Museum Core
หนังสือเล่มละบาท : อาวุธทางความคิดยุคสายลมแสดงแดด
Museum Core
13 ก.ค. 63 898

ผู้เขียน : สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

หนังสือเล่มละบาท 
อาวุธทางความคิดยุคสายลมแสดงแดด

 

ย้อนกลับไปภายใต้สังคมเผด็จการก่อนหน้าเหตุการณ์ 14 ตุลา รัฐบาลทหารปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง มีการจับกุมนักคิดนักเขียนผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล  หากตีพิมพ์เนื้อหาที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงจะถูกจำคุก 20 ปี    

 

ขณะที่บรรยากาศความเป็นไปในรั้วมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่  นิสิตนักศึกษาถูกครอบงำโดยระบบโซตัส กิจกรรมเชียร์ การว้ากรุ่นน้อง  บ้างก็คร่ำเคร่งกับตำรับตำราเพื่อหวังปริญญาบัตรเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล รวมถึงการมีโอกาสเป็นเจ้าคนนายคน  เรียกบรรยากาศแบบนี้ว่ายุคสายลมแสงแดด

 

อย่างไรก็ตามมีเยาวชน คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่บางส่วน เริ่มตั้งคำถามต่อความไม่พัฒนาของการเมืองการปกครองไทย พร้อม ๆ กับตั้งคำถามต่อการเมืองภายในประเทศและการเมืองระดับโลก   เกิดเป็นเครือข่าย เป็นชุมชนของนักศึกษา ปัญญาชน และประชาชนจำนวนหนึ่งที่พบปะกันในทางตัวอักษร ผลิต เผยแพร่ข้อมูลและทัศนะ เป็นทางเลือกให้กับสังคมที่ถูกครอบงำด้วยข้อมูลข่าวสารของรัฐเผด็จการ  โดยอาวุธหลักคือ หนังสือเล่มละบาท เร่ขายตามประตูหน้ามหาวิทยาลัย มิใช่เพียงให้นักศึกษาอ่านกันเอง แต่ต้องการสื่อสารความคิดไปยังประชาชนทั่วไปด้วย  

 

“เรายืนขายวารสารเล่มละบาทตามประตูมหาวิทยาลัย  ไม่ได้คิดว่าเราจะทำกำไรจากจากการทำหนังสือ เราเพียงต้องการแสดงศักยภาพของคนหนุ่มสาว ต้องการแสดงทัศนะ และบอกต่อสังคมถึงการมีอยู่ของคนเช่นเรา”  (เรืองรอง รุ่งรัศมี 2541)  

 

สมัยนั้นจะทำหนังสือต้องขอสันติบาล  ห้ามออกชื่อใหม่ หนังสือเล่มละบาทจึงออกจำหน่ายเป็นรายสะดวก เนื้อหาภายในหนังสือเล่มละบาท  ประกอบด้วย บทความวิชาการ บทกวี เรื่องสั้น  บางเล่มเป็นบทความวิชาการล้วนๆ บางเล่มอาจเป็นการรวมเรื่องสั้นหรือบทกวี  อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นการสะท้อนถึง ความต้องการมีสังคมใหม่ที่ดีกว่า โดยมีลักษณะร่วมคือมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ เป็นประเด็นสถานการณ์ร่วมสมัย และมีแนวคิดที่แหวกแนวน่าสนใจ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แม้ว่าแนวคิดอุดมการณ์จะไม่ตรงกันกันเสียทั้งหมด แต่ก็พุ่งเป้าไปที่การต่อต้านเผด็จการทหารและเรียกร้องประชาธิปไตย   กลุ่มอิสระที่ทำหนังสือเล่มละบาทออกจำหน่าย และส่งผลทางความคิดต่อสังคมในวงกว้างในยุคนั้น อาทิ  

 

เจ็ดสถาบัน  เป็นทั้งชื่อหนังสือเล่มละบาทและชื่อกลุ่ม   ตั้งชื่อจากจากกลุ่มนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย 7 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร, หาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น    ออกฉบับแรกเมื่อพ.ศ.2507 ออกได้เพียง 3 ฉบับก็ถูกห้ามพิมพ์เผยแพร่   มีเนื้อหาต่อต้านสงครามเวียดนาม วิพากษ์มหาวิทยาลัยทั้งเรื่องการเรียนการสอน และระบบอาวุโส    หนังสือเล่มละบาทเล่มแรกนี้จุดประกายทำให้นิสิตนักศึกษากลุ่มอิสระในมหาวิทยาลัยทั้งหลาย ต่างทำหนังสือเล่มละบาทออกมาอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา

 

กลุ่มสภาหน้าโดม  จากรั้วธรรมศาสตร์ ก่อตั้งปีพ.ศ.2513 ออกหนังสือภัยขาว (10 มีนาคม 2514)  เป็นบทความวิชาการที่ต่อต้านมหาอำนาจ ต่อต้านสงครามเวียดนาม

 

กลุ่มวลัญชทัศน์  จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ออกหนังสือภัยเขียว (ก.ย.-พ.ย. 2514) มีเนื้อหาโจมตีระบอบเผด็จการทหารถนอม-ประพาส   

 

กลุ่มฟื้นฟูโซตัสใหม่  จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  จำหน่ายหนังสือเล่มละบาท วิพากษ์วิจารณ์สังคมโซตัสและสภาพการเรียนการสอน รวมทั้งท้าทายระบบค่านิยมเรื่อง “อาวุโส” รุ่นพี่รุ่นน้อง

 

กลุ่มสภากาแฟ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ออกหนังสือ“ภัยเหลือง” วิพากษ์บทบาทการครอบงำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น  ทั้งยังมีการรณรงค์ให้นักศึกษาใส่เสื้อผ้าฝ้ายดิบที่ผลิตในประเทศจนกลายเป็นแฟชั่นนักศึกษาในยุคนั้นด้วยโดยกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่น

 

กลุ่มความรับผิดชอบของแพทย์ต่อสังคม   จากมหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำหนังสือ “ศิริราช” นำบทกวี ‘’เปิบข้าว” ของจิตร ภูมิศักดิ์ มาเผยแพร่

 

กลุ่มศิลปและวรรณลักขณ์   จากประสานมิตร  ออกหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทกวี “ใต้เส้นระนาบ” (2516)  

 

ชมรมคนรุ่นใหม่  จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหนังสือ “มหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคำตอบ”   เพื่อเผยแพร่ทัศนะความคิดใหม่ให้กับเพื่อนนักศึกษา   วิจารณ์การบริหารงานในมหาวิทยาลัย และมีบทกวีวิจารณ์การต่ออายุราชการจอมพลถนอม และกรณีข้าราชการล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวรฯ” ด้วย  นำไปสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

 

นอกจากกลุ่มอิสระในระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ยังมีกลุ่มในระดับนักเรียนอีกด้วย เช่น  

 

ศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย   ออกหนังสือ “"กด กด กด กด" เนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง “คนรุ่นเก่า” และ “คนรุ่นใหม่” เผยแพร่ในหมู่นักเรียนและประชาชนทั่วไป  หนังสือถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของจอมพลถนอม กิตติขจร จนตำรวจสันติบาลออกตามหาคนทำหนังสือเล่มนี้

 

กลุ่มยุวชนสยาม  เป็นกลุ่มนักเรียนหัวก้าวหน้าที่เกิดจากการรวมตัวของนักกิจกรรมจากโรงเรียนต่าง ๆ เมื่อปี 2515 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากครูโกมล คีมทอง  จัดค่ายพัฒนาคนมากกว่าพัฒนาด้านวัตถุ (ค่ายฝึกกำลังคน) ทำหนังสือยุวทัศน์  กลุ่มสนทนา และร่วมประท้วงในหลายเหตุการณ์ หลัง 14 ตุลา  

 

ท่ามกลางแห่งยุคสายลมแสงแดด  ยังมีหนุ่มสาวนักแสวงหา หัวก้าวหน้าผลิตหนังสือเล่มละบาท เพื่อเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหว ติดอาวุธทางความคิดให้กับผู้คนในสังคมเพื่อร่วมกันต่อต้านเผด็จการทหาร   จากประวัติศาสตร์จะเห็นว่าถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง เมื่อนั้นเยาวชนคนรุ่นใหม่จะออกมาแสดงบทบาท ซึ่งอาวุธจะไม่ใช่หนังสือเล่มละบาทอีกอย่างแน่นอน  แต่เป็นอาวุธใหม่ในโลกโซเซียลที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา

 

สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

 

 

 

บรรณานุกรม

 

ประจักษ์ ก้องกีรติ. (2544). 88 ปีหนังสือนักศึกษา ชีวประวัติหนุ่มสาวสยามฉบับลายลักษณ์. จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ฉบับที่ 5 (มิถุนายน 2543 – พฤษภาคม) เข้าถึงจาก http://archives.library.tu.ac.th/%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%a5%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%95%e0%b8%b8-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b4-5/

 

ไพศาล วิสาโล, พระ. (มกราคม 2551). ความหลังครั้งเป็นยุวชนสยาม. เข้าถึงจาก http://www.visalo.org/article/paja255101.htm

 

รพีพรรณ  สายัณห์ตระกูล. (6 ตุลาคม 2557). ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ :แด่ 6 ตุลาฯ อันเงียบเหงา “รื้อ -เล่า ”ประวัติศาสตร์. เข้าถึงจาก https://www.isranews.org/isranews-article/33397-thanet.html

 

รังสรรค์ ธนพรพันธุ์. ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในยุคอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นคณบดี. เข้าถึงจาก 

http://www.rangsun.econ.tu.ac.th/data/16/16-01-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%A7%E0%B8%A2%20%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%81%E2%80%A6.pdf

 

วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์. ศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย (ศรท.). เข้าถึงจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

 

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ขบวนการ 14 ตุลา กับ พคท. เข้าถึงจาก https://www.academia.edu/37498491/%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3_14_%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2_%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A_%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%97._%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. (21 ตุลาคม 2557). 14 ตุลากับวัฒนธรรมหนังสือ. เข้าถึงจาก https://prachatai.com/journal/2014/10/56119

 

สุรชาติ บำรุงสุข. (4 ตุลาคม 2559). 40 ปีแห่งการล้อมปราบ (2) สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย. เข้าถึงจาก https://www.matichonweekly.com/column/article_10128



แกลเลอรี่


ย้อนกลับ