พ.ศ. 2503 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เดินทางไปภาคใต้ครั้งแรก และสังเกตเห็นว่าตลอดทางที่ไป มีน้ำอุดมสมบูรณ์และพืชพันธุ์ธัญญาหารเขียวชอุ่ม ในภาคนี้น้ำไม่เป็นปัญหาใหญ่เลยเมื่อเปรียบเทียบกับความลำบากลำบนในด้านคมนาคม อย่างไรก็ตามจอมพลสฤษดิ์พบว่าเศรษฐกิจของภาคใต้นั้นอยู่ในมือของชนต่างชาติ จึงได้เร่งให้ประชาชนขยันหมั่นเพียรยิ่งขึ้น จอมพลสฤษดิ์รู้สึกเศร้าใจเมื่อได้ทราบข่าวว่า ตามชายแดนประชาชนมิได้พูดภาษาไทยกัน และจำต้องพึ่งล่ามในการสนทนากับคนพื้นเมืองที่นั่น ดังความต่อไปนี้
“...อย่าไปโทษใครเลย โทษตัวเราและพวกเรากันเองดีกว่า และทุกอย่างจะไม่สายเกินไปเสมอ แม้จะเป็นการตั้งต้นเพื่อเวลาที่ช้าไปและล่วงเลยมาอย่างน่าเสียดายก็ตามที เราก็ต้องตั้งต้นและกระทำกันใหม่โดยไม่ลังเล... ข้าพเจ้าขอยั่วยุและชวนให้ท่านคิดถึงชาติไทยอันเป็นที่รักของเราให้มากที่สุด เลือดรักชาติของพวกเราต้องเข้มแข็งยิ่งขึ้นกว่าสมัยใด ๆ เฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลปฏิวัตินี้ ท่านต้องอดทน ต้องทำงาน ข้าพเจ้าต้องการให้พี่น้องชาวไทยทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ หลั่งไหลลงไปจับจองที่ดินและทำมาหากินทางภาคใต้นี้ ท่านต้องมานะให้มาก และจงเอาเลือดไทย เลือดรักชาติไทยไปเผยแพร่ที่นั้น ”
จอมพลสฤษดิ์ กล่าวว่า ตนจะช่วยเหลือผู้ที่เต็มใจจะฝังรากอยู่ภาคใต้ ด้วยการตั้งศูนย์ทำไร่ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือให้ตั้งตัวได้
ภายหลังจอมพลสฤษดิ์ยังได้จัดให้ตัวแทนไทยมุสลิมภาคใต้ประมาณ 70 คนได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 2504 การเข้าเฝ้าฯ เช่นนี้ก็ยังคงกระทำต่อเนื่องกันมา และนับตั้งแต่บัดนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จร่วมพิธี “เมาลิด” ซึ่งเป็นวันประสูติของพระศาสดาอย่างสม่ำเสมอ แม้มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระองค์ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย เป็นครั้งแรกภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560
รัชนก พุทธสุขา
มติชนออนไลน์. (2560). ในหลวง ร.10 ทรงเปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2562. จาก อ่านออนไลน์