การรักษาแบบแพทย์แผนตะวันตกของไทย เริ่มปรากฏให้เห็นในสมัยอยุธยา ตรงกับแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์ และปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ค่านิยมในการรักษาแบบแพทย์แผนไทยที่มีมาแต่โบราณ ถูกอิทธิพลของการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาลดค่านิยมในการแพทย์แผนไทยอย่างช้า ๆ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ซึ่งเห็นได้ชัดจากกลุ่มชนชั้นสูงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความนิยมนี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้กลุ่มชนชั้นสูงกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์ของไทย
ในสมัยอยุธยา จากตำราพระโอสถพระนารายณ์ทำให้ทราบว่ามีวิทยาการทางการแพทย์แบบตะวันตกที่เข้ามาในสยามพร้อมกับการเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาของมิชชันนารี แต่ไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากขัดกับความเชื่อของชาวสยาม แต่ได้รับการยอมรับจากสมเด็จพระนารายณ์ เห็นได้จากการมีแพทย์หลวงประจำพระองค์คือ บาทหลวงโปมาร์ต แต่การแพทย์แผนตะวันตกในสยามก็หยุดชะงักไปพร้อมกับการขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเพทราชา
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วิทยาการทางการแพทย์แบบตะวันตกได้เข้ามาในสยามอีกครั้ง ในช่วงแรกแพทย์ที่เข้ามา คือ นายแพทย์คาร์ล ออกูสตัส กูสลาฟ ชาวเยอรมัน และศาสตราจารย์จาคอบ ทอมลิน ชาวอังกฤษ ซึ่งบทบาทของแพทย์ทั้งสองนั้น ทำหน้าที่เพียงแจกจ่ายยา ก่อนจะไปดำเนินงานต่อที่ประเทศจีน ผู้เข้ามาสานต่องานคือ นายแพทย์เดวิด อาบีล แต่อยู่ได้ไม่นานก็เดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากปัญหาสุขภาพ
จนกระทั่ง พ.ศ. 2378 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ ได้เดินทางเข้ามาถึงกรุงเทพฯ การเทศนารักษาโรค และแจกยา ยารักษาทั้งแบบเม็ด แบบฉีด และแบบน้ำ มีเครื่องมือในการผ่าตัด รวมถึงการรักษาฟัน การรักษาของหมอบรัดเลย์ได้รับความนิยม ทำให้ชนชั้นนำเริ่มหันมาสนใจการรักษาแบบตะวันตก
ต่อมาได้มีการระบาดของโรคไข้ทรพิษคร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษแบบจีนจึงนำกลับมาใช้อีก โดยหมอบรัดเลย์เริ่มปลูกฝีป้องกันทรพิษในสยามจนสำเร็จ ทางด้านชนชั้นนำสยามเองก็มีการส่งบุตรหลานให้หมอบรัดเลย์ปลูกฝีให้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการผ่าตัด การผ่าตัดครั้งแรกในสยามของหมอบรัดเลย์เกิดขึ้นกับชาวจีนที่เป็นฝีโปนบริเวณเหนือคิ้วซ้าย คนไข้ได้ยินยอมให้หมอบรัดเลย์ทำการผ่าตัด และการผ่าตัดครั้งแรกของหมอบรัดเลย์ในสยามนี้ก็ประสบความสำเร็จ
จากคุณงามความดีของหมอบลัดเลย์ จึงได้รับพระราชทานรางวัล และนำเงินส่วนหนึ่งมาจัดทำตำราสูติศาสตร์อันมีชื่อว่า “คัมภีร์ครรภ์รักษา” ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 ภายในหนังสือมีการกล่าวถึงอาการของโรคและวิธีรักษาทางสูติกรรม เป็นการแนะนำให้สตรีเลิกการอยู่ไฟหลังคลอด เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาและบุตรเสียชีวิตสูง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าไรนัก
หมอบรัดเลย์นอกจากทำหน้าที่รักษาผู้ป่วย ยังสอนวิชาการแพทย์ต่อกรมหมื่นวงษาทิราชสนิท และนายโหมด อมาตยกุล ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองของชนชั้นนำ ว่าเริ่มมีการตอบสนองต่อการแพทย์แบบตะวันตกเป็นอย่างดี
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) มีการระบาดของโรคอหิวา มีไข้มาลาเรียชุกชุม คนมักจะป่วยเป็นไข้มาลาเรียกันทุกฤดู การรักษามีการใช้ยาควินินรักษาเพียงอย่างเดียว มีการป่วยเป็นโรคไข้จับสั่น ซึ่งชาวบ้านจะใช้ยาขาว (ภายในคือยาควินิน) ในการรักษาให้หาย มีโรคคอพอก โรคนี้แต่เดิมหมอพื้นเมืองไม่สามารถรักษาให้หาย จนกระทั่งแดเนียล แมคกิลวารี นำโปแตสเซียมไอโอไดด์มารักษาในช่วงระยะแรก โรคนี้จึงค่อยทุเลาจากสังคม
นอกจากนี้แพทย์ชาวตะวันตกยังมีบทบาทในการดูแลรักษาเหล่าชนชั้นนำมากขึ้น ดังเห็นได้จากบันทึกของหมอซามูเอล เรโนลด์ เฮาส์ หรือที่คนไทยเรียก “หมอเหา” หมอเฮาส์เดินทางเข้ามาถึงสยาม พ.ศ. 2390 ดำเนินรอยตามหมอบรัดเลย์ โดยมีการใช้ยาชาในการรักษาผู้ป่วยที่โดนไม้ตำเข้าร่างกาย ผลของการรักษานั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนทำให้หมอเฮาส์ได้รับความไว้ใจจากกลุ่มชนชั้นสูงในวัง
ค่านิยมของกลุ่มชนชั้นนำเริ่มเห็นได้ชัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ ในชนชั้นสูงนอกจากรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถแล้ว ยังพบว่าเจ้านายชนชั้นสูงมีการรับการรักษาแพทย์แบบตะวันตก ได้แก่ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉิดโฉม พระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเป็นคนไข้พิเศษของหมอยอช แมกฟาแลนด์ และพระองค์ยังทรงให้หมอยอชทำการรักษาพระนัดดาในพระองค์, สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระองค์ทรงรับการถวายการรักษาจากหมอยอช เช่นเดียวกัน, กรมหมื่นปราบปรปักษ์ทรงโปรดให้หม่อมของตนรับการผดุงครรภ์และพยาบาลตามแบบแพทย์แผนตะวันตกกับหมอกาแวน, พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ พระองค์ทรงรับการใช้ยาแบบตะวันตกอย่างหลากหลาย
ส่วนปัจจัยที่ทำให้กลุ่มชนชั้นสูง ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีค่านิยมในการแพทย์แผนตะวันตก ได้แก่ ประการแรก การเกิดโรคระบาด เช่น กาฬโรค อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ นับว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง ส่งผลต่อชีวิตของประชาชน การรักษาและป้องกันโรคระบาดเหล่านี้ในระยะต้นแทบหาทางป้องกันไม่ได้ จนทำให้ประชาชนมีอัตราการเจ็บป่วยและล้มตายเป็นจำนวนมาก โรคระบาดดังกล่าวได้ถูกแก้โดยการนำวิทยาการตะวันตกเข้ามาปรับใช้กับการแพทย์ในสยามมากขึ้น เพื่อพัฒนา ละควบคุมโรคจนสามารถป้องกันโรคได้อย่างถาวร
ประการที่สอง คือทัศนคติ ในกลุ่มชนชั้นสูงที่เปลี่ยนไป จากได้รับการบีบคั้นจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถหาทางรักษาจากโรคที่เป็นอยู่ แต่การแพทย์แผนตะวันตกสามารถทำได้ ตัวอย่างจากกรณีที่สามารถลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของสตรีจากการอยู่ไฟได้ ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติตนของสตรีหลังการคลอดบุตร การอยู่ไฟในอดีตอาจทำให้สตรีได้รับความเจ็บปวดจากการนำถ่านหรือฟืนติดไฟมาไว้ใกล้ตัว เมื่อไฟแตกประทุจะทำให้เกิดอาการบวมและพุพอง และบางรายได้เกิดอาการเจ็บป่วยจนเสียชีวิต ทำให้สตรีชนชั้นสูงบางส่วนเลือกที่จะรับคำแนะนำของแพทย์ชาวตะวันตกมาปฏิบัติใช้ ดังกรณีแพทย์ตะวันตกให้คำแนะนำในการเลิกการอยู่ไฟ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเลิกผทมเพลิง โดยเริ่มจากในพระบรมมหาราชวัง เรื่อยไปจนถึงนอกเขตพระราชฐาน มีการตั้งโรงเรียนผดุงครรภ์ที่ศิริราช และที่เชียงใหม่ พระองค์ทรงโปรดประทานอนุญาตให้กรมพยาบาลอ้างกระแสรับสั่งชี้แจงแก่ผู้ที่จะคลอดลูกในโรงพยาบาล ว่าพระองค์ได้เคยอยู่ไฟมาก่อน และเมื่อเปลี่ยนมาใช้การรักษาแบบตะวันตก ร่างกายสบายขึ้นกว่าแต่เดิม หากผู้ใดกระทำตามอย่างพระองค์จะพระราชทานเงินทำขวัญลูกคนละ 4 บาท ประชาชนจึงเริ่มรักษาตามแนวทางแพทย์แผนตะวันตก และลดปริมาณการอยู่ไฟลง
ประการสุดท้าย คือ การสนับสนุนของพระมหากษัตริย์ จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทางการแพทย์ ค่านิยมของพระมหากษัตริย์ในการรับการแพทย์แผนตะวันตกนั้นกล่าวได้ว่ามีความเด่นชัดมากที่สุด เนื่องจากเมื่อพระองค์ทรงรับการรักษาแบบแพทย์แผนตะวันตก พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าวิทยาการตะวันตกนี้ดี จึงส่งผลให้กลุ่มชนชั้นสูงคนอื่น ๆ ปฏิบัติตาม พระมหากษัตริย์ทรงมีแพทย์ประจำตัวเป็นชาวตะวันตก เช่น รัชกาลที่ 5 มีศาสตราจารย์แพทย์เบอร์เคอร์ ชาวเยอรมัน และหมอปีเตอร์ เกาแวน เป็นแพทย์ประจำพระองค์ เป็นต้น ซึ่งผลปรากฏว่า ค่านิยมในการแพทย์แผนตะวันตกนั้นเพิ่มมากขึ้น จนนำไปสู่การจัดตั้งโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีการรักษาแบบผสมผสาน ทั้งแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนตะวันตก นอกจากโรงพยาบาลก็ยังมีโรงเรียนแพทย์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในทางการแพทย์หลากหลายประการ การดำเนินการต่าง ๆ ยังได้รับความร่วมมือจากชนชั้นสูงเป็นอย่างมาก
การจัดตั้งโรงเรียนแพทยาลัย โดยมีจุดประสงค์ ประการแรก คือ หาหมอสำหรับประจำโรงพยาบาล ประการที่สอง คือ เพื่อจัดสอนหลักสูตรการผ่าตัดแก่หมอสยาม ซึ่งได้หมอชาวอเมริกัน คือ หมอยอช แมกฟาแลนด์ ทำการสอนวิธีผ่าตัดและยาฝรั่งด้วยภาษาไทย ในระยะแรกการตอบรับในการเข้ามาเรียนแพทย์มีจำนวนน้อย จนกระทั่งกระทรวงต่าง ๆ รับสมัครแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และเกิดความตื่นตัวหลังจากการเกิดโรคระบาด ทำให้ประชาชน และกลุ่มชนชั้นสูงสนใจในการศึกษาแพทย์มากขึ้น โดยภายหลังจากการจัดตั้งโรงพยาบาลศิริราช และโรงเรียนแพทยาลัย รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ตำราแพทย์สำหรับใช้ในโรงเรียนเล่มแรกใน พ.ศ. 2432 คือ “แพทยศาสตร์สงเคราะห์”
อีกทั้งรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการดำเนินการเรื่องการศึกษาวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์สามารถป้องกันโรคนี้ได้แล้ว เสนาบดีกระทรวงธรรมการจึงส่งหมอฮันส์ อดัมเซน และนายแพทย์อัทย์ หะสิตะเวช นักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนแพทย์ ไปศึกษาเรื่องนี้ที่ฟิลิปปินส์ เมื่อกลับมาถึงสยาม ก็ได้ก่อตั้งศูนย์ผลิตวัคซีนขึ้นในกรุงเทพฯ ทำการเพาะเชื้อในวัว แต่ผลไม่น่าพึงพอใจ จน พ.ศ. 2446 ได้ย้ายศูนย์ดังกล่าวไปตั้งที่นครปฐม มีการจ้างแพทย์ชาวอเมริกันจากฟิลิปปินส์เข้ามาดูแล และเปลี่ยนการเพาะเชื้อจากในวัว มาเป็นในควาย ซึ่งได้ผล สามารถป้องกันไข้ทรพิษได้สำเร็จ
นอกจากนี้ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ยังได้กราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ที่จะจัดตั้งสภาการกุศล เพื่อช่วยเหลือเหล่าทหาร เมื่อความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท รัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม ขึ้น ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2436
เห็นได้ว่าการเพิ่มความนิยมในการแพทย์แผนตะวันตกของกลุ่มชนชั้นนำมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาทางด้านการแพทย์ในสยามมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้เห็นการพัฒนาทางด้านการแพทย์แผนตะวันตกที่สอดคล้องไปกับค่านิยมของชนชั้นนำ
กชามาส สมอร่าม
เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. (2528). ประวัติหมอบรัดเลย์. ใน หมอบรัดเลย์กับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2506). พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม 1. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2506). พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม 2. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
ดำรงราชานุภาพ, กรมพระยา. (2487). นิทานที่ 12 เรื่อง ตั้งโรงพยาบาล. ใน นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร
นฤมล สินสุพรรณ. (2544,กรกฎาคม-กันยายน). การแพทย์แผนไทย “ภูมิปัญญาของคนไทย”. วารสารศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 9(3): 27.
ประสงค์ ชัยรัตน์. (2528). งานพื้นฐานของหมอบรัดเลย์. ใน หมอบรัดเลย์กับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันคดีศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ประทีป ชุมพล. (2556). ประวัติ ปรัชญา นายแพทย์ และตำรายาในแพทย์แผนไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ประทีป ชุมพล. (2555). ประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย: การศึกษาจากเอกสารตำรายา. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
เปรมา สัตยาวุฒิพงศ์. (2555). ประวัติการแพทย์แผนไทยก่อนการเข้ามาของอิทธิพลตะวันตก. ใน ปกิณกคดีประวัติศาสตร์ไทย เล่ม 3. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม.
แมคกิลวารี, แดเนียล. (2525). เมืองไทยที่ข้าพเจ้ารู้จัก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สุริยบรรณ.
แม็คฟาร์แลนด์, เบอร์ธ่า เบล๊านท์. (2557). ชีวิตอุทิศเพื่อสยาม. แปลโดย คณะบุคคลวัฒนา 100. กรุงเทพฯ: หจก.พีพริ้นท์.
รอยใบลาน. (2553). เรื่อง (ไม่) ลับ...ฉบับวังหลวง. กรุงเทพฯ: ฐานบุ๊คส์.
สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2542). ชุดนิทรรศการการแพทย์แผนไทย. กรุงเทพฯ: โครงการพัฒนาตำรา สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
สมพร ภูติยานันต์. (2542). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย. กรุงเทพฯ: โครงการพัฒนาตำรา สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
สมิธ,มัลคอร์ม. (2537). ราชสำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ. กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
สภากาชาด. (2536). 100 ปี สภากาชาดไทย 2436 – 2536. กรุงเทพฯ: สภากาชาดไทย.
สุด แสงวิเชียร. (2528). หมอบรัดเลย์กับการนำการแพทย์แผนปัจจุบันสู่ประเทศสยามในสมัยรัตนโกสินทร์. ในหมอบรัดเลย์กับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อุไรวรรณ อมรนิมิต. (2556,ตุลาคม-ธันวาคม). การวิจัยและพัฒนาการด้านการแพทย์แผนไทย. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. 33(4): 209.
Museum Siam Knowledge Center
ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5 เล่ม 1 / หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร.
ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5 เล่ม 2 / หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร.