สนามราษฎร์ ก่อนเหลือเพียงสนามหลวง

Museum Core

12 ก.ค. 63
1K
“สนามราษฎร์” ก่อนเหลือเพียงสนามหลวง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เคยมี "สนามราษฎร์" และ "สนามหลวง" แบ่งส่วนกันอย่างชัดเจน
สนามราษฎร์ ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินใน เดิมตั้งอยู่ริมถนน "น่าจักรวรรดิ์วังหน้าฟากตะวันออกตรงข้ามสนามหลวง" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นสนามที่ทางการจัดไว้ให้ราษฎรได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่สนามราษฎร์ในการก่อสร้างอาคารศาลสถิตย์ยุติธรรม ใน พ.ศ. 2425 ประชาชนจึงเข้าไปใช้พื้นที่สนามหลวงในเวลาต่อมา
เมื่อไม่มีสนามราษฎ์แล้ว สนามหลวงจึงกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนเข้ามาใช้ทำกิจกรรมแทนสนามราษฎร์ที่หายไป และด้วยความที่สนามหลวงเป็นพื้นที่โล่งกว้างจึงมีการจัดสรรแบ่งพื้นที่ในการทำกิจกรรมได้อย่างหลากหลายทั้งการเล่นว่าว การตีกอล์ฟ การหัดจักรยาน การจัดตลาดนัด และการจัดเวทีปราศรัยทางการเมือง
กิจกรรมประชาชนที่นิยมกันมาอย่างยาวนานที่สนามหลวง คือ การเล่นว่าว ดังที่ขุนวิจิตมาตรากล่าวว่า
“งานแข่งว่าวพนันที่สนามหลวงสนุกมาก คนดูมากกว่าดูพระเศวตรเล็กน้อย แต่นั่งดูนอนดูกันเรียบ ๆ สบาย ๆ ไม่สนุกเจียนตาย เหมือนดูพระเศวตร เวลามีว่าวแบ่งสนามออกเป็นสองเขต โดยปักเสาสูงตรงถนนพระจันทร์ออกมาถึงถนนราชดำเนินใน เป็นระยะราวห้าหกเสา ปลายเสามีลวดโยงตลอด เขตทางด้านใต้เป็นสนามว่าวจุฬา เขตทางด้านเหนือเป็นเขตว่าวปักเป้า”
นอกจากการจัดกิจกรรมของประชาชนแล้ว ยังมีการจัดงานเฉลิมฉลองสำคัญ ๆ อย่างเช่น งานฉลองปีใหม่ครั้งแรก ขุนวิจิตมาตรากล่าวว่า
“งานที่สนามหลวงเริ่มจัดเป็นงานใหญ่โตครั้งแรกคืองานปีใหม่ (ยังคงนับการเริ่มต้นปีใหม่ในเดือนเมษายน) จะเป็นปี พ.ศ. อะไรจำไม่ได้ มีมหรสพ การละเล่นจากจังหวัดต่าง ๆ มาร่วมด้วย ซึ่งบางอย่างข้าพเจ้าได้เห็นเป็นครั้งแรกก็มี เช่น “เต้นสาก” “แอ่วเคล้า” ฯลฯ ซึ่งเป็นการเล่นพื้นเมืองของจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัด กลางสนามตั้งกระโจมใหญ่เป็นแตรวงทหารเรือเป็นวงใหญ่ ทั้งวงเห็นจะร่วม 30 คน ร้องเพลงซึ่งคุณพระเจนดุริยางค์แต่งทำนอง ข้าพเจ้าใส่คำร้อง”
ในงานฉลองรัฐธรรมนูญที่บริเวณท้องสนามหลวง มีโรงมหรสพ 8 โรง แสดงโขน เพลงทรงเครื่อง ละครรำ งิ้ว ลิเก จำอวด ละครร้อง โดยนับเฉพาะผู้แสดงมีจำนวน 1,116 คน มีคนดู “ล้นหลามทุกโรงมหรสพ” มีการตั้งภาพยนตร์ 2 จอ มีการจุดดอกไม้เพลิง ซึ่งมีราษฎร (ที่ชื่อขึ้นต้นด้วยนาง/นายทั้งสิ้น) บริจาคดอกไม้เพลิงทั้งหมด อาทิ นายบัว หัวหน้า บริจาคดอกไม้เพลิงประเภทฝนแสนห่าและพุ่มสี ยายกลับ แสงสงกราน บริจาคประเภทพลุไทย นายจ๋อ แซ่หลิม นางทิพย์ ตมัสปาน บริจาคประเภทพลุฝรั่ง เป็นต้น ซึ่งจะมีการจุดทั้งสามคืน มีคณะละครซึ่งส่วนใหญ่เป็นของราษฎรโดยจาก 26 รายที่นำมหรสพเข้าแสดงในงาน มีเพียง 3 รายเท่านั้นดูจะไม่ใช่คณะละครของราษฎร คือ โขนหลวงจากศาลาว่าการพระราชวัง กับละครรำของพระยาอนิรุธเทวา และพระมหาโยธาเท่านั้น ที่เหลือเป็นคนไทย จีน และแขกปนกัน ขึ้นอยู่กับประเภทมหรสพว่าเป็นอะไร เช่น คณะละครรำของนายพูน เรืองนนท์ คณะละครแขกของรามฮูนาถ หรือคณะงิ้วของนายเม่งกี่ยี่ห้อเง็กเล้าชุน เป็นต้น ส่วนภาพยนตร์มีส่งเข้ามาร่วม 3 บริษัท คือ บริษัทน่ำแซ บริษัทสยามซินิมา และบริษัทตงก๊ก
อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สนามหลวงมีกิจกรรมที่ถือว่ามีความเป็นสนามราษฎร์มากก็คือในครั้งหนึ่ง สนามหลวงได้กลายเป็นตลาดนัดที่ประชาชนมาร่วมทำกิจกรรมและมีกิจกรรมร่วม จึงมีความทรงจำร่วมของคนสมัยหนึ่งที่มักจะกล่าวถึงการไปทำกิจกรรมที่ตลาดนัดสนามหลวง ซึ่งจุดเริ่มต้นของตลาดนัดสนามหลวงคือ พ.ศ. 2491 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีนโยบายให้จัดตลาดนัดทุกจังหวัด เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 “ตลาดนัดสนามหลวง” เป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย สินค้าที่ขาย เช่น ของกิน ของใช้ สัตว์เลี้ยง เครื่องดนตรีไทย ของขลัง ยาแผนโบราณ โปสเตอร์ดารา หนังสือ เป็นต้น กิจกรรม เช่น เช่าจักรยาน เล่นว่าว ปาหี่ (การแสดงกลหรือกายกรรมของนักแสดงเร่) เป็นต้น
แต่กิจกรรมทั้งหมดนี้ก็ค่อย ๆ หายไปหลังจากเริ่มมีโครงการปรับปรุงพื้นที่สนามหลวงเพื่อจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เริ่มมีการจัดการพื้นที่สนามหลวงให้กลับไปอยู่ในบริบทของพื้นที่พระราชพิธีอีกครั้ง แนวโน้มของพื้นที่ที่มีลักษณะของการเป็นสนามราษฎร์ก็ค่อย ๆ ลดลง

รัชนก พุทธสุขา
แหล่งอ้างอิง
ทวีวุฒิ สุริบุตร. (2549). 100 ปี ถนนราชดำเนินในบริบทของความสำคัญต่อสังคมไทย (พ.ศ. 2442-2542). สารนิพนธ์. กศ.ม. (ประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.