ภาพ: รูปปั้น “พลินีผู้เยาว์” (Pliny the Younger), ราว ค.ศ. 1457
สถานที่: Como Duomo (มหาวิหารประจำเมืองโคโม), เมืองโคโม อิตาลี
ถ้าเอ่ยถึงแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี คนส่วนใหญ่คงนึกถึงมิลาน เมืองหลวงของแคว้น อู่ศิลปวัฒนธรรมสำคัญของประเทศ และเมื่อพูดถึงมิลาน หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ดูโอโม” โบสถ์ใหญ่หรือมหาวิหารประจำเมือง
ฉันชอบไปเยือนวัด โบสถ์ มัสยิด และสถานที่สำคัญทางศาสนาอื่นๆ เวลาไปเที่ยว เพราะสถานที่เหล่านี้นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชนในอดีตและศูนย์รวมจิตใจ มันยังมักจะเปรียบเสมือน “จารึกประวัติศาสตร์” และ “พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง” ที่บันทึกประวัติศาสตร์ความคิด ความเชื่อ และความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
แคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เมืองโคโมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมิลานเมืองหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่ง ความที่มีทะเลสาบสวยบาดตา อากาศก็เย็นสบายเกือบทั้งปี แต่ในตัวเมืองโคโมเองก็มีที่น่าเที่ยวมากมาย รวมทั้ง โคโม ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองด้วย
ถึงแม้จากภายนอกจะไม่ดูอลังการงานสร้างเหมือนดูโอโมประจำเมืองมิลาน หรือฟลอเรนซ์ มหาวิหารนี้ก็หน้าตาดีและมีเรื่องราวสนุกๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
โคโม ดูโอโม มีประวัติเก่าแก่เกือบพันปี ย้อนไปในปี ค.ศ. 1127 เมืองโคโมแพ้สงครามซึ่งกินเวลานานนับทศวรรษกับเมืองมิลาน (สมัยโน้น “ประเทศอิตาลี” ยังไม่เกิด มีเพียงนครรัฐขนาดย่อมมากมายที่แข่งอิทธิพลซึ่งกันและกัน) ไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นชาวเมืองโคโมก็ได้เฮ เมื่อมิลานถูกทำลายจนย่อยยับด้วยกองทัพของเฟรเดอริค บาร์บาโรซา (Friedrich Barbarossa) จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเยอรมันและโรมัน
นับจากนั้นโคโมกับมิลานก็สงบศึกระหว่างกัน หันมาชิงดีชิงเด่นกันด้านวัฒนธรรมแทน ฉะนั้นเมื่อ มิลาน ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองมิลาน ริเริ่มการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1386 สิบปีนับจากนั้นโคโมก็เริ่มก่อสร้าง โคโม ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองของตัวเองบ้าง โดยสร้างบนซากของโบสถ์โรมันเก่าแก่
โคโม ดูโอโม ไม่ต่างจากมหาวิหารประจำเมืองอื่นอีกนับไม่ถ้วนทั่วโลก (วัดในไทยก็เช่นกัน) ตรงที่ชาวเมืองต่อเติมก่อสร้างไปเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่มีในแต่ละช่วงเวลา ทำให้โบสถ์นี้กว่าจะเรียกได้ว่า “เสร็จสมบูรณ์” ต้องใช้เวลาเกือบสี่ร้อยปี เมื่อหอหลังคาโดม (cupola) ยอดสุดของโบสถ์แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1770
วันนี้ โคโม ดูโอโม ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคแห่งสุดท้ายที่สร้างในอิตาลี แต่สิ่งที่ฉันชอบที่สุดในมหาวิหารนี้ไม่ใช่จิตรกรรม สถาปัตยกรรม หรือแท่นบูชาใดๆ (แม้ว่าทั้งหมดนี้จะสวยงามลงตัว) แต่เป็น “เรื่องราว” เบื้องหลังรูปปั้นขนาบประตูโบสถ์
ใครที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมมหาวิหารแห่งนี้ แน่นอนว่าต้องสังเกตเห็นรูปสลักคนสองคนซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าขนาบสองข้างประตูทางเข้าโบสถ์ วันนี้มีกระจกหนากั้นพิทักษ์ไว้ราวกับไข่ในหิน
หลายคนดูเผินๆ คงคิดว่านี่ต้องเป็นนักบุญในศาสนาคริสต์แน่ๆ เพราะเห็นโบสถ์ไหนๆ ก็มีรูปปั้นรูปสลักนักบุญเต็มไปหมด
คิดแบบนี้หลายคนคงเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ
แต่ในความเป็นจริง คนสองคนที่ได้รับเกียรติให้ต้อนรับขับสู้ชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้าสู่โบสถ์นี้ ไม่เพียงแต่ไม่ใช่นักบุญ แต่ยังไม่เคยนับถือศาสนาคริสต์ แถมยังลงโทษชาวคริสต์!
รูปสลักทางขวามือของประตูชื่อ พลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) นักปรัชญา ผู้บังคับบัญชากองเรือ และนักธรรมชาติวิทยา เขามีชีวิตอยู่ในศตวรรษแรกหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนไม่กี่สิบปี โด่งดังเป็นพลุแตกในฐานะผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Naturalis Historia (ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ซึ่งกลายเป็นแม่แบบของการเขียนสารานุกรมสืบมาจนปัจจุบัน
พลินีผู้อาวุโสว่าดังแล้ว หลายชายที่เขาเลี้ยงมากับมือ ชื่อเดียวกันซึ่งวันนี้ได้สมญาว่า พลินีผู้เยาว์ (Pliny the Younger) ผู้ขนาบข้างประตูอีกด้าน รูปสลักในภาพประกอบบทความนี้ ก็โด่งดังไม่แพ้ลุง
นอกจากพลินีผู้หลานจะไม่เคยเป็นคริสต์แล้ว เขายังมีบทบาทในการลงทัณฑ์ชาวคริสต์อีกด้วย!
พลินีผู้หลานเป็นนักกฎหมาย นักเขียน และผู้พิพากษาในกรุงโรม โด่งดังในฐานะผู้บันทึกเหตุการณ์ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ระเบิดที่เมืองปอมเปอี ในปี ค.ศ. 79
ซึ่งส่งผลให้ลุงของเขาตาย ตัวเขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด
จดหมายจากพลินีผู้เยาว์ถึงจักรพรรดิทราจาน (Trajan) ที่เหลือตกทอดมาถึงเราทำให้ได้รู้ว่า เขาใช้วิธีไต่สวนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสต์สามครั้ง (สมัยนั้นผู้นับถือคริสต์จะถูกนับว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อจักรวรรดิโรมันโดยอัตโนมัติ) ก่อนจะตัดสินประหารชีวิต
เรื่องราวของพลินีทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆ เกิดคำถามว่า ในเมื่อเขาไม่ใช่นักบุญ ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังก่อกรรมทำเข็ญกับชาวคริสต์จำนวนมาก พิพากษาให้ต้องโทษประหาร เพียงเพราะนับถือศาสนาที่ถูกมองว่าเป็น “ศัตรู” ของจักรวรรดิที่เรืองอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
คนแบบนี้ได้รับเกียรติให้เป็นรูปปั้นประดับโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองได้อย่างไร?!?
เหตุผลง่ายๆ คือ ทั้งพลินีผู้อาวุโส และพลินีผู้เยาว์ ต่างเกิดในเมืองโคโม สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองโคโมมากมายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเป็นชาวเมืองโคโม สำคัญรองลงมาคือเป็นชาวลอมบาร์ดี (แคว้นหนึ่งในอดีต ปัจจุบันเป็นเขตการปกครองในอิตาลี เมืองหลวงของเขตคือมิลาน)
สำคัญน้อยที่สุดคือเป็นชาวอิตาลี
ส่วนจะนับถือคริสต์หรือเปล่านั้น ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดสำหรับชาวเมืองโคโม
ถ้าเปรียบเป็นคนไทยคงเข้าทำนอง "ไปด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย"
ส่วนใครจะมาหาว่าไม่ใช่คริสต์ ...ก็ไม่เห็นเป็นอะไร โบสถ์อื่นๆ มีนักบุญหินให้ภาวนาสักการะถมเถไป!
เรื่องนี้จึงนับว่าสะท้อนสำนึก "ท้องถิ่นนิยม" ซึ่งมาก่อนนิยมอื่นๆ หลายโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสำนึกใน "ชาติ" หรือ "ศาสนา" ของชาวอิตาลีได้เป็นอย่างดี
สฤณี อาชวานันทกุล