Museum Core
แตรวงชาวบ้านไทย มาไกลจากอังกฤษ
Museum Core
30 ก.ย. 63 11K

ผู้เขียน : สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

แตรวงชาวบ้านไทย มาไกลจากอังกฤษ

 

แตรวงชาวบ้าน เป็นวงดนตรีที่นิยมบรรเลงนำในการเดินแถวในงานต่าง ๆ เช่น งานบวช งานสมโภช งานบุญต่างๆ  โดยเน้นความสนุกสนานแตรวงพื้นบ้านจะมีเครื่องดนตรีไม่มากนัก เครื่องดนตรีที่ใช้จะเป็นจำพวกแตร การฝึกหัดก็จะใช้การถ่ายทอดสืบต่อกันมาไม่มีการดูโน้ตเพลง  ในเวลาการบรรเลงต้องอาศัยการจดจำ นั่งล้อมวงกันบรรเลงแตรวงจึงเป็นการละเล่นพื้นบ้านในการดำรงชีวิตของชาวบ้าน 

 

แตรวง พัฒนามาจากวงดนตรีเครื่องเป่า เป็นวงดนตรีที่ใช้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามาแต่โบราณ ในกิจการของกองทัพ การฝึกแถวการเดินสวนสนามในพิธีเกียรติยศ และการประโคมในพิธีเฉลิมฉลองของรัฐหรือราชสำนักใช้เครื่องดนตรีตระกูลเครื่องเป่าทองเหลืองและลมไม้  ในสมัยโบราณเรียกรวมๆ ว่า บราสแบนด์ (Brass Band) เนื่องจากบทบาทในการดำเนินทำนองเป็นของกลุ่มเครื่องดนตรีทองเหลืองมากกว่าและนิยมเล่นกลางแจ้ง ให้เสียงที่ดังเจิดจ้าชัดเจนสามารถเดินเล่นและนั่งเล่นเป็นกลุ่มได้ วงเครื่องเป่า ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นมิลิทารีแบนด์ (Military Band) มีจุดประสงค์ในการใช้งาน คือ การเล่นเพลงเดินเท้าเข้าสู่สนามรบของทหาร หรือใช้ประกอบการสวนสนามของทหารเพื่อปลุกใจในยามสงครามหรือประกอบพิธีต่างๆ ของทหารโดยเฉพาะ

สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ริเริ่มมีการฝึกทหารแบบอังกฤษที่วังหน้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวและที่วังหลวง ครูผู้ฝึกแถวคือร้อยเอกน็อกซ์ (Knox) และร้อยเอกอิมเปย์ (Impey) ชาวอังกฤษ ตามลำดับ ทั้งสองท่านได้นำวงดุริยางค์เครื่องเป่าขนาดเล็ก ที่เรียก Brass Band ของยุโรปมาบรรเลงคำนับถวายเวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จฯ ออกมหาสมาคม  

 

“แตรวงมีขึ้นในเมืองไทยเมื่อรัชกาลที่ 4 … เป่าแต่เพลงฝรั่งสำหรับนำทหารเดิน เมื่อตั้งแถวคำนับก็เป่าเพลง God Save the Queen ตามแบบอังกฤษ …ไทยใช้เพลงกอดเสฟธีควีนเป็นเพลงคำนับมาจนในรัชกาลที่ 5”

 

พอถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีบันทึกชัดเจนว่าแตรวงของทหารเรือ เรียกว่า แตรวงทหารมะรีน สมัยนี้มีครูฝรั่งมาสอนและควบคุมแตรวงอยู่ 3 ท่าน คือ  ครูเวสเตอร์เฟล ชาวเยอรมัน ครูเฮวู้ด เซน ชาวฮอลันดา และครูจาคอบ ไฟท์  ชาวเยอรมัน   วงแตรวงทหารมหาดเล็กถือกำเนิดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เอง ได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นอดิศรอุดมเดชเป็นผู้บังคับการและก่อตั้งแตรวงทหารหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมาแตรวงทหารนี้ได้เจริญรุ่งเรืองมาเป็นกองดุริยางค์ทหารบกในปัจจุบัน  

 

ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ทรงบัญญัติ คำว่า “ดุริยางค์” ขึ้น ดังนั้น วงดนตรีทั้งหลายจึงหันมาใช้คำว่า “ดุริยางค์” แทนคำว่า ดนตรี อาทิ วงจุลดุริยางค์ วงดุริยางค์สากล วงดุริยางค์ไทย เป็นต้น วงดุริยางค์ใช้ในความหมายของการนั่งบรรเลง เช่น วงดุริยางค์กรมศิลปากร วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ เป็นต้น

 

สำหรับวงโยธวาทิตนั้น เป็นศัพท์บัญญัติที่ราชบัณฑิตยสถาน สร้างขึ้นในยุคหลัง หมายถึง “วงดนตรีที่บรรเลงโดยทหาร” ซึ่งมาจากคำว่า “โยธา” แปลว่า ทหาร รวมกับคำว่า “วาทิต” แปลว่า “ดนตรีหรือผู้บรรเลงดนตรี” นิยมใช้กับดนตรีที่ใช้ในการสวนสนามของกองดุริยางค์ทหารกองลูกเสือ

 

นอกจากนั้น วงโยธวาทิตได้แพร่เข้าไปสู่ระบบการศึกษา เข้าไปอยู่ในโรงเรียนทั่วประเทศทั้งระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา วงโยธวาทิตมีหน้าที่นำแถวนักกีฬา นำแถวลูกเสือ และใช้ในการนั่งบรรเลงเพลงไทยตามแบบแผนที่สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์กรมกระนครสวรรค์วรพินิต ทรงปรับปรุงแนวทางขึ้นเพื่อใช้กับโยธวาทิต ของกองทัพบกและกองทัพเรือในอดีต มีการเรียบเรียงสกอร์เพลงไทยสำหรับวงโยธวาทิตจำนวนมาก ใช้วัตถุดิบจาก เพลงปี่พาทย์สำนักพาทยโกศลและเพลงพระนิพนธ์ของพระองค์เอง ผู้เรียบเรียงเพลงไทยสำหรับโยธวาทิตที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์กรมกระนครสวรรค์วรพินิต พันตรีหลวงประสานดุริยางค์ ร้อยเอกนพ ศรีเพชรดี และพันโทวิชิต โห้ไทย เป็นต้น

 

คนไทยนิยมใช้เสียงแตรวงชาวบ้านประโคมแห่ในงานพิธีกรรมต่างๆ ที่มีชาวบ้านมาชุมนุมกัน ทั้งงานรื่นเริงบันเทิงใจ อาทิ งานบวชนาค ทำขวัญ งานแห่ขันหมาก งานมงคลสมรส งานสมโภชวันสำคัญทางพุทธศาสนา งานศพ งานมหรสพ รวมถึงการโหมโรงหน้าโรงละคร โหมโรงหน้าโรงภาพยนตร์ที่เรียกว่า “หนังเงียบ” ไปจนถึงงานประโคมข่าวป่าวประกาศกิจกรรมการเมืองท้องถิ่น ฯลฯ  

 

ในสมัยสมัยรัชกาลที่ 7 เริ่มมีการนำภาพยนตร์เงียบเข้ามาฉายในประเทศไทย การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนดูมาซื้อบัตรเข้าดูภาพยนตร์ ก็จะนิยมใช้แตรวงแห่นำ เมื่อถึงช่วงภาพยนตร์ใกล้ฉาย ก็จะไปตั้งวงเล่นโหมโรงเรียกร้องความสนใจจากคนดู และเมื่อถึงเวลาฉายภาพยนตร์ก็จะย้ายเข้าไปบรรเลงสดๆ หน้าจอ คิดด้นเพลงไปตามภาพเคลื่อนไหวของหนัง เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในอดีต ที่ได้มีประสบการณ์ใหม่กับภาพยนตร์เงียบอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อเกิดเพลงรำวงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แตรวงชาวบ้านก็นำเพลงรำวงสนุกๆ ที่นิยมร้องเล่นกันไปเป่าในกระบวนแห่ด้วย จนกระทั่งยุคเพลงลูกทุ่งเพลงลูกกรุง หรือเพลงไทยสากลในปัจจุบัน ถ้าเพลงไหนเป็นที่นิยมก็มักจะถูกนำไปบรรเลงรับใช้สังคมไทยเสมอมา

 

แตรวงชาวบ้าน ในปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนไป ความนิยมในการประโคมแห่ลดลงและมีกิจกรรมดนตรีเพื่อสังคมชาวบ้านแบบอื่นๆ มาใช้ทดแทน แต่ก็มิใช่ว่าแตรวงชาวบ้านจะเงียบเสียงไปเสียเลยทีเดียว ในหลายท้องถิ่นยังคงพึ่งพาดนตรีแตรวงเพื่อความสนุกสนานบันเทิงในชุมชน ยังคงมีชาวบ้านที่สนใจฝึกฝนแตรวงแบบชาวบ้านสืบทอดวิธีการบรรเลงด้วยลีลาของชาวบ้านกันอยู่ แม้ว่าทางหน่วยงานราชการและสถานศึกษาสมัยใหม่จะหันไปนิยมการส่งเสริมวงโยธวาทิต ที่มีระเบียบแบบแผนมาตรฐานระดับชาติและนานาชาติมากกว่าแล้วก็ตาม

 

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมจัดให้ วงแตรวงชาวบ้าน หรือ แตรวง เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำ ปีพุทธศักราช 2557  แต่ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การรวบรวมและบันทึกหลักฐานความรู้เกี่ยวกับแตรวงชาวบ้านเอาไว้อย่างเป็นรูปธรรม ยังไม่มีความชัดเจนพอและไม่ได้รับการเอาใจใส่จากสถาบันการดนตรีใดๆ อย่างจริงจัง แม้กระทั่งสถาบันการศึกษาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้ทางเครื่องเป่าตะวันตกที่มุ่งสร้างมาตรฐานให้เทียบเท่าสากล ก็ละทิ้งรากฐานความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมแตรวงชาวบ้านกับการศึกษาในระบบเสียมาก ความหวังในการสืบทอดแตรวงยังคงลางเลือนหากมุ่งฝากภารกิจเอาไว้ที่ภาครัฐและสถาบันการศึกษา คงเป็นเรื่องทางเลือกและการตัดสินใจของชุมชนที่จะเล็งเห็นคุณค่าของแตรวงชาวบ้าน กับการอยู่ร่วมกับสังคมไทยในอนาคตได้อย่างไร

 

 

สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

 

 

บรรณานุกรม

 

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. แตรวง (BRASS BAND). เข้าถึงจาก

 

กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ. ที่มาของแตรวง  เข้าถึงจาก

 

อิทธิพล สวัสดิพฤกษา. (2558).  การปรับตัวของแตรงวงชาวบ้านในสังคมไทยปัจจุบัน. เข้าถึงจาก 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ