ตราประจำจังหวัด : การสร้างเอกลักษณ์ท้องถิ่นในนโยบายรัฐนิยม
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 7 ประเทศไทยได้เกิดตราประจำจังหวัดต่างๆ ขึ้น โดยในปี 2483 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มให้มีการจัดทำตราประจำจังหวัดขึ้น ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในชนบทท้องถิ่นนั้นๆ มีความภาคภูมิใจและรักในบ้านเกิดท้องถิ่นของตน อันจะก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นขึ้นและส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ดังคำปรารภของนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ว่า
“... การที่จะให้ประเทศชาติรุ่งเรืองแข็งแรงนั้น จำต้องสร้างความเจริญเป็นปึกแผ่นให้แก่ชนบทโดยทั่วๆ ไป และการที่ชนบทจะเจริญเป็นปึกแผ่นได้ ก็ต้องอาศัยการที่ชาวชนบทมีนิสสัยรักถิ่นฐาน ไม่ใฝ่ฝันที่จะย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอยู่ในพระนคร เพื่อให้ได้ผลดั่งว่านี้ มีสิ่งซึ่งจะต้องทำหลายอย่าง เกี่ยวกับการบำรุงและชักจูงคนให้ชอบชีวิตชนบท ภูมิใจในความเป็นชาวชนบท และรักชนบทที่เป็นถิ่นฐานของตน สิ่งแรกที่ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรทำได้ คือคิดให้มีเครื่องหมายประจำจังหวัดเหมือนอย่างที่ได้มีอยู่แล้วในนานาประเทศที่เจริญ”
โดยจอมพล ป. ให้เหตุผลอยู่ 2 ข้อ คือ 1) ต้องการยกระดับประเทศไทยให้เหมือนกับนานาอารยประเทศในยุโรป ที่ล้วนมีตราประจำเมือง ตราประจำรัฐ หรือตราประจำแคว้น กันทั้งสิ้น 2) ต้องการให้คนในชนบทเกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เนื่องจากตราประจำจังหวัดจะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ใช้ได้เฉพาะคนในจังหวัดเท่านั้น นำไปสู่การขอความร่วมมือจากทุกจังหวัดให้ช่วยกันคิดช่วยเสนอข้อมูลว่าจังหวัดของตนมีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจึงได้มอบนโยบายให้กรมศิลปากร ซึ่งขณะนั้นมีพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ดำรงตำแหน่งอธิบดี ออกแบบดวงตราประจำจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านของกรมศิลปากร ได้แก่ ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) เป็นผู้คิดความหมายจากชื่อจังหวัด หรือจากสิ่งสำคัญในแต่ละจังหวัด เพื่อจำลองออกมาเป็นภาพในดวงตรา และพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ร่างแบบตามแนวคิด ทั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการจังหวัดทุกจังหวัดมีส่วนในการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาเขียนดวงตราด้วย ส่วนการเขียนลงเส้นนั้นมีนายช่างอาวุโสในแผนกหัตถศิลป กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร จำนวน 4 คน เป็นผู้เขียน ได้แก่ นายปลิว จั่นแก้ว นายทองอยู่ เรียงเนตร นายปรุง เปรมโรจน์ และนายอุ่ณห์ เศวตมาลย์
ในการออกแบบตราจังหวัด เพื่อให้ภาพที่ปรากฏอยู่ภายในดวงตราจังหวัดเป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนในจังหวัดและประชาชนทั่วไปสามารถยอมรับร่วมกันและพอใจที่จะใช้ ศิลปินผู้ออกแบบจึงได้เลือกคัดสรรจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดนั้นๆ โดยมีแนวคิดในการออกแบบ ดังนี้
หลังจากที่กรมศิลปากรออกแบบดวงตราประจำจังหวัดแล้ว จังหวัดต่างๆ ได้นำดวงตราไปใช้ในปี 2485 ต่อมาเพื่อให้ดวงตราของแต่ละจังหวัดมีความชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นของจังหวัดใด กรมศิลปากรจึงได้ออกแบบเพิ่มเติมให้ โดยเพิ่มแถบชื่อจังหวัดหรือบางดวงได้เพิ่มทั้งรูปครุฑและแถบชื่อไว้ด้วยกัน โดยวางตำแหน่งของครุฑหรือแถบชื่อตามความเหมาะสมของลักษณะตราแต่ละดวง
ต่อมามีบางจังหวัดต้องการเปลี่ยนแปลงแบบดวงตราใหม่เพื่อความเหมาะสมยิ่งขึ้น และได้ขอให้กองหัตถศิลป กรมศิลปากร ออกแบบให้ใหม่ เช่น จังหวัดยโสธร จังหวัดราชบุรี จังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น บางจังหวัดได้มอบให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยแก้ไข หรือออกแบบขึ้นเอง ดังนั้น จึงมีหลายจังหวัดที่ยังใช้ตราประจำจังหวัดตามแบบเดิมที่กรมศิลปากรออกแบบให้เมื่อปี 2483 และมีดวงตราของหลายจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับจังหวัดที่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งขึ้นใหม่ในปัจจุบันนั้น กรมศิลปากรได้ออกแบบให้เฉพาะบางจังหวัดที่ขอความร่วมมือเท่านั้น
ในปี 2520 นายนพวัฒน์ สมพื้น หัวหน้างานศิลประยุกต์ กองหัตถศิลป กรมศิลปากร ได้มอบหมายให้นายพินิจ สุวรรณะบุณย์ นำแบบดวงตราประจำจังหวัดที่ออกแบบไว้มากำหนดสี และมอบให้ช่างศิลปกรรมช่วยกันลอกแบบของเดิมพร้อมทั้งระบายสี เพื่อจัดพิมพ์หรือส่งเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดที่ต้องการ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2520 จนถึงต้นปี 2521 ตราประจำจังหวัดจึงเป็นเครื่องมือในการสร้างเอกลักษณ์ของท้องถิ่นมาโดยตลอด
สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์
บรรณานุกรม
เพ็ญสุภา สุขคตะ. (7 สิงหาคม 2560). ตราประจำจังหวัดเชียงใหม่ ช้างเผือกยืนใน “เรือนแก้ว” หรือ “ซุ้มเสมา”? เข้าถึงจาก
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ตราประจำจังหวัด. เข้าถึงจาก เข้าถึงจาก
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน. (14 ธันวาคม 2558). สัญลักษณ์ประจำจังหวัด. เข้าถึงจาก