Museum Core
ตราประจำจังหวัด : การสร้างเอกลักษณ์ท้องถิ่นในนโยบายรัฐนิยม
Museum Core
30 ก.ย. 63 610

ผู้เขียน : สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

ตราประจำจังหวัด : การสร้างเอกลักษณ์ท้องถิ่นในนโยบายรัฐนิยม

 

ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 7  ประเทศไทยได้เกิดตราประจำจังหวัดต่างๆ ขึ้น โดยในปี 2483 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มให้มีการจัดทำตราประจำจังหวัดขึ้น ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในชนบทท้องถิ่นนั้นๆ มีความภาคภูมิใจและรักในบ้านเกิดท้องถิ่นของตน อันจะก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นขึ้นและส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ดังคำปรารภของนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ว่า

 

“... การที่จะให้ประเทศชาติรุ่งเรืองแข็งแรงนั้น จำต้องสร้างความเจริญเป็นปึกแผ่นให้แก่ชนบทโดยทั่วๆ ไป และการที่ชนบทจะเจริญเป็นปึกแผ่นได้ ก็ต้องอาศัยการที่ชาวชนบทมีนิสสัยรักถิ่นฐาน ไม่ใฝ่ฝันที่จะย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอยู่ในพระนคร เพื่อให้ได้ผลดั่งว่านี้ มีสิ่งซึ่งจะต้องทำหลายอย่าง เกี่ยวกับการบำรุงและชักจูงคนให้ชอบชีวิตชนบท ภูมิใจในความเป็นชาวชนบท และรักชนบทที่เป็นถิ่นฐานของตน  สิ่งแรกที่ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรทำได้ คือคิดให้มีเครื่องหมายประจำจังหวัดเหมือนอย่างที่ได้มีอยู่แล้วในนานาประเทศที่เจริญ

 

โดยจอมพล ป. ให้เหตุผลอยู่ 2 ข้อ คือ 1) ต้องการยกระดับประเทศไทยให้เหมือนกับนานาอารยประเทศในยุโรป ที่ล้วนมีตราประจำเมือง ตราประจำรัฐ หรือตราประจำแคว้น กันทั้งสิ้น   2) ต้องการให้คนในชนบทเกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เนื่องจากตราประจำจังหวัดจะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ใช้ได้เฉพาะคนในจังหวัดเท่านั้น นำไปสู่การขอความร่วมมือจากทุกจังหวัดให้ช่วยกันคิดช่วยเสนอข้อมูลว่าจังหวัดของตนมีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

 

รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจึงได้มอบนโยบายให้กรมศิลปากร ซึ่งขณะนั้นมีพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ดำรงตำแหน่งอธิบดี ออกแบบดวงตราประจำจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านของกรมศิลปากร ได้แก่ ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) เป็นผู้คิดความหมายจากชื่อจังหวัด หรือจากสิ่งสำคัญในแต่ละจังหวัด เพื่อจำลองออกมาเป็นภาพในดวงตรา และพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ร่างแบบตามแนวคิด ทั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการจังหวัดทุกจังหวัดมีส่วนในการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาเขียนดวงตราด้วย ส่วนการเขียนลงเส้นนั้นมีนายช่างอาวุโสในแผนกหัตถศิลป กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร จำนวน 4 คน เป็นผู้เขียน ได้แก่ นายปลิว จั่นแก้ว นายทองอยู่ เรียงเนตร นายปรุง เปรมโรจน์ และนายอุ่ณห์ เศวตมาลย์

 

ในการออกแบบตราจังหวัด เพื่อให้ภาพที่ปรากฏอยู่ภายในดวงตราจังหวัดเป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนในจังหวัดและประชาชนทั่วไปสามารถยอมรับร่วมกันและพอใจที่จะใช้ ศิลปินผู้ออกแบบจึงได้เลือกคัดสรรจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดนั้นๆ โดยมีแนวคิดในการออกแบบ ดังนี้

  1. แนวคิดจากชื่อจังหวัด โดยนำชื่อของจังหวัดนั้นมาตีความหมายและวาดภาพขึ้น เช่น ภาพกระบี่ไขว้ ในดวงตราประจำจังหวัดกระบี่ ภาพธงชัย หรือธงสามชาย ในดวงตราประจำจังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น
  2. แนวคิดจากปูชนียวัตถุสถาน หรือโบราณวัตถุสถานสำคัญของจังหวัด โดยนำภาพปูชนียวัตถุสถาน หรือโบราณวัตถุสถานสำคัญของจังหวัด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปมาบรรจุเป็นประธานส่วนหนึ่งภายในดวงตรา เช่น ภาพพระปฐมเจดีย์ ในดวงตราจังหวัดนครปฐม และภาพพระนครคีรีหรือเขาวัง ในดวงตราประจำจังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น
  3. แนวคิดจากประวัติหรือตำนานเมือง โดยนำส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หรือตำนานมาผูกเป็นดวงตราประจำจังหวัด เช่น ภาพท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร ในดวงตราประจำจังหวัดภูเก็ต ภาพพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชแห่งพม่า ในดวงตราประจำจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น
  4. แนวคิดจากสถานที่ทางธรรมชาติซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลาย โดยเลือกเอาสถานที่ทางธรรมชาติมาผูกเป็นดวงตราประจำจังหวัด เช่น ภาพเขาสามมุข ในดวงตราประจำจังหวัดชลบุรี ภาพเกาะเสม็ด ในดวงตราประจำจังหวัดระยอง เป็นต้น
  5. แนวคิดจากอาชีพหรือความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรของจังหวัด โดยเลือกแสดงภาพอาชีพหรือทรัพยากรนั้นๆ เช่น ภาพเรือขุดแร่ ในดวงตราประจำจังหวัดพังงา ภาพต้นยาสูบ ในดวงตราประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น

 

หลังจากที่กรมศิลปากรออกแบบดวงตราประจำจังหวัดแล้ว จังหวัดต่างๆ ได้นำดวงตราไปใช้ในปี 2485 ต่อมาเพื่อให้ดวงตราของแต่ละจังหวัดมีความชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นของจังหวัดใด กรมศิลปากรจึงได้ออกแบบเพิ่มเติมให้ โดยเพิ่มแถบชื่อจังหวัดหรือบางดวงได้เพิ่มทั้งรูปครุฑและแถบชื่อไว้ด้วยกัน โดยวางตำแหน่งของครุฑหรือแถบชื่อตามความเหมาะสมของลักษณะตราแต่ละดวง

 

ต่อมามีบางจังหวัดต้องการเปลี่ยนแปลงแบบดวงตราใหม่เพื่อความเหมาะสมยิ่งขึ้น และได้ขอให้กองหัตถศิลป กรมศิลปากร ออกแบบให้ใหม่ เช่น จังหวัดยโสธร จังหวัดราชบุรี จังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น บางจังหวัดได้มอบให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยแก้ไข หรือออกแบบขึ้นเอง ดังนั้น จึงมีหลายจังหวัดที่ยังใช้ตราประจำจังหวัดตามแบบเดิมที่กรมศิลปากรออกแบบให้เมื่อปี 2483 และมีดวงตราของหลายจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับจังหวัดที่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งขึ้นใหม่ในปัจจุบันนั้น กรมศิลปากรได้ออกแบบให้เฉพาะบางจังหวัดที่ขอความร่วมมือเท่านั้น

 

ในปี 2520 นายนพวัฒน์ สมพื้น หัวหน้างานศิลประยุกต์ กองหัตถศิลป กรมศิลปากร ได้มอบหมายให้นายพินิจ สุวรรณะบุณย์ นำแบบดวงตราประจำจังหวัดที่ออกแบบไว้มากำหนดสี และมอบให้ช่างศิลปกรรมช่วยกันลอกแบบของเดิมพร้อมทั้งระบายสี เพื่อจัดพิมพ์หรือส่งเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดที่ต้องการ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2520 จนถึงต้นปี 2521   ตราประจำจังหวัดจึงเป็นเครื่องมือในการสร้างเอกลักษณ์ของท้องถิ่นมาโดยตลอด

 

 

 สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์

 

 

บรรณานุกรม

 

เพ็ญสุภา สุขคตะ. (7 สิงหาคม 2560). ตราประจำจังหวัดเชียงใหม่ ช้างเผือกยืนใน “เรือนแก้ว” หรือ “ซุ้มเสมา”?  เข้าถึงจาก

 

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ตราประจำจังหวัด. เข้าถึงจาก เข้าถึงจาก

 

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน. (14 ธันวาคม 2558). สัญลักษณ์ประจำจังหวัด. เข้าถึงจาก 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ