ภาพวาด คือ หนึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะห้วงเวลาที่โลกยังไม่รู้จักกับเทคโนโลยีการถ่ายภาพ ศิลปิน จึงถือบุคคลสำคัญ ทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ผ่านฝีแปรง ภาพเขียนเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ภาพ Liberty Leading the People หรือ เสรีภาพนำทางประชาชน ของ เออแฌน ดอร์ลาครัวซ์ (Eugène Delacroix) แสดงการต่อสู้ของประชาชนในปี ค.ศ. 1830 กระนั้นเราก็ไม่อาจตัดสินได้ว่าเรื่องเล่าในภาพที่ศิลปินถ่ายทอดออกไปนั้นเก็บความจริงทางประวัติศาสตร์ไว้อย่างถูกต้องเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจและชวนตั้งคำถามต่อนั้น คือ ศิลปินต้องการจะบอกอะไรผ่านงานศิลป์ของพวกเขา
ในบางสถานการณ์ ภาพวาด ยังทำหน้าที่บอกเล่าความจริงบางอย่างที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่า ในงานเขียนเรื่อง “ศิลปะแห่งความจริง และเรื่องเล่าเกี่ยวกับเผด็จการ (The Art of Truth-Telling about Authoritarian) รวบรวมเรื่องเล่าในรูปแบบต่างๆ ภาพวาด บทเพลง ภาพยนตร์ ตลอดจนการแสดงต่างๆ ของประชาชนและนักเคลื่อนสิทธิมนุษยชนไหวราว 6 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ที่ใช้เรื่องเล่ารูปแบบเหล่านี้ในการพยายามสื่อสาร “ความจริงอีกชุด” ผ่านงานศิลป์ เพื่อต่อรองกับรัฐบาลเผด็จการ ที่เป็นเจ้าของ “ความจริงอย่างเป็นทางการ” ที่ถูกสร้างและเป็นเจ้าของโดยรัฐบาล
ภายในเล่มส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสอภาพงานศิลปะเป็นหลักมากกว่าคำอธิบาย โทนของเนื้อหาส่วนใหญ่พยายามชี้ให้เห็นว่า ประชาชนในรัฐเผด็จการแต่ละที่นั้นพยายามสร้างและบอกความจริงอีกชุดของพวกเขาอย่างไร ดังเช่นคำถามที่ผู้เขียนเกริ่นไว้ในบทนำ “เหยื่อ และนักสิทธิมนุษยชนบอกเล่าความจริงของพวกเขาอย่างไร” (How victims and human right activists tell their truths)” ในสังคมที่ข้อเท็จจริง หรือความจริงบางอย่างไม่สามารถเล่าได้อย่างตรงไปตรงมา
ในประเทศไทย สถานการณ์ที่งานศิลปะมักนำมาใช้ถ่ายทอดความจริงส่วนใหญ่มักอยู่ในห้วงเวลาที่เรื่องบางเรื่องไม่สามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น ภาพเขียนในงานประท้วงต่าง ๆ ภาพกราฟฟิตี้ (graffiti) ล้อเลียนนักการเมือง เช่นเดียวกับในงานแสดงผลงานศิลปะชุด Prelude ของ วิทวัส ทองเขียว นำความจริงบางอย่างมาถ่ายทอดผ่านงานศิลป์
สองชั้นของอาคารจัดแสดง ถูกเขวนด้วยภาพเขียนแนวเหมือนจริง หนังสือเหยื่ออธรรม รถถังกระดาษ รองเท้าท็อปบูธ ถูกหยิบมาใช้เป็นส่วนประกอบของการบอกเล่าความจริงบางประการ
วิทวัส เล่าว่าเดิมทีตนไม่ได้วาดภาพเชิงสังคมหรือสะท้อนปัญหาความไม่เป็นธรรรมของสังคมเท่าไรนัก แม้จะถนัดในด้านการสร้างงานประเภทเสมือนจริง แต่งานส่วนใหญ่เน้นไปทางวาดภาพทิวทัศน์ (landscape) เป็นหลัก ให้ความสำคัญกับความเสมือนจริงของตัวแบบ องค์ประกอบศิลป์และการถ่ายทอดตัวคน อารมณ์ของศิลปินผ่านภาพวาด
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาหันมาวาดภาพเชิงสังคมคือ 6 ปีก่อน หลังจากได้รู้จักกับ “วิธีคิดหลังสมัยใหม่ (postmodern)” ที่ตั้งคำถามกับความเชื่อเดิมของเขาในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องศาสนาและสถาบันทางสังคมต่าง ๆ ศาสนาอาจไม่ได้มีอยู่จริง คำสอนต่าง ๆ ล้วนเป็นเพียง “วาทกรรม” ที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ผลของความสั่นคลอนดังกล่าวทำให้วิทวัสเริ่มตั้งคำถามกับวาทกรรมชุดต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะความเชื่อบางอย่างที่ไม่สามารถตั้งคำถามได้อย่างตรงไปตรงมา หรือเมื่อถามออกไปแล้วจะเกิดผลกระทบในวงกว้าง และถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลปะ โดยงานชุดแรกของเขาใช้ชื่อว่า “Mythical Reality” นำเสนอมายาคติจากสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะมายาคติที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
งานของวิทวัสเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในงานแสดงชุดที่ 2 ในชื่อ “Prelude” เขาตั้งคำถามกับชุดความจริงบางอย่างในสังคมที่มักถูกเล่าผ่านประวัติศาสตร์กระแสหลัก ไปพร้อมกับลบเอาเรื่องบางเรื่องออกไปจากหน้ากระดาษ โดยเฉพาะเรื่องของผู้คนที่เป็นเหยื่อของความไม่เป็นธรรมทางสังคม เหยื่อของความเชื่อและวาทกรรมบางอย่าง ใช้เวลาเก็บข้อมูลภาคสนามนานถึง 3 ปี เทียบได้กับการทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง
การทำงานภาคสนามโดยเข้าไปคลุกคลี ทำความรู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่ศิลปินใช้เป็นวัตถุดิบในการถ่ายทอดนั้นถือเป็นเรื่องปกติของงานศิลปะเชิงสังคม เช่น ศิลปินที่ต้องการถ่ายถอดเรื่องราวของคนไร้บ้าน จะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเลย หากไม่ลงไปใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขา ศิลปะจะเป็นเพียงการสะท้อนความคิดของศิลปินที่มีต่อคนไร้บ้านเท่านั้น แต่ไม่สะท้อนปัญหาที่คนไร้บ้านเหล่านั้นกำลังเผชิญอยู่ เช่นเดียวกันกับงานแสดงชุดนี้ของวิทวัส เขาเดินทางไปมาระหว่าง ห้องขัง เรือนจำ ศาล เวทีประท้วง พูดคุย รับฟัง และเก็บเกี่ยวเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนจะนำมาตีความและสะท้อนลงบนผืนผ้าใบ
สัญญะ สื่อความ
กระนั้นก็ตามไม่ใช่เรื่องง่ายที่ศิลปินจะเล่าเรื่องได้อย่างตรงไปตรงมา การใช้ “สัญญะ” เป็นสื่อกลางในการเล่าเรื่องจึงเป็นวิธีที่วิทวัสเลือกใช้ในงานชุด Prelude
เขาอธิบายต่อว่า สิ่งของที่เรารู้จักโดยทั่วไปนั้นมีสัญญะซ่อนอยู่ สัญญะที่ว่าคือ ความหมายตรงและความหมายรองหรือความหมายแฝง กล่าวเป็นต้นอย่าง หนังสือ เหยื่ออธรรม ความหมายตรงของมันคือ หนังสือเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายที่เกิดขึ้นกับชนชั้นแรงงาน ฉากหลังคือฝรั่งเศสในยุคปฏิวัติ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเรานำมันมาใช้ในงานศิลปะ มันให้ความหมายมากกว่าวรรณกรรมเพียงหนึ่งเล่ม เหยื่ออธรรมกลายเป็นภาพแทนของความกดขี่ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในงานของเรา ยิ่งเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและยากจะเล่า การใช้สัญญะมันสามารถช่วยเราได้
“เราใส่ความหมายเข้าไปกับงานทุกชิ้น ยิ่งเปิดมากเท่าไร เราต้องยิ่งปิดมันให้มิดมากเท่านั้น”
วิทวัสใส่ความหมายเข้าไปในงานทุกชิ้นของเขา ตัวอย่างเช่น งานชุด “ทุ่งลาเวนเดอร์” ถือเป็นชิ้นที่ยากและท้าทายที่สุดสำหรับเขา ทุ่งตัวอักษรขาวโพลนในพื้นที่ขนาด 3x4 เมตร ตัวอักษรแต่ละแถว แม้จะมองดูไม่เป็นคำที่อ่านได้ แต่หากลองไล่ดูจะพบว่ามีคำบางคำซ่อนอยู่ ขึ้นอยู่กับการอ่านของผู้ชมแต่ละคน แทนวาทกรรมของคำแต่ละชุด ส่วนอัตราส่วนของงานคือ 2:3 เป็นอัตราส่วนของธงชาติ ส่วนเหตุที่ตั้งให้สูงกว่าความสูงของคนเพราะเราต้องการสื่อว่า ชาติ คือของสูง ส่วนใครที่ไม่สามารถมองจากด้านบน ก็สามารถเข้าไปมองจากข้างใต้ได้ และเมื่อคุณมองขึ้นมาเท่านกับคุณตกอยู่ภายใต้วาทกรรม
ส่วนคำว่า ทุ่งลาเวนเดอร์ ความหมายตรงของมันคือ ทุ่งดอกไม้ แต่อีกความหมายหนึ่งคือ ทุ่งดอกไม้ที่เมื่อคุณเข้าไปแล้วจะตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้มของกลิ่นหอม เมื่อนานเข้ามันกลายเป็นความัวเมา
“เรารู้ว่าของแต่ละอย่างมันมีทั้งความหมายตรงความหมายรอง เราก็เอามันมาใช้ เพราะเราอยู่ในบริบทที่บางเรื่องมันพูดตรง ๆ ไม่ได้ ซึ่งมันเป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะศิลปินเวลาคิดเนื้อหาออกมาแล้วมันต้องหาวิธีการในการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น เราวาดรูปเหมือนได้ เราหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาวางตรงหน้า แต่มันไม่พอ เราต้องหาความหมายของมัน ต้องซ่อนมันด้วย ในขณะเดียวกันเราก็ต้องสื่อสารมันออกไปด้วย เพียงแต่เราบอกมันออกไปตรง ๆ ไม่ได้”
นักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า เราจะพบการต่อต้านอำนาจอย่างสร้างสรรค์และมีศิลปะเฉพาะในสังคมเผด็จการเท่านั้น เพราะในสังคมประชาธิปไตยปกติ การพูดความจริงเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ กระทั่งการพูดความจริงเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นอะไร เพราะฉะนั้นจึงมีแต่สังคมเผด็จการที่ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในการต่อต้านอำนาจงอกเงยขึ้นมา เช่นเดียวกับที่ปรากฏในงานของวิทวัส
รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด
วิทวัส ทองเขียว และ S.A.C. Subhashok The Arts Centre
SAONA, M. (2007). The Art of Truth-Telling about Authoritarian Rule (review). Comparative Studies of South Asia, Africa and the Middle East. 27, 483-485.
ประจักษ์ ก้องกีรติ. ศิลปะในการพูดความจริงกับอำนาจ(ที่ไม่ศิวิไลซ์). สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2561, จาก อ่านออนไลน์