ปลากัด ต้นกำเนิดในไทยแต่โด่งดังไกลยังต่างแดน
“ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติไทย ตำนานเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตสังคมและวัฒนธรรมไทยมายาวนานกว่า 667 ปี ที่สามารถยืนยันชัดเจนว่าปลากัดมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยแห่งเดียว หรือไทยแลนด์โอนลี่ โดยเอกสารทางประวัติศาสตร์ระบุว่าคนไทยนิยมเลี้ยงปลากัดอย่างแพร่หลายตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี ระบุว่า ปลากัดอัมพวากัดเก่ง มีหลายสีผู้คนจึงนิยมเลี้ยงกันมาก
ด้วยความนิยมเลี้ยงปลากัดเป็นกีฬา โดยนำมากัดกัน ในสมัยรัชกาลที่1 ได้ออกพระราชกําหนดห้ามเล่นพนันชนไก่ชนนกกัดปลา ประมวลกฎหมายตราสามดวง จ.ศ. 1166 (พ.ศ.2347) ความว่า “…แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ห้ามอย่าให้ผู้ใด ๆ คบหาชักชวนกัน ชนไก่ชนนกคุ่มชนกกะทาชนนกศรีชมภู แลจัดปลาให้กัดพะนันกันเปนอันขาดทีเดียว ถ้าผูใดมิฟังจับได้ พิจารณาเปนสัจจะให้ลงพระราชอาญาขับเฆี่ยน ปรับไหมตามโทษานุโทษ…”
ในวรรณคดีเรื่องอิเหนา สำนวนฉบับรัชกาลที่ 2 กล่าวถึงปลากัดไว้ตอนหนึ่งว่า “...บ้างลงท่าโกนจุกสนุกสนาน มีงานการกึกก้องทุกแห่งหน บ้างตั้งบ่อนปลากัดนัดไก่ชน ทรหดอดทนเป็นเดิมพัน...” โดยมีชาวต่างประเทศถึง 12 ชาติเข้ามาดูบ่อนปลากัดของไทย
ในปีพ.ศ.พ.ศ. 2383 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมอบปลากัดไทยของพระองค์ให้กับชายไทยคนหนึ่ง โดยชายผู้นั้นได้นําไปให้กับนายแพทย์ทีโอดอร์ เอดเวิร์ด แคนเทอร์ ชาวเดนมาร์ค ซึ่งได้ตีพิมพ์เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับปลากัดไทยชนิดดังกล่าวและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macropodus pugnax จนกระทั่งปี พ.ศ.2452 นายชาลส์ เทตรีกัน นักมีนวิทยาชาวอังกฤษ ได้ทําการตรวจสอบอีกครั้งและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens
ในสมัยรัชกาลที่ 4 บันทึกของสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ได้กล่าวว่า “พวกเด็ก ๆ มีการเล่นหลายอย่าง....โดยเฉพาะปลาเล็ก ๆ สองชนิดที่กล้าหาญมาก ซึ่งมันเข้าจู่โจมกันสนุกนัก” และ หนังสือบันทึกของที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 กล่าวไว้ว่า “คนไทยนิยมเลี้ยงปลากัดเพื่อใช้พนันขันต่อกันอย่างแพร่หลาย มีแหล่งจำหน่ายใหญ่ที่ย่านสำเพ็ง และบางตัวนั้นแม้ด้วยเงินหลายร้อยบาทก็ยังซื้อไม่ได้”
ปลากัดทุกลักษณะ ไม่ว่าปลากัดจีน ปลากัดเขมร ปลากัดมาเลย์ ล้วนมีที่มาจากปลากัดป่าของไทยสายพันธุ์เดียวกัน เพียงแต่เมื่อมีการผสมคัดพันธุ์ที่ถูกต้องได้จังหวะ ลักษณะที่สวยงามหลากหลายของปลากัดซึ่งเป็นลักษณะพันธุกรรมที่ซ่อนอยู่ในปลากัดตามธรรมชาติของไทยแต่เดิม ก็จะปรากฏออกมาอย่างสวยงาม กลายเป็นความหลากหลายลักษณะของปลากัดในท้ายที่สุด
ในปีพ.ศ.2453 มีการจำแนกชื่อวิทยาศาสตร์ของปลากัด "Betta splendens" ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยตัวอย่างปลากัดที่นำมาจำแนกตามหลักอนุกรมวิธานเป็นตัวอย่างที่เก็บมาจากลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าของและถือว่าเป็นสัตว์ประจำถิ่นของประเทศไทย
มีการนำปลากัดไทยไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในบางประเทศของทวีปยุโรปตั้งแต่ พ.ศ.2417 และสหรัฐอเมริกานำเข้าไปเลี้ยงในปีพ.ศ.2460 จากนั้นมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดอย่างต่อเนื่อง ทั้งในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยในระยะแรกๆ จะเน้นการผสมปลากัดให้ได้สีใหม่ๆ และได้รูปแบบสีที่สมบูรณ์
ในช่วงปีพ.ศ.2470 - 2480 ผู้เลี้ยงมักนิยมปลากัดสีอ่อนหรือสีเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ปลากัดเขมร ซึ่งมีลำตัวสีอ่อน (สีเผือก) และมีครีบสีแดง ต่อมาประมาณปีพ.ศ.2490 นักเพาะเลี้ยงมุ่งที่จะเพาะปลากัดสีดำ และทำได้เป็นผลสำเร็จ ระยะต่อมาจึงได้เริ่มมีความสนใจ ที่จะพัฒนาลักษณะของรูปทรงลำตัวและครีบ โดยในปีพ.ศ.2507 นักเพาะเลี้ยงปลากัดในสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตสายพันธุ์ปลากัด ลิบบี (Libby) ซึ่งมีหางใหญ่มน กว้างเป็น 3 เท่าของลำตัว เช่นเดียวกับครีบก้นและครีบหลัง
ในระหว่างปีพ.ศ.2510 - 2520 สามารถผลิตปลากัดหางสามเหลี่ยมให้ชื่อว่า เดลตา (Delta) ซึ่งเป็นปลากัดที่มีครีบหางแผ่ทำมุม 46 - 60 องศากับโคนหาง รวมทั้งปลาที่มีหางสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า ซูเปอร์เดลตา (Super delta) ด้วย ประมาณปีพ.ศ.2530 ในทวีปยุโรปได้มีผู้สามารถผสมพันธุ์ปลากัดที่มีหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลมที่เรียกว่า ฮาล์ฟมูนเดลตา (Halfmoon delta) หรือหางพระจันทร์ครึ่งซีกได้ หลังจากนั้นในปีพ.ศ.2543 นักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวสิงคโปร์ได้พัฒนาปลากัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีหางจักเป็นหนามเหมือนมงกุฎที่เรียกว่า คราวน์เทล (Crown tail) หรือหางมงกุฎ ซึ่งเป็นปลากัดที่นิยมกันมากสายพันธุ์หนึ่งในปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีผู้นิยมเลี้ยงปลากัด ทั้งที่เลี้ยงเป็นงานอดิเรกและเลี้ยงเป็นอาชีพเป็นจำนวนมาก มีการจัดตั้งเป็นชมรมและสมาคมต่างๆ รวมทั้งมีการจัดการประกวดแข่งขันกัน ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
ด้วยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2561 เป็นต้นมา เนื่องจาก “ปลากัดไทย” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens) นั้น เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยมีต้นกำเนิดมาจากไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นควรให้ใช้เหตุผลนี้ประกาศให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อไป
สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์
บรรณานุกรม
บทละครเรื่องอิเหนา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ เล่ม 1. เข้าถึงจาก
ยนต์ มุสิก. (2544). การกัดปลากัด. ใน จากเกมกีฬาพื้นบ้านของไทยสู่ไฮเทค. เอกสารการประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 39. เข้าถึงจาก เข้าถึงจาก
สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ, กรมประมง, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2559).มาตรฐานปลากัดสวยงามในประเทศไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2559) เข้าถึงจาก
หนังสืออนุสรณ์งานประชุมเพลิงศพ นางถนอม หงสนันทน์ ณ เมรุสุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส 16 เมษายน 2509. เข้าถึงจาก