ในข้อมูลจากกรมไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ระบุกลุ่มบ้านในละแวกบ้านพานว่าเป็น "ช่างสลักพานเงิน" ตามตรอกบ้านพานมีซอกซอยเวียนไปออกริมคลองบางลำพูได้ มีคุณพระคุณหลวงทำพานทำขันเงินอีกหลายบ้าน จากความทรงจำของหลายท่านบ้านที่ทำพานเงินในตรอกบ้านพานมีหลายบ้าน เช่น บ้านขุนปราณีต บ้านขุนวรรณ บ้านขุนศรีวารี บ้านนายหงวน บ้านคุณพระธนธรรัตนพิมล บ้านสงวนสิน บ้าน พ.อ.เจิม ดิษยบุตร บ้านคุณหญิงอาบพรโสภณ บ้านนายยิ้ม เป็นต้น
ตระกูล "รัชตะศิลปิน" ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเป็นช่างเงิน สืบมาจากต้นตระกูลที่มีวิชาช่างเครื่องเงินที่เน้นการทำพานเงินดุนลาย นาวาเอกอิสสระ รัชตะศิลปิน ผู้ที่เกิดเมื่อ พ.ศ. 2472 และคุณละออศรี รัชตะศิลปิน ที่เกิดเมื่อ พ.ศ. 2474 พี่น้องในตระกูลทำพานเงิน เป็นบุตรหลวงอนุการรัชฎ์พัฒน์ (อู๋ รัชตะศิลปิน) ข้าราชการกรมพระคลังข้างที่ และนางสงัด มีอาชีพเป็นช่างสลักเครื่องเงินโดยเฉพาะพานเงินและขันเงิน
ในตรอกหรือซอยบ้านหล่อยังมีบ้านพี่ชายคือบ้านขุนอดุลย์โภคทรัพย์ (รวย รัชตะศิลปิน) ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ในตรอกบ้านพานทีเดียว โดยมีต้นตระกูลทางฝั่งพ่อและปู่เป็นช่างเงินซึ่งสืบเชื้อสายมาจากครัวชาวลาวเวียงจันทน์ที่มาพร้อมเจ้าอนุวงศ์ ตลอดจนทางตระกูลฝ่ายภรรยาที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงและเป็นเครือญาติก็ทำพานเงินด้วย
โดยเฉพาะคุณละออศรี รัชตะศิลปิน ที่ยังอยู่อาศัยในบริเวณบ้านเดิมครั้งเมื่อยังเป็นบ้านทำพานเล่าว่า ขุนนางข้าราชการที่มีทุนทรัพย์ก็มักเปิดบ้านเป็น "นายเตา" ผลิตพานเงินกันที่ลานบ้านหรือใต้ถุนบ้าน ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงก็จะเป็นคนงานหรือเป็นช่างที่มีความสามารถพิเศษทำเฉพาะงานต่างๆ ซึ่งก็มักจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือคนงานตีใช้แรงขึ้นรูปพาน ซึ่งเรียกว่า "ช่างกลึง" ในช่วงที่มีงานมากๆ จะมีบ้านละราว 10 คน และช่างดุนหรือตอกลายลงบนผิวภาชนะเป็น "ช่างสลัก" ซึ่งต้องใช้ฝีมือความชำนาญและไม่ต้องใช้แรงงานมากเท่าช่างตีขึ้นรูป คนงานส่วนใหญ่เป็นคนในละแวกโดยรอบ ตรอกเดียวกัน ซอยเดียวกัน มาหัดแบบไม่หวงวิชา หลายคนมาพักกินนอนที่บ้านนายเตา ปลูกบ้านอยู่ท้ายบ้านก็มีและอยู่ดูแลกันต่อมาก็มาก บางคนก็สามารถเปิดเป็นนายเตาด้วยตนเอง รับงานผลิตเองก็มี
งานฝีมือของคุณปู่คุณละออศรีซึ่งเป็นตระกูลช่างเงินโดยแท้ ถ่ายทอดความทรงจำว่า งานเครื่องเงินชุดหนึ่งทำให้กับพระมหาราชครูปโรหิตาจารย์หรือคุณละออศรีเรียกว่าพระราชครูพราหมณ์ ซึ่งมีบ้านอยู่ริมฝั่งคลองบางลำภูใกล้กับบ้านพาน และมีเอกสารบันทึกถึงตำแหน่งบ้านพระราชครูพราหมณ์ไว้เมื่อราว พ.ศ.2426
คุณทวดของคุณละออศรีนั้นเป็นช่างเงินมาก่อนและคงมีช่วงชีวิตในช่วงก่อนรัชกาลที่ 5 อาจเป็นคนรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางเหนือฝั่งคลองนอกเมืองที่มีเรือกสวนอยู่มาก และเป็นไปได้มากที่จะเป็นกลุ่มช่างหลวงจากเวียงจันทน์ที่ถูกอพยพโยกย้ายมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓
นอกจากนี้ยังเล่าต่อว่าคนรุ่นแม่ คุณป้า เป็นช่างสลักทำพวกของในวังบ้าง เช่น โกศเงินสลักหรือดุนลาย งานของแม่ได้เข้าไปทำแทบจะเป็นชิ้นท้ายๆ คือ โกศของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ 7 โดยมีอาจารย์จากเพาะช่างพาเข้าไป นอกจากนี้ยังมีงานที่โรงกษาปณ์เดิมที่ไปแกะสลักลวดลาย
บ้านของคุณพ่อและญาติพี่น้องก็ทำเครื่องเงิน แม้คุณพ่อจะรับราชการกรมพระคลังข้างที่ในพระบรมมหาราชวัง เคยเป็นนักเรียนสวนกุหลาบรุ่นแรก รับราชการในช่วงรัชกาลที่ 7 และยังมีกิจการเป็นนายเตา โดยคุณแม่ใหญ่และแม่เล็กเป็นคนควบคุม มีพี่สาววิ่งรับและส่งงานกับพ่อค้าและคนที่เข้ามาค้าขายถึงบ้าน
ในตรอกบ้านพาน คุณละออศรีเล่าว่า แม้จะมีอาชีพโดยพื้นของครอบครัวทำพานกันหลายบ้าน แต่บุตรหลานส่วนใหญ่รับราชการและส่งเสริมให้เรียนหนังสือและรับราชการ กล่าวกันว่าบุตรหลานข้าราชการแข่งกันเรียนเป็นหมอก็หลายท่าน โดยเฉพาะบุตรชาย ส่วนบุตรสาวนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนทัดเทียมกันนัก โดยถูกปลูกฝังกันว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งสูงสุดที่เปลี่ยนแปลงสถานภาพและชีวิตได้ เป็นทหาร ทำงานกระทรวงต่างๆ คนในย่านนี้จึงค่อยๆ ทยอยออกไปจากบ้านเดิม บ้างไปพำนักอาศัยอยู่ต่างประเทศ บ้างไปอยู่ต่างจังหวัด ผู้คนจึงลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือคนดั้งเดิม
บุตรชายส่วนใหญ่ก็จะไปเรียนที่สวนกุหลาบบ้าง เตรียมอุดมฯ บ้าง ส่วนฝ่ายหญิงมักจะเรียนชั้นต้นๆ ที่โรงเรียนสตรีจุลนาค และมาต่อที่สตรีวิทยาหรือเบญจราชาลัย ในกลุ่มเฉพาะที่เป็นลูกหลานข้าราชการ ส่วนคนทั่วๆ ไปก็เรียนโรงเรียนใกล้ๆ บ้านที่มีอยู่หลายแห่ง ลูกผู้หญิงก็จะไม่ได้เรียนจบสูงนัก เพราะต้องช่วยครอบครัวในการทำพานเป็นส่วนใหญ่
คุณละออศรีให้ความเห็นที่รับรู้มาว่า แต่เดิมตรอกบ้านพานนั้นทำพานเงินกันมาก่อนจะมีการทำ "พานถม" เพราะมีการนำช่างมาจากนครศรีธรรมราช เป็นช่างถมเงินถมทอง มาเผยแพร่วิชาความรู้ และส่วนตนเองเคยเห็นคุณแม่ทำเครื่องถมจำพวกแหวนเงินแล้วใส่ลายทองก็พอมีบ้าง
ราว ๆ ช่วงหลังสงครามจนถึง พ.ศ. 2493 มีคนจีนที่อยู่ทางบางลำภูคนหนึ่งอาชีพเดิมขายก๋วยเตี๋ยวนำทองเหลืองบ้าง ทองแดงผสมทองขาว ซึ่งทองขาวเป็นโลหะผสมระหว่างทองคำกับแร่อื่นๆ เพื่อให้เกิดสีที่ต่างๆ นำมารีดเป็นแผ่นๆ เป็นชิ้นๆ แล้วบัดกรีจนเป็นรูปร่างขันที่ปากขอบก็ใส่ลวดเข้าไป แต่ต้นทุนถูกกว่านำเอาแร่เงินมาใช้เป็นวัสดุแบบเดิม นำมาชุบเงินดูแวววาวสวยงามยาวนานกว่าการใช้พานเงินแท้ๆ เสียอีก แล้วจึงนำมาให้คนในบ้านพานตอกลาย
เมื่อคนรุ่นใหม่จากครอบครัวคนทำพานแบบดั้งเดิมก็รับตอกลาย เพราะรายได้ดีมาก เห็นอะไรในชีวิตในธรรมชาติ เช่น กุ้งหอยปูปลา คนพายเรือ ต้นสาเก กอหญ้าข้าว กอบัว เป็นลวดลายที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดปราณีตหรือฝีมือมากนัก และเป็นลายง่ายๆ ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่คนชอบกันมากกว่าลายเดิมๆ แบบโบราณ คนก็รับจ้างทำเพราะได้เงินดี
แต่เมื่อพ่อค้าคนกลางบอกว่าให้ทำพานเอง ต้องใช้การหยอดใช้กรดซึ่งค่อนข้างอันตรายจึงไม่ทำแล้ว เมื่อบ้านหนึ่งเลิกทำก็กระจายไปสู่บ้านอื่นๆ ที่รับทำ ดังนั้นการทำพานที่ไม่ใช่พานเงินตอกขึ้นรูปทั้งใบ แต่เป็นพานโลหะผสมแล้วบัดกรีเชื่อมจึงกระจายไปสู่คนตามบ้านต่างๆ ทั่วไปตลอดตั้งแต่บางลำภูไปจนถึงหน้าวัดปรินายกไปจนผ่านฟ้าแต่คนบ้านพานเดิมๆ ที่เป็นนายเตาไม่มีผู้ใดกระทบกระเทือนมากนัก เพราะส่งลูกหลานเรียนหนังสือ ทำราชการเป็นส่วนมาก แต่บ้านอื่นๆ น่าจะมีบ้าง เพราะหลายบ้านต้องเลิกทำโดยเด็ดขาด บ้างคงไปหางานอาชีพอย่างอื่นหรือขายบ้านช่องออกไปอยู่ที่อื่นก็มี หรือบางรายเมื่อสูงวัยต้องเลิกทำไม่นานนักก็เสียชีวิตไป นับจากนั้นเป็นต้นมา หลัง พ.ศ.2493 การทำพานแบบโบราณดั้งเดิมก็ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย
สรวิชญ ฤทธิจรูญโรจน์