“ความเป็นไทย” มีความยึดโยงอย่างแน่นแฟ้นกับสถาบันหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยมีกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเน้นสร้างความเป็นไทยผ่านพระราชพิธีที่มีกษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลาง มีพระราชอำนาจเด็ดขาดสูงสุด ส่วนเจ้านาย ข้าราชการ และราษฎรเป็นชั้นที่ลดหลั่นกันลงมา บุคคลเหล่านี้มีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นิยามความหมายของ “ชาติไทย” และ “ความเป็นไทย” ประกอบขึ้นด้วยคนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมไทย จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นไทย ทรงเน้นว่าวัฒนธรรมไทยจะต้องมีความเป็น “ไทยแท้” คือมีลักษณะเฉพาะที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงทำให้ความคิดทั้งหลายเกี่ยวกับ “ชาติไทย” และ “ความเป็นไทย” ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นกลายเป็นความคิดทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ทรงปลูกฝังความคิดเหล่านั้นด้วยการเทศน์ การจัดหลักสูตรการศึกษาของพระสงฆ์ และตำราทางพุทธศาสนาจำนวนมาก (สายชล สัตยานุรักษ์, 2548 : 42-47) สถาบันกษัตริย์จึงถูกสร้างให้กลายเป็นตัวแทนของความเป็นไทย โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยหลอมรวมผ่านองค์พระมหากษัตริย์
ความแน่นแฟ้นในสถาบันกษัตริย์กับชาติไทย เพิ่มมากขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงจัดรายการวิทยุเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศล เป็นการระดมเงินเพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริผ่านสื่อมวลชนในพระองค์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัชสมัยใด รู้จักกันในชื่อว่า “ทำบุญร่วมกับในหลวง” ต่อมากลายเป็นประเพณีปฏิบัติ “ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล” ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการรื้อฟื้นราชประเพณีในอดีตขึ้นมาใหม่โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประธานในพิธี ประเพณีหนึ่งที่สำคัญได้แก่ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่าแก่มีมาแต่โบราณมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้เกิดขวัญกำลังใจแก่เกษตรกร เน้นให้เห็นความใกล้ชิดระหว่างสถาบันกษัตริย์กับเกษตรกร เป็น “กษัตริย์-เกษตร” นอกจากนั้นในยุคนี้ได้มีการส่งเสริมบทบาทของสถาบันกษัตริย์ให้เสด็จออกเยี่ยมพบปะราษฎร ซึ่งกลายเป็นประเพณีการเสด็จเยี่ยมราษฎรในเวลาต่อมา ที่สำคัญได้มีการรื้อฟื้นพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีการสร้างพิธีกรรมใหม่ ๆ โดยให้มีการถวายสัตย์ปฏิญาณ และพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่กองทัพ (ชนิดา ชิตบัณฑิตย์, 2550 : 109-113)
วัฒนธรรมความเป็นไทย ความมั่นคงของชาติจึงยึดโยงอยู่กับสถาบันกษัตริย์อย่างแนบแน่น ผ่านประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ และพระราชกรณียกิจ กษัตริย์จึงไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของความเป็นชาติด้วย เมื่อมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เรื่องให้วันเฉลิมฉลองของชาติไทย จากเดิมวันชาติคือวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่คณะราษฎรปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เปลี่ยนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 9 คือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 (ราชกิจจานุเบกษา, 2503 : 1452) กษัตริย์จึงเป็นตัวแทนความเป็นไทยในทุกมิติ และเป็นศูนย์กลางของความเป็นชาติไทย ทั้งในด้านความมั่นคงของชาติที่พระองค์ทรงมีฐานะเป็นจอมทัพไทย เป็นพุทธศาสนิกและอัครศาสนูปถัมภก หรือผู้ทะนุบำรุงศาสนาทั้งหลายที่รัฐรับรอง เมื่อกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของความเป็นไทยเช่นนี้ “ความเป็นไทย” จึงถูกนิยามผ่านสถาบันกษัตริย์ และกันแยกสิ่งที่ไม่ใช่ไทยออกไป เมื่อสิ่งนั้นอยู่ตรงข้ามและไม่มีส่วนยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักดังกล่าว สถาบันกษัตริย์จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดนิยามความเป็นไทย พระราชดำรัสของรัชกาลที่ 9 ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ความตอนหนึ่งว่า
“คนไทย รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ ด้วยสติปัญญาความสามารถ และด้วยคุณความดี อิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญ ทุกอย่างที่มีอยู่บัดนี้ เราทั้งหลายในปัจจุบันจึงต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสำคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดี พร้อมทั้งจิตใจที่เป็นไทยไว้ให้มั่นคงตลอดไป”
หรือในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร ณ วังท่าพระ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2513
“...งานด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรมนั้น คือ งานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญา และทางจิตใจ ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุทั้ง องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ ของความเจริญ ด้านอื่น ๆ ทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เรา รักษาและดำรงความเป็นไทย ได้สืบไป…”
อย่างไรก็ตามความสุขของคนไทยนอกจากจะได้รับรู้เรื่องราวแห่งความเป็นไทยแล้ว ความปลื้มปิติถึงที่สุดก็คือ “การได้แสดงออกถึงความเป็นไทย” ในยุคสมัยปัจจุบันการแสดงออกถึงความเป็นไทยทำได้มากกว่าในอดีตที่จำกัดการแสดงออกไว้กับการเชื่อฟัง และปฏิบัติตามประกาศ คำสั่ง ของผู้ปกครอง เช่นในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศใช้รัฐนิยมฉบับที่ 4 ให้ชาวไทยเคารพเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือการแสดงออกถึงความรักชาติด้วยการสมัครเป็นทหาร ปัจจุบันการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย สร้างความบันเทิง และความสุขที่เคยจำกัดอยู่กับชนชั้นสูง ได้แพร่กระจายมาสู่ประชาชนคนธรรมดามากขึ้น สินค้านำเข้าจากต่างประเทศในอดีตสามารถผลิตในเมืองไทย และแม้ว่าจะนำเข้าจากต่างประเทศก็มีราคาไม่สูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะซื้อหามาบริโภคได้ วัฒนธรรมการบริโภคกลายเป็นวัฒนธรรมสากล สินค้าที่เคยมีราคาแพงจากต่างประเทศสามารถผลิตในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำราคาถูกลง ทั้งยังหาซื้อ และเข้าถึงบริการได้ง่าย แบรนด์ของสินค้ากลายเป็นสินค้าที่รู้จักและเป็นมาตรฐานการบริโภคของคนทั่วโลก (Ritzer, 2005, pp. 6-26) คนไทยและคนทั่วโลกกินอาหาร ฟังเพลง แต่งกาย ชมภาพยนตร์ เดินซื้อหาสินค้า ในรูปแบบเดียวกันและในช่วงเวลาของความนิยมเดียวกัน ความเป็นไทยจึงถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมสากล เป็นความทันสมัยตามแบบอย่างตะวันตก แต่ความเป็นไทยกลับไม่ได้สูญสลายหายไปไหน พิซซ่าอาหารอิตาเลี่ยนขายโดยบริษัทเฟรนไชส์สัญชาติอเมริกัน มีหน้าต้มยำกุ้งซึ่งเป็นอาหารเอกลักษณ์ไทย หรือกรณีแมคโดนัลย์ที่มี “สไปซี่น้ำตก คุโรบุตะ” ความเป็นไทยถูกสอดแทรกเข้าไปในสินค้าสากล ทั้งที่เป็นสินค้านำเข้าและสินค้าที่ผลิตในประเทศโดยที่ตัวสินค้านั้นไม่จำเป็นต้องมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลักษณะ “ไทยนิยม” หรือความคลั่งไคล้ในความเป็นไทย ทำให้สินค้าและบริการพยายามสร้างความเป็นไทยขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ อย่างน้อยที่สุดก็ด้วยการใช้คำว่า “ไทย” เข้าไปในโฆษณา เช่น “ริเจนซี่บรั่นดีไทย” “เบียร์สิงห์เบียร์ไทย” “50 ปี โตโยต้า เคียงคู่ไทยเสมอมา” สิ่งที่แสดงความหมายว่าเป็นไทยกับการบริโภคสินค้าที่ไม่ได้เป็นไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยการใส่ความเป็นไทยเข้าไปในตัวสินค้า เลือกสรรแสวงหารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อที่ไม่ว่าคนไทยจะได้เห็นหรือได้ยินที่ไหนก็นึกถึงความเป็นไทยได้ทันที ดังนั้นจึงต้องทำให้ความเป็นไทยมีลักษณะเก่าแก่โบราณ ขรึมขลังน่าเคารพยำเกรง ตายตัวคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดังเช่น ชุดโจงกระเบนไทย การละเล่นแบบไทย สัตว์ในป่าหิมพานต์ ทหารไทย ธนบัตรและบัตรประชาชนไทย (เกษียร เตชะพีระ, 2539 : 112-113) การสร้างความสุขบนความเป็นไทยสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ – 11 มีนาคม พ.ศ. 2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
“ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประชาชนได้มีความสุข ความรื่นเริง และรำลึกถึงวิถีชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ฯ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงานพระราชทานความสุขให้กับประชาชน และเผยแพร่ความงดงามของความเป็นไทยในรูปแบบต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร องค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักเคารพยิ่งของปวงชนชาวไทย ภายใต้ชื่องานว่า ‘อุ่นไอรัก คลายความหนาว’ ...ให้ประชาชนได้มาเที่ยวชมงาน หาความสุข สนุกสนาน รื่นเริง ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น ย้อนยุคให้เห็นประวัติศาสตร์ ความผูกพันอันแนบแน่น ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีต่อประชาชนและประเทศชาติ ได้รู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของชาวไทยในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน อันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยและชาติไทย” (อุ่นไอรัก คลายความหนาว, 2561)
ในช่วงเวลาจัดงานอุ่นไอรัก คลายความหนาว เราจะเห็นประชาชนคนไทยแต่งชุดไทยไปในที่สาธารณะ หน่วยงานราชการหลายแห่งกำหนดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ แต่งชุดไทยไปทำงาน กระแสการแต่งชุดไทยเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางไม่เพียงในกรุงเทพมหานคร แต่ยังรวมถึงในต่างจังหวัดด้วย โดยเฉพาะเมื่อละครย้อนยุคเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ฉายทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ยิ่งสร้างกระแสการแต่งชุดไทย การใช้คำศัพท์ไทยโบราณอย่างคำว่า “ออเจ้า” กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เพจบุพเพสันนิวาสมีผู้กดติดตามจำนวน 172,196 คน (บุพเพสันนิวาส, 2561) ละครย้อนยุค การแต่งกายชุดไทย ตลาดโบราณ อาหารเครื่องดื่มที่ต่อท้ายคำว่า “โบราณ” ประเพณีไทย การเข้าวัดทำบุญในงานเทศกาล ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับคนไทย กระแสความเป็นไทยเหล่านี้ คือการย้อนกลับไปหาอดีตในช่วงเวลาที่วัฒนธรรมไทยยังคงมีความแตกต่างจากชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด คู่ตรงข้ามของความเป็นไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ไทย ไม่ใช่ไทยหมายถึงอะไรก็ตามที่ไม่ใช่กระแสหลัก ไม่ได้ถูกผลิตสร้างขึ้นจากศูนย์กลาง กระแสการบริโภคชนบทก็เช่นกัน เป็นชนบทที่ถูกผลิตสร้างขึ้นจากคนเมืองที่มองกลับไปค้นหารากเหง้าของตนเองที่คิดว่าเคยเป็นไทยแท้ ๆ คือเป็นสังคมเกษตร “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” มีความเอื้ออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูลแบ่งปันกัน ยังคงยึดมั่นในประเพณีโบราณ เข้าวัดทำบุญ ชนบทจึงเป็นพื้นที่ล้าหลังแต่มีเสน่ห์เป็นผืนดินที่คนไทยโหยหาความเป็นไทย (สามชาย ศรีสันต์, 2554 : 53-79) ความเป็นไทยจึงเป็นเรื่องของเวลาที่ย้อนกลับไปในสมัยที่คนไทยรับรู้และเข้าใจว่า เป็นยุคทอง ยุคแห่งความสุข สนุกสนาน รื่นเริง ความเป็นไทยจึงเป็นอะไรก็ได้ในบริบทใดก็ได้ แต่สามารถอธิบายได้ว่านี่คือความเป็นไทย โดยใส่รหัสหรือกฎเกณฑ์ที่มีความหมายสื่อถึง ชาติ ศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์ กับการย้อนเวลาไปในอดีตอันสงบ รุ่งเรือง ดังนั้นความเป็นไทยจึงมีลักษณะสำคัญคือ สามารถปรับแต่งได้ (adaptation) ยืดหยุ่นในการยอมรับประนีประนอม (flexible) ผสมผสานเลือกเฉพาะส่วนที่ดีมาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสังคมไทย แต่ที่สำคัญทั้งหมดต้องสามารถอธิบายได้ว่ามีความเป็นไทย (Harrison and Jackson, 2009 : 325-360; สนิท สมัครการ, 2534 : 79-81) การสร้างความเป็นไทยจึงยึดโยงอยู่กับศูนย์กลางของอำนาจ และผูกขาดความเป็นไทยไว้ในแบบเดียว เป็นไทยกระแสหลัก ไทยภาคกลาง ไทยราชสำนัก และลดทอนผลักไสภาคส่วนที่แตกต่างว่าไม่ใช่ไทย
เมื่อความเป็นไทยยึดโยงอยู่กับผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ หน่วยงานของรัฐ ในการบอกว่าอะไรคือไทย และอะไรไม่ใช่ โดยไม่เปิดพื้นที่ให้กับความเชื่อแบบอื่น ศาสนาอื่น และวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น เฉพาะกลุ่มที่มีความแตกต่างหลากหลายซึ่งดำรงอยู่ในสังคมไทย ความไม่เป็นไทยจึงกลายเป็นความทุกข์ กลุ่มชาติพันธุ์ ชายขอบ คนต่างจังหวัด ไทยสัญชาติอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยจึงกลายเป็นไม่ใช่ไทย หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ไทยแท้ แต่เป็นไทยพันทาง ลูกผสม ทั้งที่ในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย ที่ไม่ใช่สังคมปิดเราจะหาไทยบริสุทธ์ หรือแท้ ๆ ในแบบที่พยายามสร้างขึ้นไม่ได้เลย
กล่าวอย่างถึงที่สุดความสุขของคนไทยจึงกลายเป็นเรื่องของการแสดงออกถึงความเป็นไทยได้มากกว่า การเข้าถึงไทยศูนย์กลาง ไทยราชสำนักได้ใกล้ชิดกว่า ซึ่งคนไทยเชื่อว่าจะพลอยมีความสุขภายใต้ร่มเงา ที่แผ่กิ่งก้าน คุ้มครองอำนวยความร่มเย็นให้กับคนไทยได้ทั้งภพนี้และภพหน้า เช่นเดียวกับละคร สี่แผ่นดินในอดีต หรือ บุพเพสันนิวาส ที่สร้างความสุขตราตรึงข้ามภพชาติให้กับคนไทยในยุคสมัยปัจจุบัน
สามชาย ศรีสันต์
Carr, Alan. (2004). Positive Psychology: The Science of Happiness and Human Strengths. New York: Brunner-Routledge.
Charities Aid Foundation. (2017). World Giving Index 2017. Charities Aid Foundation. Retrieved อ่านออนไลน์
Diener, Ed, Shigehiro Oishi, and Richard E. Lucas. (2003). “Personality, Culture, and Subjective Well-Being: Emotional and Cognitive Evaluations of Life.” Annual review of psychology 54(1):403–25.
Harrison, Rachel V and Peter A. Jackson. (2009). “Special Issue: Siamese Modernities and the Colonial West.” South East Asia Research 17(3):325–60.
Haybron, Dan. (2011). “Happiness.” The Stanford Encyclopedia of Philosophy. Retrieved อ่านออนไลน์
Helliwell, John, Richard Layard, and Jeffrey Sachs. (2017). “World Happiness Report 2017.” 1–171. Retrieved อ่านออนไลน์
Ritzer, G. (2005). The McDonaldization of Society: Revised New Century Edition. SAGE Publications.
Swatman, Rachel.( 2015). “Thailand Hosts Largest Ever Bicycle Parade to Celebrate Queen’s Birthday.” Guinness World Records Limited. Retrieved April 19, 2018 อ่านออนไลน์
United Nations Development Programme. (2016). Human Development Report 2016. Retrieved อ่านออนไลน์
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. (2550). จดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช. กรุงเทพ: รุ่งศิลป์การพิมพ์.
การก้าวคนละก้าว. (2560). “โครงการก้าวคนละก้าว.” มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า. Retrieved April 19, 2018 อ่านออนไลน์
เกษียร เตชะพีระ. (2539). “บริโภคความเป็นไทย.” ใน จินตนาการสู่ปี 2000: นวกรรมเชิงกระบวนทัศน์ด้านไทยศึกษา?, บรรณาธิการโดย ยศ สันตสมบัติ.ชัยวัฒน์ และ สถาอานันท์. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนันสนุนการวิจัย.
ชนิดา ชิตบัณฑิตย์. (2554). โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
บุพเพสันนิวาส. (2561). “Reviews.” ช่อง33.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต). (2558). พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย. พิมพ์ครั้ง. กรุงเทพ: งานพระราชทานเพลิงศพ นายเถลิง เหล่าจินดา.
ราชกิจจานุเบกษา. (2503). “ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย.” สำนักนายกรัฐมนตรี เล่ม 77 ตอนที่ 43: 1452.
สนิท สมัครการ. (2534). วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมของสังคมไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
สามชาย ศรีสันต์. (2554). “เศรษฐกิจพอเพียงกับการสร้างอัตลักษณ์ความพอเพียงให้กับชุมชนชนบท.” วารสารสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร 7(2):53–69.
สายชล สัตยานุรักษ์. (2548). “การสร้าง ‘ความเป็นไทย’ กระแสหลัก และ ‘ความจริง’ ที่ ‘ความเป็นไทย’ สร้าง.” ฟ้าเดียวกัน 3(4):40–67.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). “ดัชนีความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย ปี 2558.” จดหมายข่าวอยู่เย็นเป็นสุข 1(3).
อุ่นไอรักคลายความหนาว. (2561). “อุ่นไอรักคลายความหนาว.” Retrieved April 7, 2018 อ่านออนไลน์
อัตลักษณ์ไทย : จากไทยสู่ไทย ๆ / ประชา สุวีรานนท์.
บริโภคความเป็นไทย Consuming Thainess / เกษียร เตชะพีระ.