พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 สนพระราชหฤทัยกีฬาเรือใบอย่างจริงจัง เนื่องจากทรงมีฝีพระหัตถ์ในงานช่างไม้อยู่แล้ว และไม่ทรงโปรดซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง จึงทรงเริ่มต่อเรือใบด้วยพระองค์เอง โดยมีอู่ต่อเรือ และสระทดลองแล่นเรือในพระราชตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระองค์ทรงเริ่มต่อเรือลำแรกคือเรือประเภท Enterprise Class โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นลูกมือ จนกระทั่งทรงต่อเรือลำแรกได้สำเร็จ จึงพระราชทานชื่อว่า “ราชปะแตน” ใน พ.ศ. 2508 เมื่อครั้งเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ พระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงทราบว่าเจ้าชายฟิลิปโปรดการทรงเรือใบ ก็โปรดฯ ให้จัดการแข่งขันเรือใบขึ้น การแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันครั้งแรกของพระองค์ โดยเส้นทางเริ่มต้นจากชายหาดพัทยาไปยังอ่าวด้านเหนือของเกาะล้าน ผลปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงได้รับชัยชนะ
ในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ทรงสมัครเข้าคัดเลือกเป็นนักกีฬาเรือใบทีมชาติไทย และผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติ การแข่งขันจัดขึ้นที่อ่าวพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พระองค์ทรงเรือเวคา 2 หมายเลขใบเรือ TH27 พร้อมด้วยสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเรือเวคา 1 หมายเลขใบเรือ TH28 ผลการแข่งขันปรากฏว่าคะแนนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ออกมาเท่ากัน ทางคณะกรรมการจึงทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองให้กับทั้งสองพระองค์ ส่วนผู้ได้รับเหรียญเงินได้แก่ นายลาซาริ จากประเทศมาเลเซีย และเหรียญทองแดงได้แก่ นายยัน ขิ่น จากประเทศเมียนมา ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ซึ่งเป็นพิธีปิดการแข่งขัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินมาทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัล สร้างความปลื้มปีติแก่คนไทยเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากชัยชนะในกีฬาแหลมทองครั้งนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการกีฬาไทยมาโดยตลอด เห็นได้จากทุกความเคลื่อนไหวของวงการกีฬาไทยที่มักมีสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาวันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ชนะการแข่งขันเรือใบ มาเป็น “วันกีฬาแห่งชาติ” หรือแม้กระทั่งพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานให้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การพระราชทานไฟพระฤกษ์ การเสด็จฯ ไปเปิดและปิดการแข่งขันกีฬา การรับสมาคมกีฬาต่าง ๆ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ การโปรดเกล้าฯ ให้นักกีฬาที่กำลังจะเดินทางไปแข่งขันรวมไปถึงนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้เข้าเฝ้าฯ การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับนักกีฬา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเครื่องพันผูกให้สถาบันการกีฬาและสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่แยกออกจากกัน เพราะทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็เป็นสถาบันที่สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศไทย
ยิ่งพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงเป็นนักกีฬา และทรงได้รับชัยชนะ ยิ่งทำให้นักกีฬามีพระองค์เป็นแบบอย่าง และยึดพระองค์ไว้ในจิตใจ จนมีแนวคิดเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬา ว่ากีฬาคือการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติและเป็นการแข่งขันเพื่อพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยสมัครเล่นที่เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้ (พ.ศ. 2539) ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 26 ที่นครแอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 พระราชทานวโรกาสให้คณะนักมวยสากลสมัครเล่นที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนั้นเข้าเฝ้าฯ และในครั้งนั้นสมรักษ์ คำสิงห์ ก็ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองโอลิมปิกแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ นอกจากนี้เราก็ยังเห็นกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลาย ๆ ครั้ง
จะเห็นได้ว่านักกีฬาทุกคนทำเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและทำความดีนี้เพื่อพระองค์ เพราะพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีและการประสบความสำเร็จ นักกีฬายกพระองค์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่เมื่อนึกถึงพระองค์แล้วก็มุ่งมั่นที่จะแข่งขันจนชนะให้จงได้ และเมื่อชนะแล้วเราจะเห็นภาพที่นักกีฬาชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ให้กับประชาชนชาวไทยและนานาประเทศได้เห็น พระองค์จึงเปรียบเสมือนเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ ถึงแม้ว่าทั้งหมดของชัยชนะจะเป็นความเพียรและเกิดจากตัวของนักกีฬาเอง แต่พระองค์ก็เป็นส่วนสำคัญในฐานะที่ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สมาคมกีฬานั้น ๆ และเป็นกำลังใจสำคัญให้นักกีฬาในการพระราชทานวโรกาสเฝ้าแต่ละครั้ง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นแบบอย่างของนักกีฬา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเคยเป็นนักกีฬามาเหมือนกัน นี่คือการพันผูกกันของการกีฬาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่น้อยประเทศหรือแทบจะไม่มีประเทศใดที่พันผูกกันเข้าไว้ได้ถึงขนาดนี้
รัชนก พุทธสุขา
การกีฬาแห่งประเทศไทย. (2549). บันทึกฮีโร่กีฬาไทย. กรุงเทพฯ: ดอกเบี้ย.
การกีฬาแห่งประเทศไทย. . (2549). พระมหากษัตริย์นักกีฬา. กรุงเทพฯ: ดอกเบี้ย.
การกีฬาแห่งประเทศไทย. . (2547). 40 ปี 4 ทศวรรษ การกีฬาแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ดอกเบี้ย.
กิตติ โล่เพชรัตน์. (2554). ราชันย์ผู้สร้างสรรค์ ดนตรี กีฬา ศิลปะ ของพระเจ้าแผ่นดิน. กรุงเทพฯ:
ก้าวแรก.
ฐิติรัตน์ เกิดหาญ. (2549). พรจากพ่อ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ. ปทุมธานี: สกายบุ๊กส์.