื่นต่อ” (extension) ของตัวหุ่นอีกทีหนึ่ง อาทิ เสื้อผ้า เช่น ชุดประจำแต่ละชาติ เครื่องประดับ หรือข้าวของเครื่องใช้ เช่น รถยนต์ ขณะเดียวกันก็ได้สร้างตัวตุ๊กตาอื่น ๆ ขึ้นมาโดยกำหนดให้เป็นหมู่เพื่อนของบาร์บี้ อาทิ ตุ๊กตาชื่อเค็นเป็นเพื่อนชายของบาร์บี้ สกิปเปอร์เป็นน้องสาวของบาร์บี้ หรือเฟรนซีลูกพี่ลูกน้องของบาร์บี้ที่มาจากอังกฤษ เป็นต้น การจัดสร้างสภาพแวดล้อมให้บาร์บี้ตามที่กล่าวมา หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า กระบวนการจัดวางในบริบท (contextualization) เท่ากับเป็นการหยิบยื่นอัตลักษณ์ใหม่ ๆ ให้แก่บาร์บี้ ทำให้ตัวตุ๊กตามีบุคลิกภาพ และเปลี่ยนสถานภาพจากของเล่นมาเป็นวัตถุทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ของตัวหุ่นเหล่านี้ยังคงเป็นภาพจำลองของเด็กสาวหรือเด็กหนุ่มที่รูปร่างผอมเพรียว แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างที่ปรับไปตามยุคสมัยด้วยเช่น เค็นยุคหนึ่งอาจมีทรงผมทรงนักบิน (ในช่วงสงครามเวียดนาม) สกิปเปอร์มากับแฟชั่นผมม้า เฟรนซีมากับแฟชั่นม้อด เป็นต้น นอกเหนือจากนั้น ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ก็ได้แทรกเข้ามาปรับเปลี่ยนตัวหุ่นด้วย เช่น บาร์บี้และเค็นในปัจจุบันมีสีผิวที่หลากหลายขึ้นจากที่เคยเป็นแต่วัยรุ่นผิวขาวในระยะแรก
นอกจากสภาพแวดล้อมของบาร์บี้ที่จำลองมาจากสภาพสังคมวัฒนธรรมที่มีอยู่จริงแล้ว ยังมีบริบทอื่น ๆ ที่จำลองแบบมาจากภาพในจินตนาการอีกด้วย เช่น มีการออกแบบชุดบาร์บี้ที่ย้อนกลับไปถึงยุคเรอเนสซองส์ ชุดนางฟ้าบาร์บี้ ชุดกษัตริย์ (สำหรับเค็น) และราชินี (สำหรับบาร์บี้) ในเทพนิยาย หรือชุดอาหรับราตรี เป็นต้น
ความหมายแฝงใน “บาร์บี้”
บริษัท Mattel , Inc. ผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ในปัจจุบันกล่าวว่า “ สิ่งที่พวกเขาผลิตไม่ใช่ตัวตุ๊กตา แต่เป็นชุดที่สวมลงบนตุ๊กตา ” ชุดของตุ๊กตานอกจากทำให้ตัวหุ่นไม่ตกยุคไปตามกาลเวลาแล้ว ยังเป็นการจำลองสังคมวัฒนธรรมในแต่ละยุคลงไปบนตัวตุ๊กตาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สถานะความเป็นของเล่นของตุ๊กตาก็มักมาบดบังมิติของการจำลองสังคมวัฒนธรรมดังกล่าวไว้ ทำให้เราไม่ใคร่สำเหนียกถึงมัน
ส่วนที่ยื่นต่อของตุ๊กตาบาร์บี้นี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะได้ทำให้ตัวบาร์บี้ซึ่งแต่เดิมคงสถานะเป็นเพียงของเล่นสำหรับเด็กเท่านั้น ได้กลายมาเป็นของสะสม หรือสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม โดยอาศัย “มายาคติ” ซึ่งแฝงมากับการจำลองค่านิยมวัฒนธรรมที่สวมทับลงบนความเป็นของเล่นของตุ๊กตา
มายาคติ (myth) คือการสื่อความหมายด้วยคติความเชื่อทางวัฒนธรรม แต่มีการกลบเกลื่อนให้เป็นที่รับรู้กันเสมือนว่าเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ความจริงนั้นเป็นการสื่อความหมายใน 2 ระดับ ดังที่ นพพร ประชากุล กล่าวว่า “ ...มายาคตินั้นทำงานด้วยการเข้าไปครอบงำ ‘ความหมายเบื้องต้น’ ของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นความหมายเชิงผัสสะหรือประโยชน์ใช้สอย แล้วทำให้มันสื่อความหมายใหม่ในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นความหมายเชิงค่านิยมอุดมการณ์... ”
ยกตัวอย่างบาร์บี้ในชุดอาหรับราตรี เมื่อพิจารณาระนาบของการสื่อถึงประโยชน์ใช้สอยคือ เป็นของเล่น ขณะที่ความหมายในระดับวัฒนธรรมสื่อถึงความเป็นโลกตะวันออกตามที่จินตนาการของชาวตะวันตกได้สั่งสมกันมาช้านาน
หรือบาร์บี้ในชุดพนักงานแมคโดนัลด์ สื่อความหมายระดับวัฒนธรรมคือ วิถีการบริโภคอาหารแบบฟาสต์ฟูด และสภาวะโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม (ซึ่งแท้จริงแล้วมีบรรษัทข้ามชาติอยู่เบื้องหลัง)
หรือบาร์บี้ในชุดประจำชาติต่าง ๆ เช่น สเปน ญี่ปุ่น ไทย ก็สื่อความหมายในทางวัฒนธรรมว่า มนุษย์ล้วนแล้วแต่สังกัดอยู่กับเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรมประจำถิ่น และอัตลักษณ์ประจำชาติ (ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการชดเชยการสูญหายไปของวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นในบริบทโลกาภิวัตน์)
จากตัวอย่างต่าง ๆ ที่ได้ยกมา ทำให้พอเห็นได้ว่า “โลกของบาร์บี้” เป็นที่รวมศูนย์ของมายาคติอันหลากหลายในสังคมบริโภคร่วมสมัยที่ซึ่งความย้อนแย้งในเชิงค่านิยม (เช่น ระหว่างอัตลักษณ์ประจำชาติกับความไร้อัตลักษณ์ในระบบโลกาภิวัตน์ดังได้กล่าวมาแล้ว หรือที่จะเห็นต่อไปเช่น ความย้อนแย้งระหว่างความเป็นวัยรุ่นกับการมีหน้าที่การงานแบบผู้ใหญ่) สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน เพราะถูกกลบเกลื่อนด้วยสถานะความเป็นของเล่น นี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดบาร์บี้จึงสามารถเลื่อนสถานะจาก “ของเล่น” สำหรับเด็กขึ้นไปสู่สถานะความเป็น “ของสะสม” สำหรับผู้ใหญ่ได้อย่างหน้าตาเฉย เพราะโลกของบาร์บี้เสนอชุดสัญญะอันซับซ้อนให้ผู้ใหญ่สามารถบริโภคเพื่อสนองตอบความปรารถนาเชิงอัตลักษณ์ของตนได้อย่างกว้างขวางยิ่ง จะว่าไปแล้ว ตุ๊กตาบาร์บี้นั้นเสมือนตั้งอยู่ตรงจุดตัดกันระหว่างความเป็นของเล่น (toy) ความเป็นภาพจำลอง (icon) ความฟุ้งฝัน (fantasy) และความเป็นของสะสม (collection) ความกำกวมของสถานะนี้ทำให้ผู้คนสามารถเลือกหยิบยื่นนัยและคุณค่าต่าง ๆ กันแก่ตุ๊กตาดังกล่าว และเมื่อคำนึงว่าผู้บริโภคบาร์บี้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของเล่น ในฐานะภาพจำลอง หรือในฐานะของสะสม ส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง ทำให้เราต้องพิจารณามายาคติของบาร์บี้ด้วยมุมมองที่เฉพาะขึ้นไปอีก นั่นคือ มุมมองแบบสตรีนิยม (feminist perspective)
นัยเกี่ยวกับผู้หญิงใน “บาร์บี้”
จากที่ได้กล่าวมาถึงความหลากหลายของสถานะของตุ๊กตาบาร์บี้ ทำให้เห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเพศหญิงหลายกลุ่ม โดยเกณฑ์ที่แบ่งแยกผู้บริโภคออกเป็นกลุ่ม ๆ อย่างมีนัยสำคัญยิ่งก็คือ วัย
เมื่อลองจำแนกกลุ่มผู้บริโภคตุ๊กตาบาร์บี้ไปตามช่วงวัย จะพบว่าสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเด็กหญิง ตัวตุ๊กตาที่จำลองแบบมาจากวัยรุ่นนี้ก็คือภาพเสนอที่สื่อถึงอนาคตอันใกล้ของพวกเขา ตัวตุ๊กตามีบทบาทสร้างความคาดหวังและจินตนาการของเด็กตามที่ผู้ใหญ่อยากปลูกฝังให้แก่เด็ก ทั้งที่เป็นไปได้ในโลกความเป็นจริงและที่พึงวาดหวังในโลกจินตนาการ ในฐานะที่เป็นของเล่น กล่าวได้ว่าตุ๊กตาบาร์บี้เสนอภาพโลกของความเป็นจริงที่รอคอยเด็ก ๆ เหล่านี้อยู่ หรือมิฉะนั้นก็เป็นภาพสำเร็จรูปของความฝันเฟื่องที่ผู้ใหญ่จัดวางไว้ให้
สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นวัยรุ่น ภาพเสนอของตัวตุ๊กตาก็คือภาพจำลองของช่วงวัยของพวกเขาโดยตรง ซึ่งเป็นช่วงวัยสาวก่อนการแต่งงาน นอกจากนี้ รูปร่างของตัวหุ่นยังจำกัดอยู่แบบเดียวคือ ผอมเพรียว อีกทั้งความผอมเพรียวนี้ยังเผื่อแผ่ไปถึงตัวตุ๊กตาชายที่เคียงคู่บาร์บี้ (แม้ในกรณีที่จำลองแบบของนักกีฬา) เมื่อพิจารณาต่อไปถึงบริบทที่ล้อมรอบตัวตุ๊กตา จะพบว่าฉากสถานที่ ข้าวของเครื่องใช้ และเสื้อผ้า จะวนเวียนอยู่กับภาพเสนอวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับ “ความเป็นจริง” ของชีวิตวัยรุ่นในสังคมบริโภคนิยม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การศึกษา การทำงานหารายได้พิเศษ การพักผ่อนหย่อนใจ การชอปปิ้ง หรือการออกกำลังกาย นอกจากนี้ กระแสพหุวัฒนธรรม (multiculturalism) ที่เข้มข้นขึ้นอย่างมากในโลกตะวันตกในระยะหลัง ๆ ได้ผลักดันให้มีการผลิตตัวตุ๊กตาที่มีสีผิวอันหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับวัยรุ่นที่อยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อีกทั้งยังเพิ่มเติมชุดประจำชาติต่าง ๆ เข้าไปในเซ็ตของเสื้อผ้าเพื่อแสดงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมอีกด้วย
ยังมีกลุ่มผู้บริโภคในอีกช่วงวัยหนึ่ง ซึ่งมิได้สัมพันธ์กับตุ๊กตาบาร์บี้ในฐานะเป็น “ของเล่น” อีกต่อไป แต่ตุ๊กตาดังกล่าวได้กลายมาเป็น “ของสะสม” สำหรับคนกลุ่มนี้ นั่นคือ กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้ใหญ่ (และสิ่งที่แสดงว่าเป็นตุ๊กตาสำหรับการสะสมก็คือ มีราคาแพงมาก เช่น ห้าพันกว่าบาท และทำขึ้นอย่างประณีต) ข้อน่าสังเกตประการแรกในเรื่องนี้คือ ไม่มีการผลิตตัวตุ๊กตาบาร์บี้ผู้ใหญ่ขึ้นมาเพื่อสนองตอบผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ อีกทั้งในหมู่คนแวดล้อมบาร์บี้ก็ไม่มีแม้แต่ตัวละครพ่อ ตัวละครแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป ปรากฏการณ์นี้แสดงออกถึงการหยุดช่วงเวลาของ “ร่างกาย” ผู้หญิงไว้ที่วัยรุ่น ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับความคลั่งไคล้ของผู้คนในสังคมร่วมสมัยที่จะตรึงร่างกายของตนไว้ในสภาพ “เป็นหนุ่มเป็นสาว” ชั่วชีวิต (ความแพร่หลายของผลิตภัณฑ์ชะลอความชรา การทำเบบี้เฟซ อุตสาหกรรมฟิตเนส ความคาดหวังถึงอุตสาหกรรมโคลนนิ่ง ล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงคติดังกล่าวในโลกของความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี) และนี่ก็เป็นคำอธิบายว่าเหตุใดเราจึงพบค็อลเล็คชั่นของบาร์บี้ในเครื่องแต่งกายที่บอกวิชาชีพ เช่น บาร์บี้ในชุดแพทย์ ในชุดนักบินอวกาศ เป็นต้น ไม่มีใครใส่ใจกับความไม่สมเหตุสมผลที่ภาพเสนอวัยรุ่น (ตัวตุ๊กตา) ถูกผูกโยงเข้ากับหน้าที่การงานอันเกินวัยอย่างเห็นได้ชัดเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะความใฝ่ฝันของผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็คือ ดำรงชีวิตฉันผู้ใหญ่ด้วยร่างกายฉันเด็ก นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภค “สูงวัย” ดังกล่าวยังอาจสะสมค็อลเล็คชั่นบาร์บี้ที่มิได้อยู่ในบริบทผู้ใหญ่ แต่เป็นบาร์บี้เดียวกับที่บริโภคโดยสองกลุ่มแรก สำหรับกรณีนี้ การสะสมแสดงถึง “ความอาลัยอาวรณ์” ต่อช่วงวัยในอดีตอย่างปรกติธรรมดา ได้แก่การรำลึกถึงช่วงวัยอันแสนสุขเมื่อครั้งยังเล่นตุ๊กตา
เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว โรล็องด์ บาร์ตส์ กล่าวว่าของเล่นอย่างตุ๊กตานั้นเป็นการเตรียมตัวให้เด็กผู้หญิงพร้อมสำหรับการเป็นแม่บ้าน หรือ “แม่” ในอนาคต แม้ว่าคำพูดดังกล่าวจะผ่านมาแล้วห้าสิบปี และตุ๊กตาก็พัฒนาขึ้นในหลาย ๆ มิติเพื่อเป็นของเล่นสำหรับผู้หญิงทุกวัย ทว่า ตุ๊กตาก็ยังจำกัดผู้หญิงไว้กับมายาคติของเพศสถานะอยู่เช่นเดิม
ชาตรี ลีศิริวิทย์
นพพร ประชากุล. (2544). “คำนำเสนอบทแปล” ใน มายาคติ / ของ Roland Barthes. แปลจากภาษาฝรั่งเศสโดย วรรณพิมล อังคศิริสรรพ; บรรณาธิการ นพพร ประชากุล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คบไฟ.
โรล็องด์ บาร์ตส์. (2544). มายาคติ / ของ Roland Barthes. แปลจากภาษาฝรั่งเศสโดย วรรณพิมล อังคศิริสรรพ ; บรรณาธิการ นพพร ประชากุล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คบไฟ.
ตุ๊กตาบาร์บีชุดประจำชาติในประชาคมอาเซียน / สายใจ เจริญรื่น.