ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สาธารณูปโภค เช่น ถนนหนทาง สะพาน ศาลาว่าการ โรงเรียน โรงพักตำรวจ เป็นต้น ตามปกติแล้วรัฐบาลใช้เงินรายได้ของรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชนนั่นเอง แต่ก็พบอยู่บ่อยว่าในหลาย ๆ โครงการมีการประกาศเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปบริจาคเงินที่นอกเหนือจากการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล ซึ่งเรียกกันติดปากว่า การเรี่ยไร นั่นเอง
เช่นในสมัยรัชกาลที่ 5 การเรี่ยไรเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาประเทศ ดังเช่น กรณีหนึ่ง คือ "สะพานสุนทรบุรี" เดิมเป็นสะพานที่มีอยู่ก่อนแล้วเกิดชำรุด สร้างความลำบากให้กับประชาชน ข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลนครไชยศรีจึงทำใบบอก ลงวันที่ 25 เมษายน ร.ศ. 118 กราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ขออนุญาตเรี่ยไรเงินจากผู้ว่าราชการเมืองกรมการ เจ้าภาษีนายอากร และราษฎรทั่วไป นำมาสร้างสะพานหกปากคลองเจดีย์บูชา แล้วถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และยังมีการเรี่ยไรเงินเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ เช่น กรมพระนครบาลออกประกาศเรี่ยไรในการเกิดอุทกภัยที่เมืองไชยา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ร.ศ.110 เกิดวาตภัยทำให้เกิดน้ำทะเลท่วม เกิดความเสียหายต่อวัดและบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตด้วย และสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนกว่า 13,800 คน จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสส่งให้กรมนครบาลออกประกาศจ้างความ และจัดการรับเงินบริจาคจากพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และราษฎรทั่วไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวเมืองไชยา
ในการเรี่ยไรนี้ถ้าผู้ใดบริจาคเงินมากกว่าหนึ่งตำลึง จะลงบันทึกจดชื่อลงบัญชีแล้วนำขึ้นกราบบังคมทูลทราบ ว่าได้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง แล้วประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ทราบทั่วถึงกัน
บางครั้งก็อาจมีการหลอกลวงและสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนผู้ถูกเรี่ยไร กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จึงรับพระบรมราชโองการ เผยแพร่ "ประกาศ ข้อบังคับสำหรับการเรี่ยรายในลานเจดีย์สถาน" ซึ่งเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ในการเรี่ยไรทรัพย์ โดยผู้ที่จะเรี่ยไรจะต้องได้รับอนุญาตก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษปรับเป็นเงิน 20 บาท หรือจำคุก 1 เดือน หรือทั้งจำและปรับ
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 มีการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพระนครกับธนบุรีเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ด้านการคมนาคมสัญจรรองรับการขยายตัวของเมือง สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสสถาปนากรุงเทพมหานครครบ 150 ปี รัฐบาลได้ประมาณการงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ไว้เป็นจำนวน 4,000,000 บาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง รัฐบาลส่วนหนึ่ง ส่วนอีกจำนวนหนึ่งนั้นทรงพระราชดำริว่าควรบอกบุญเรี่ยไรประชาชน เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสะพานเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ให้ทันกับการสมโภชกรุงเทพมหานคร มีอายุครบ 150 ปี ใน พ.ศ.2475 โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสรรค์วรพินิต ทรงเป็นประธานคณะกรรมการ
ในการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามจะต้องใช้เงินประมาณ 6 แสนเศษ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชศรัทธาอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 2 แสนบาท รัฐบาลอนุญาตเงินแผ่นดิน 2 แสนบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรรมการจัดดำเนินการเรี่ยไรพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป เพื่อให้ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน
โดยให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดพนักงานรับเรี่ยไรที่กรมพระคลังสมบัติและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่ทำการคลังจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีการออกใบเสร็จรับเงินสีขาวแก่ผู้บริจาค 1 บาท ใบเสร็จรับเงินสีเขียวใบไม้สำหรับผู้บริจาค 5 บาท ใบเสร็จรับเงินสีแดงสำหรับผู้บริจาค 20 บาท และใบเสร็จสีเหลืองสำหรับผู้บริจาค 100 บาท มีหมายเลขประจำใบเสร็จ และมีตราดุนของกรมพระคลังมหาสมบัติประทับต้นขั้วกับใบเสร็จและมีลายเซนต์ของเจ้าพนักงานด้วย นอกจากนี้มีการแจกเหรียญพระแก้ว ตอบแทนเป็นที่ระลึกตามชั้นและจำนวนเงินที่บริจาค คือ ผู้บริจาคตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองคำ ผู้บริจาคตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป พระราชทานเหรียญเงิน ผู้บริจาคตั้งแต่ 5 บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองขาว ผู้บริจาคตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป พระราชทานเหรียญทองแดง หลังแจ้งความปิดเรี่ยไรปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 24 กุมภาพันธ์ 2475 ปรากฏว่ายังมีผู้บริจาคอยู่เรื่อยๆ ถึงปีพ.ศ.2576
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 8 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ตรากฎหมายขึ้นเพื่อควบคุมการเรี่ยไร คือ "พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2480" ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 54 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2480 ซึ่งนำระบบการอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรมาใช้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนทำการเรี่ยไร มีการกำหนดตัวบุคคลที่ไม่มีสิทธิเรี่ยไร และกำหนดบทลงโทษทางอาญาไว้ด้วย
ภายหลังประกาศใช้บังคับ 6 ปีเศษ ปรากฏว่าการควบคุมการเรี่ยไรยังไม่รัดกุมเท่าที่ควร จึงมีการตรากฎหมายฉบับใหม่ขึ้น ชื่อว่า "พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487" กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร เพื่อเป็นผู้พิจารณาการอนุญาตให้ทำการเรี่ยไร แก้ไขเปลี่ยนแปลงบุคคลที่มีสิทธิเรี่ยไร
ในสังคมไทยการเรี่ยไรเงินเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งทำให้ประชาชนได้ช่วยเหลือสังคมและการพัฒนาประเทศ ผ่านการบริจาคทั้งเงินและวัตถุสิ่งของต่าง ๆ สำหรับบางโครงการที่ไม่มีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น การเรี่ยไรสามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับฉ้อโกงของมิจฉาชีพบางกลุ่ม เนื่องจากไม่เกรงกลัวกฎหมายอายุเกือบ 80 ปี
สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์
ประกาศกรมพระนครบาล เรี่ยรายในการเกิดอุทกภัยที่เมืองไชยา. (2434, 29 พฤศจิกายน). ราชกิจานุเบกษา. เล่ม 8 หน้า 299
ประกาศกระทรวงมหาดไทย. (2442, 21 พฤษภาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 16 หน้า 115
ประกาศ ข้อบังคับสำหรับการเรี่ยไรในลานเจดีย์สถาน. (2449, 1 เมษายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 23 ตอน 1 หน้า 6
ประกาศระเบียบการรับเงินเรี่ยไร การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม. (2472, 22 กันยายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 46 หน้า 2083
พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487. (2487, 18 มกราคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 61 หน้า 117