Museum Core
ก่อนจะเกิดโตโยต้า
Museum Core
08 ก.พ. 64 1K
ประเทศญี่ปุ่น

ผู้เขียน : กระต่ายหัวฟู

          เมื่อได้ยินชื่อโตโยต้า ทำให้นึกถึงรถยนต์ แต่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของโตโยต้า (Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology) ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองนาโกยะ (Nagoya) ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์รถยนต์แต่เพียงอย่างเดียว ครึ่งแรกของพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องอุตสาหกรรมการทอผ้าอันเป็นธุรกิจต้นกำเนิดของโตโยต้าและเรื่องราวของผู้ก่อตั้ง โทโยดะ ซากิจิ (Toyoda Sakichi (1867-1930)) บิดาของ โทโยดะ คิอิจิโระ (Toyoda Kiichiro (1894-1952)) ลูกชายคนโตที่แยกไลน์ออกมาพัฒนารถยนต์ แล้วเวลาเราพูดถึงประวัติโตโยต้าก็มักจะมาเริ่มกันที่ประวัติของอุตสาหกรรมรถยนต์โตโยต้าโดยที่โทโยดะ ซากิจิผู้พ่อไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง

 

เครื่องทอผ้าและจิตวิญญาณการใฝ่หาความรู้และการสร้างสรรค์

          ในโถงต้อนรับอันใหญ่โตก่อนเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ เราจะต้องทักทายกับเครื่องทอผ้ารูปวงกลมขนาดมหึมา มันทำงานได้จริงๆ ด้วย เราจะได้เห็นคนทุกเพศวัยยืนตะลึงราวถูกสะกดอยู่รอบๆ มัน ดูการทำงานอันซับซ้อนแต่ง่ายดาย สิ่งที่พื้นที่นี้สื่อสารคือแรงบันดาลใจของโทโยดะ ซากิจิ “จิตวิญญาณในการค้นคว้าหาความรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ด้วยการลงมือทำ”

 

 

           โทโยดะ ซากิจิได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 10 นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1867 (พ.ศ. 2410) ในครอบครัวช่างไม้ที่หมู่บ้านยามากุจิ (Yamaguchi ปัจจุบันอยู่ในเมืองโคไซ (Kosai) จังหวัดชิสึโอกะ (Shizuoka Perfecture) บนเกาะฮอนชู (Honshu) ประมาณ 100 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนาโกยะ) ปีเกิดของเขา (1867) เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของญี่ปุ่นจากเหตุการณ์ที่โชกุนโตกุงาวะ โยชิโนบุ (Tokugawa Yoshinobu) ได้ยินยอมส่งมอบอำนาจให้แก่ราชสำนักซึ่งนำไปสู่การเริ่มต้นของยุคเมจิในปี ค.ศ.1868

 

แรงบันดาลใจของโทโยดะ ซากิจิ

           ในวัยเด็กโทโยดะ ซากิจิได้รับแรงบันดาลใจเป็นอย่างมากจากหนังสือคู่มือการพึ่งพาตนเอง (Self-Help ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1859) ของแซมิว สไมลส์ (Samuel Smiles ชาวสกอต (1812-1904)) เนื้อหาของหนังสือไม่ใช่แนวฮาว-ทู หรือ พัฒนาตนเองตามสูตรสำเร็จที่เราเห็นมากมายในปัจจุบัน หนังสือที่ใช้ชื่อ Self-Help เป็นเล่มแรกนี้เล่าชีวประวัติของบุคคลที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อยืนยันแนวคิดของผู้เขียนที่ว่าอารยธรรม สิ่งประดิษฐ์ และความเจริญก้าวหน้าทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเกิดจากความเพียรพยายามที่ไม่ย่อท้อของปัจเจกบุคคลหาได้เกิดจากระบบรัฐหรือองค์กรจัดตั้งอันใดไม่ สไมลส์เล่าชีวประวัติบุคคลนับร้อยที่ประดิษฐ์ผลงานให้ไว้แก่โลก ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ กวี นักคิด ศิลปิน ฯลฯ  คนที่แม้ล้มเหลวแต่ไม่เลิกล้มที่จะสร้างสรรค์สิ่งซึ่งพวกเขารู้ดีว่ามันคือสิ่งยอดเยี่ยมที่จะมอบให้ผู้คนได้ใช้ได้ชมได้อ่านได้ฟัง  สไมลส์ชี้ให้เห็นว่าชีวิตพวกเขาไม่ง่ายเลย ต้องเผชิญอุปสรรคและศัตรูต่างๆ นานากว่าจะประสบความสำเร็จหรือกระทั่งผลงานได้รับการยอมรับหลังจากตายไปแล้ว หนังสือนี้แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นโดย ศาสตราจารย์มาซาโนะ นากามุระ (Masanao Nakamura) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) เป็นหนังสือขายดีมากในสมัยเมจิจนมีการตีพิมพ์ไปกว่าล้านเล่ม เนื้อหาตอนหนึ่งของหนังสือซึ่งกล่าวถึงนักประดิษฐ์ที่ออกแบบเครื่องปั่นด้ายและบุกเบิกระบบโรงงานอุตสาหกรรมในยุคแรกได้จุดไฟของความอยากเรียนรู้และประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นในใจของโทโยดะ ซากิจิ  เขาสนใจศึกษาการทำงานของเครื่องทอผ้าเพราะแม่ของเขาซึ่งเป็นเกษตรกรจะทอผ้าในเวลากลางคืนเพื่อหารายได้เสริม เขาจึงอยากจะสร้างเครื่องมือที่ทำให้งานทอผ้านั้นง่ายและรวดเร็วขึ้น  และต่อมาในปีค.ศ.1885 (พ.ศ.2428) ญี่ปุ่นออกกฎหมายสิทธิบัตรซึ่งเป็นกำลังใจให้เขาตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางของนักประดิษฐ์ 

          การเปิดประเทศในปลายสมัยโชกุนทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศจำนวนมากต่อเนื่องมาจนถึงต้นยุคเมจิ ในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแห่งชาติที่จัดขึ้น ณ กรุงโตเกียวในปี ค.ศ. 1890 ซึ่งโทโยดะ ซากิจิ เข้าชมทุกวันอย่างไม่รู้เบื่อ เขาพบว่าเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่นำมาแสดงล้วนเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เขารู้สึกทั้งเศร้าใจและกังวลใจกับอนาคตของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจำเป็นต้องเร่งหามาตรการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า แต่นโยบายของรัฐบาลไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผู้ที่ช่วยเหลือตนเอง (Self-Help) ก็คือประชาชนที่เป็นนักประดิษฐ์เช่นโทโยดะ ซากิจิและคนอื่นอีกหลายคนที่พยายามพัฒนาต่อยอดจากภูมิปัญญาพื้นบ้านและจากเครื่องจักรทอผ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรมทอผ้าของญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันพัฒนาและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่ง ใช้เวลา 50 ปี จากที่ล้าหลังยุโรปเป็นอย่างมากจนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก

 

ประดิษฐกรรมของโทโยดะ ซากิจิ

          โทโยดะ ซากิจิได้จดสิทธิบัตรเครื่องทอผ้าด้วยมือที่ทำจากไม้ (wooden hand loom) เครื่องแรกของเขาในปี ค.ศ.1890  เขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ประดิษฐกรรมชิ้นแรกนี้ ก้าวต่อไปเขาต้องการพัฒนาเครื่องจักรทอผ้าที่ไม่ใช้แรงคน ในปี ค.ศ.1896 เขาจดสิทธิบัตรเครื่องจักรทอผ้าต้นแบบเครื่องแรกของญี่ปุ่นซึ่งเขาได้พัฒนาประสิทธิภาพในการใช้งานจริงสำเร็จในปี ค.ศ.1898 เครื่องจักรทอผ้าผลิตในญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่ยอมรับและใช้อย่างแพร่หลายขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นนับแต่นั้นมา การพัฒนาเครื่องจักรนี้ได้นำเขามายังนาโกยะเพื่อหาผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะ ซึ่งในที่สุดเขาได้ย้ายฐานการผลิตมายังโรงงานที่จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน

          เครื่องทอผ้ารุ่นปี ค.ศ.1898 เป็นเครื่องทอผ้าเครื่องแรกของญี่ปุ่นที่มีคุณสมบัติในการจัดการกับความผิดปกติของเส้นด้ายในขณะเดินเครื่อง โทโยดะ ซากิจิพัฒนาระบบป้องกันและแก้ไขความผิดพลาดนี้ไปเรื่อยๆ จนในปี ค.ศ.1906 เขาได้สร้างเครื่องทอผ้าที่สามารถควบคุมคุณภาพเส้นด้ายทำให้เนื้อผ้าที่ทอมีคุณภาพสูง เขาเรียกมันว่า regular power loom หมายความถึงการให้ผลผลิตคุณภาพสม่ำเสมอไร้ความผิดพลาดหรือผิดปกติ เครื่องยังมีระบบหยุดการทำงานได้เองเมื่อเส้นด้ายขาดหรือหมดทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้คนเฝ้าดูการทำงานอยู่ตลอดเวลา หลักการทำงานนี้เรียกว่า จิโดกะ (Jidoka) ซึ่งยังใช้ในระบบการผลิตของบริษัทโตโยต้ามาจนปัจจุบัน

          ในปี ค.ศ.1906-1920 โทโยดะ ซากิจิได้สร้างและพัฒนาเครื่องทอผ้าแบบวงกลมเนื่องจากเขาเห็นว่าการที่กระสวยวิ่งย้อนกลับไปกลับมาเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน การทอผ้าแบบวงกลมทำให้สามารถทำงานได้ลื่นไหลต่อเนื่องกว่า เครื่องทอผ้าวงกลมที่ตั้งอยู่ ณ โถงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ เป็นเครื่องเดียวที่หลงเหลืออยู่และยังทำงานได้ด้วย

          โทโยดะ ซากิจิมีทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการจดสิทธิบัตร 40 รายการ และผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility Model คือสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นต่อยอดปรับปรุงจากของเดิมไม่มากนัก) 5 รายการ ใน 45 รายการนี้เป็นประดิษฐกรรมเกี่ยวกับการทอผ้า 38 รายการ   ปี ค.ศ.1924 เขาสร้างเครื่องทอผ้าแบบเปลี่ยนกระสวยอัตโนมัติได้สำเร็จเป็นเครื่องแรกของโลก (non-stop shutter change automatic loom (Type G)) ถึงตอนนี้โตโยดะเป็นบริษัทส่งออกเครื่องจักรอุตสาหกรรมไปเรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ.1929 เขาตัดสินใจถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้แก่บริษัทแพลตต์บราเดอร์ (Platt Brothers & Co., Ltd.) ประเทศอังกฤษ เพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ของบุตรชาย นับเป็นมรดกของผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่ง โทโยดะ ซากิจิล้มป่วยและถึงแก่กรรมในปีถัดมา

 

 

การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของโตโยต้า

          การจัดแสดงในครึ่งแรกของพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวของการพัฒนาอุตสาหกรรมการทอผ้าของญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ ด้วยคำบรรยายที่ไม่เยิ่นเย้อ และไม่รบกวนความอเมซิ่งของการโชว์เครื่องมือและเครื่องจักรที่มีมากมาย  อีกสิ่งที่ดีมากๆ และชวนสนุกของพิพิธภัณฑ์คือ “ฐานเรียนรู้” การทำงานของอุปกรณ์ตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นสุดท้าย ทุกจุดมีพนักงานสาธิตให้ดู ชวนจับต้องลองทำ ไม่ว่าผู้ชมจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่แก่หง่อมสักเพียงใด พนักงานจะคอยสบตาผู้ชมอยู่เสมอ ถ้าเห็นคนที่หน้าตาฉงนฉงายแต่ยังเหนียมอาย เขาก็จะ”ขอมือ” อย่างสุภาพ....เชิญมาลองจับต้องดูสักหน่อยว่าใยฝ้ายมันให้ความรู้สึกอย่างไร

 

           

          พิพิธภัณฑ์ในครึ่งหลังจะเป็นส่วนการจัดแสดงเรื่องราวของรถยนต์โตโยต้า เล่าเรื่องตั้งแต่การเดินทางไปดูงานอุตสาหกรรมทอผ้าที่อเมริกาโทโยดะ คิอิจิโระมองเห็นโอกาสของอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่แทนที่จะนำเข้ารถยนต์จากประเทศตะวันตกมาขาย เขาและทีมงานสืบทอดจิตวิญญาณนักประดิษฐ์ของผู้เป็นพ่อโดยพยายามศึกษาค้นคว้าและพัฒนาชิ้นส่วนเครื่องยนต์ด้วยตนเอง เช่นการทดลองส่วนผสมของโลหะเพื่อหล่อขึ้นรูปอะไหล่ที่ต้องการความแข็ง เหนียว ยืดหยุ่น และทนทานต่อสภาวะการใช้งานที่แตกต่างกัน การขึ้นต้นแบบรถยนต์คันแรกด้วยมือในโรงเรือนเล็กๆ ซึ่งพิพิธภัณฑ์จำลองมาให้ดู  กระบวนการเรียนรู้จากพื้นฐานและทำให้ความเข้มแข็งของความรู้ความชำนาญเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในตัวคนสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เกิดเป็นคุณูปการแก่บริษัทโตโยต้าในหลายสิบปีต่อมา เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายการคงอยู่ของบริษัทอีกหลายครั้ง ความรู้ความชำนาญเหล่านี้ช่วยให้ตัดสินใจทั้งในเชิงธุรกิจและเทคโนโลยีได้อย่างชาญฉลาด ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ที่เคยเล็กกว่าฟอร์ดมอเตอร์ (Ford Motor Company) ของอเมริกาถึง 200 เท่า และกำลังจะล้มละลาย กลับมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบัน

 

           

           สำหรับแฟนๆ ของรถยนต์โตโยต้า (และผู้สนใจรถยนต์ทั่วโลก) ที่นี่จัดแสดงเครื่องยนต์ แชสซี ไปจนถึงน็อต รถยนต์โตโยต้าตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นสุดท้าย รถไฟฟ้าอัจฉริยะที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และชวนเราจินตนาการโลกของการขับขี่ยานยนต์ในอนาคต  เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลและโชว์วัตถุจัดแสดงแบบไม่อั้น 

 

            สิ่งที่ผู้เขียนได้จากพิพิธภัณฑ์นี้นอกจากความรู้แล้วก็คือหัวใจนักประดิษฐ์ และผู้เขียนคิดว่าพิพิธภัณฑ์พยายามถ่ายทอดแรงบันดาลใจของโทโยดะ ซากิจิให้แก่เด็กๆ ชาวญี่ปุ่น ว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่เราเข้าใจและเข้าถึงได้ มันคือการพยายามทำสิ่งที่ยากซับซ้อนให้มีประสิทธิภาพ (ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น ประหยัด และคุ้มค่า) แน่ล่ะ...บนเส้นทางความพยายามมันไม่ง่าย ผู้ใหญ่พวกนั้นเขาใช้เวลากันเป็นสิบๆ ปี แต่สิ่งที่ได้มาในท้ายที่สุดคือการได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีของตนเองซึ่งนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอีกมากมาย

 

อ้างอิง

ประวัติโทโยดะ ซากิจิ

https://www.toyota-global.com/company/history_of_toyota/75years/text/taking_on_the_automotive_business/chapter1/section1/item1.html

https://hamamatsu-daisuki.net/lan/en/greatmen/greatmen02.html

e-book Self-Help ของ Samuel Smiles

https://www.gutenberg.org/files/935/935-h/935-h.htm

กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น โดย ประยูร เชี่ยววัฒนา วารสารญี่ปุ่นศึกษา ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (1984)

https://so02.tci-thaijo.org

 

กระต่ายหัวฟู

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ