ศาลาเฉลิมไทย เป็นส่วนหนึ่งของชุดอาคารริมถนนราชดำเนินกลางซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ออกแบบโดยนายจิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์ ประกอบด้วยห้างร้าน สำนักงาน ธนาคาร โรงแรม โรงมหรสพ โดยคณะราษฎร์ต้องการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าของประเทศ โดยทำการขยายถนนเพื่อสร้างกลุ่มอาคารพาณิชย์ ตลอดสองฝั่งถนน เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญทัดเทียมกับนานาอารยประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
จอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งใจสร้างศาลาเฉลิมไทยให้เป็น “โรงละครแห่งชาติ” ที่มีความทันสมัยเทียบเท่าสากล โดยศิววงศ์ กุญชร ณ อยุธยา เป็นผู้ออกแบบต่อหลังจากถูกใช้เป็นโกดังเก็บของในช่วงสงครามโลก โดยตัวโรงมีที่นั่ง 2 ชั้นตามแบบโรงละครในยุโรป ออกแบบเสาและซุ้มประตูทางเข้าด้วยลายไทย มีเวทีขนาดใหญ่ หลังเวทีกว้างขวางสำหรับทำการเปลี่ยนฉากได้โดยสะดวก หน้าเวทีมีพื้นที่สำหรับวงดนตรีที่เลื่อนขึ้นลงด้วยระบบไฮโดรลิก และรองรับผู้ชมได้ถึง 1,300 ที่นั่ง
ในช่วงแรกระหว่างปี พ.ศ. 2492 ถึง พ.ศ. 2496 ศาลาเฉลิมไทยจัดแสดงละคร เนื่องจากเป็นมหรสพยอดนิยมของไทยและคนจีนในสมัยนั้น โดยมีคณะละครผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแสดง คณะที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือคณะอัศวิน และคณะศิวารมย์ ละครเรื่องแรกที่แสดงในวันเปิดโรง คือ ราชันย์ผู้พิชิต ส่วนเรื่องสุดท้ายคือ สี่สิงห์สมุทร ต่อมาภาพยนตร์กลายเป็นความบันเทิงใหม่ที่คนไทยให้ความนิยม ศาลาเฉลิมไทยจึงเปลี่ยนมาฉายภาพยนตร์แทน
เฉลิมไทยเข้าสู่ยุครุ่งเรืองด้วยการเป็นโรงภาพยนตร์ชั้น 1 และเป็นผู้นำระบบต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ในเมืองไทย เช่น ฉายภาพยนตร์สามมิติ (เรื่องใต้อุ้งมือโจร-Man In The Dark) เป็นโรงแรกที่ฉายด้วยระบบซีนีมาสโคป (เรื่องอภิหารเสื้อคลุม-The Rope) ฉายภาพยนตร์ระบบ 70 มม. (ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องเจ้าหญิงนิทรา-Sleep Beauty) ฉายด้วยระบบซีเนราม่า ซิงเกิลเลนส์ (เรื่อง พิชิตตะวันตก-Now The West Was Won) เป็นต้น ในระยะแรกฉายภาพยนตร์ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาจึงนำภาพยนตร์ไทยมาฉายสลับเพื่อช่วยสนับสนุนภาพยนตร์ของไทยด้วยกันเอง โดยฉายภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกคือ เป็ดน้อย ส่วนภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ฉายคือ เรื่อง เพราะว่าฉันรักเธอ
ศาลาเฉลิมไทย ยังเป็นโรงภาพยนตร์แรก ๆ ที่มีร้านอาหารเครื่องดื่มไว้บริการผู้ชมภาพยนตร์ระหว่างรอหรือเมื่อชมเสร็จ โดยร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นตำนานคู่กับที่แห่งนี้ คือ ร้านไอศกรีม “POP” ที่ตกแต่งร้านสไตล์อเมริกัน ขายไอศกรีมตราเป็ด มีโลโก้เป็นโดนัลด์ดั๊ก คนทั่วจึงนิยมเรียกว่า “ไอติมป็อปตราเป็ด” นอกจากนี้ยังเป็นที่แรกที่ขายข้าวโพดคั่ว “POP” ต่อมาได้ขยายไปยังโรงภาพยนตร์อื่น ๆ จนถึงทุกวันนี้
ปีพ.ศ. 2525 กระแสข่าวการรื้อถอนศาลาเฉลิมไทยกลับมาอีกครั้งหลังจากเริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2516 จากแนวคิดของ คณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์ที่เสนอต่อรัฐบาล โดยต้องการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณวัดราชนัดดาให้เป็นพื้นที่โล่ง เนื่องจากที่มีโบราณสถานที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 คือ โลหะปราสาท รวมทั้งต้องการใช้เป็นสถานที่ตั้งพลับพลาที่ประทับสำหรับใช้ต้อนรับราชอาคันตุกะและประมุขของต่างประเทศ ที่มาเยือนประเทศไทย ทั้งนี้เพราะบริเวณดังกล่าวเปรียบเสมือน “ประตูเมือง” ที่จะพาแขกบ้าน แขกเมืองเข้าสู่พื้นที่ “หัวแหวน” ของเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน
ในปีพ.ศ.2527 รัฐบาลเริ่มรับหลักการ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้คณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์รับเรื่องการปรับปรุงบริเวณโลหะปราสาทไปหารือกับกระทรวงการคลังก่อน จนกระทั่งปีพ.ศ. 2530 รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณสำหรับชดเชยค่าที่ดินและตัวอาคารให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยศาลาเฉลิมไทยได้รับการผ่อนผันให้ดำเนินการต่อชั่วคราว
มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกับการรื้อถอนศาลาเฉลิมไทย โดยเห็นว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัว อยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมอื่น และยังเห็นว่าศิลปกรรมที่สร้างสรรค์โดยคณะราษฎรเป็นศิลปกรรมที่เสื่อมโทรมที่สุด
“การสร้างโรงหนังเฉลิมไทย เป็นการปิดบังวัดราชนัดดาโดยสิ้นเชิง แทนที่จะเห็นวัดราชนัดดาอันเป็นสิ่งสวยงามกลับแลเห็นโรงหนังเฉลิมไทยอันเป็นโรงมหรสพและมีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ซึ่งต่ำทรามกว่าวัดราชนัดดาเป็นอย่างยิ่ง … คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่รับผิดชอบในการสร้างถนนราชดำเนินกลางขึ้น มิได้มีใจรักศิลปะหรือวัฒนธรรมไทยแต่อย่างใดเลย และออกจะไม่เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นของสำคัญและจำเป็นอีกด้วย จึงสามารถทำกับวัดราชนัดดาได้ถึงเพียงนี้ ”
“เมื่อโรงหนังเฉลิมไทยถูกทุบทิ้งไปแล้ว ภาพของวัดราชนัดดาและโลหะปราสาทก็จะปรากฏแจ่มแจ้ง...เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรยินดีและเป็นที่น่าภูมิใจของคนในกรุงเทพมหานครทั้งหมด ในยุค 50 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีการสร้างตึกรามที่น่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้ในกรุงเทพมหานครอีกมากพอสมควร เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มทุบทิ้งอะไรกันขึ้นแล้ว เราก็ควรรู้สึกมันมือ เที่ยวทุบทิ้งตึกอื่นๆ ที่อยู่ผิดที่ผิดทาง และมีสถาปัตยกรรมอันไม่กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมของกรุงเทพฯ...”
แม้จะมีกระแสคัดค้านการรื้อถอนโดยให้เหตุผลว่าศาลาเฉลิมไทยเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ไทยจึงเห็นสมควรว่าควรอนุรักษ์ไว้ แต่เนื่องจากอาคารศาลาเฉลิมไทยไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานทางกรมศิลปากรจึงไม่ได้ให้ความสนใจ จวบจนปี พ.ศ. 2532 จึงเริ่มรื้อถอนและดำเนินการสร้างลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ดังปัจจุบัน
รวมระยะเวลากว่า 40 ปีที่ศาลาเฉลิมไทยตั้งตระหง่านบนถนนราชดำเนินในฐานะตำนานแห่งโรงมหรสพและโรงภาพยนตร์ของประเทศต้องปิดม่านลง เหลือเพียงร่องรอยความทรงจำผ่านภาพเก่าและคำถามต่อการอนุรักษ์และการออกแบบผังเมืองว่า จำเป็นหรือที่ต้อง “ทำลาย” บางสิ่งให้หายไปเพื่อ “สร้าง” สิ่งใหม่ขึ้นมาแทน
บรรณานุกรม