Museum Core
เมื่อรูปปั้นโบสถ์ประกาศสำนึก “รักท้องถิ่น” ก่อน “ชาติ” และ “ศาสนา”
Museum Core
13 พ.ค. 64 1K
ประเทศอิตาลี

ผู้เขียน : สฤณี อาชวานันทกุล

 

 

 

ภาพ: รูปปั้น “พลินีผู้เยาว์” (Pliny the Younger), ราว ค.ศ. 1457
สถานที่: Como Duomo (มหาวิหารประจำเมืองโคโม), เมืองโคโม อิตาลี

 

ถ้าเอ่ยถึงแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี คนส่วนใหญ่คงนึกถึงมิลาน เมืองหลวงของแคว้น อู่ศิลปวัฒนธรรมสำคัญของประเทศ และเมื่อพูดถึงมิลาน หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ดูโอโม” โบสถ์ใหญ่หรือมหาวิหารประจำเมือง

 

ฉันชอบไปเยือนวัด โบสถ์ มัสยิด และสถานที่สำคัญทางศาสนาอื่นๆ เวลาไปเที่ยว เพราะสถานที่เหล่านี้นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชนในอดีตและศูนย์รวมจิตใจ มันยังมักจะเปรียบเสมือน “จารึกประวัติศาสตร์” และ “พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง” ที่บันทึกประวัติศาสตร์ความคิด ความเชื่อ และความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม

 

แคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เมืองโคโมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมิลานเมืองหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่ง ความที่มีทะเลสาบสวยบาดตา อากาศก็เย็นสบายเกือบทั้งปี แต่ในตัวเมืองโคโมเองก็มีที่น่าเที่ยวมากมาย รวมทั้ง โคโม ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองด้วย

 

ถึงแม้จากภายนอกจะไม่ดูอลังการงานสร้างเหมือนดูโอโมประจำเมืองมิลาน หรือฟลอเรนซ์ มหาวิหารนี้ก็หน้าตาดีและมีเรื่องราวสนุกๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

 

โคโม ดูโอโม มีประวัติเก่าแก่เกือบพันปี ย้อนไปในปี ค.ศ. 1127 เมืองโคโมแพ้สงครามซึ่งกินเวลานานนับทศวรรษกับเมืองมิลาน (สมัยโน้น “ประเทศอิตาลี” ยังไม่เกิด มีเพียงนครรัฐขนาดย่อมมากมายที่แข่งอิทธิพลซึ่งกันและกัน) ไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นชาวเมืองโคโมก็ได้เฮ เมื่อมิลานถูกทำลายจนย่อยยับด้วยกองทัพของเฟรเดอริค บาร์บาโรซา (Friedrich Barbarossa) จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเยอรมันและโรมัน

 

 

นับจากนั้นโคโมกับมิลานก็สงบศึกระหว่างกัน หันมาชิงดีชิงเด่นกันด้านวัฒนธรรมแทน ฉะนั้นเมื่อ มิลาน ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองมิลาน ริเริ่มการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1386 สิบปีนับจากนั้นโคโมก็เริ่มก่อสร้าง โคโม ดูโอโม มหาวิหารประจำเมืองของตัวเองบ้าง โดยสร้างบนซากของโบสถ์โรมันเก่าแก่

 

โคโม ดูโอโม ไม่ต่างจากมหาวิหารประจำเมืองอื่นอีกนับไม่ถ้วนทั่วโลก (วัดในไทยก็เช่นกัน) ตรงที่ชาวเมืองต่อเติมก่อสร้างไปเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่มีในแต่ละช่วงเวลา ทำให้โบสถ์นี้กว่าจะเรียกได้ว่า “เสร็จสมบูรณ์” ต้องใช้เวลาเกือบสี่ร้อยปี เมื่อหอหลังคาโดม (cupola) ยอดสุดของโบสถ์แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1770

 

วันนี้ โคโม ดูโอโม ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคแห่งสุดท้ายที่สร้างในอิตาลี แต่สิ่งที่ฉันชอบที่สุดในมหาวิหารนี้ไม่ใช่จิตรกรรม สถาปัตยกรรม หรือแท่นบูชาใดๆ (แม้ว่าทั้งหมดนี้จะสวยงามลงตัว) แต่เป็น “เรื่องราว” เบื้องหลังรูปปั้นขนาบประตูโบสถ์

 

ใครที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมมหาวิหารแห่งนี้ แน่นอนว่าต้องสังเกตเห็นรูปสลักคนสองคนซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าขนาบสองข้างประตูทางเข้าโบสถ์ วันนี้มีกระจกหนากั้นพิทักษ์ไว้ราวกับไข่ในหิน

 

หลายคนดูเผินๆ คงคิดว่านี่ต้องเป็นนักบุญในศาสนาคริสต์แน่ๆ เพราะเห็นโบสถ์ไหนๆ ก็มีรูปปั้นรูปสลักนักบุญเต็มไปหมด

 

คิดแบบนี้หลายคนคงเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ

 

แต่ในความเป็นจริง คนสองคนที่ได้รับเกียรติให้ต้อนรับขับสู้ชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้าสู่โบสถ์นี้ ไม่เพียงแต่ไม่ใช่นักบุญ แต่ยังไม่เคยนับถือศาสนาคริสต์ แถมยังลงโทษชาวคริสต์!

 

รูปสลักทางขวามือของประตูชื่อ พลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) นักปรัชญา ผู้บังคับบัญชากองเรือ และนักธรรมชาติวิทยา เขามีชีวิตอยู่ในศตวรรษแรกหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนไม่กี่สิบปี โด่งดังเป็นพลุแตกในฐานะผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Naturalis Historia (ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ซึ่งกลายเป็นแม่แบบของการเขียนสารานุกรมสืบมาจนปัจจุบัน

 

พลินีผู้อาวุโสว่าดังแล้ว หลายชายที่เขาเลี้ยงมากับมือ ชื่อเดียวกันซึ่งวันนี้ได้สมญาว่า พลินีผู้เยาว์ (Pliny the Younger) ผู้ขนาบข้างประตูอีกด้าน รูปสลักในภาพประกอบบทความนี้ ก็โด่งดังไม่แพ้ลุง

 

นอกจากพลินีผู้หลานจะไม่เคยเป็นคริสต์แล้ว เขายังมีบทบาทในการลงทัณฑ์ชาวคริสต์อีกด้วย!

 

พลินีผู้หลานเป็นนักกฎหมาย นักเขียน และผู้พิพากษาในกรุงโรม โด่งดังในฐานะผู้บันทึกเหตุการณ์ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ระเบิดที่เมืองปอมเปอี ในปี ค.ศ. 79

 

ซึ่งส่งผลให้ลุงของเขาตาย ตัวเขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด

 

จดหมายจากพลินีผู้เยาว์ถึงจักรพรรดิทราจาน (Trajan) ที่เหลือตกทอดมาถึงเราทำให้ได้รู้ว่า เขาใช้วิธีไต่สวนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสต์สามครั้ง (สมัยนั้นผู้นับถือคริสต์จะถูกนับว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อจักรวรรดิโรมันโดยอัตโนมัติ) ก่อนจะตัดสินประหารชีวิต

 

เรื่องราวของพลินีทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆ เกิดคำถามว่า ในเมื่อเขาไม่ใช่นักบุญ ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังก่อกรรมทำเข็ญกับชาวคริสต์จำนวนมาก พิพากษาให้ต้องโทษประหาร เพียงเพราะนับถือศาสนาที่ถูกมองว่าเป็น “ศัตรู” ของจักรวรรดิที่เรืองอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก

 

คนแบบนี้ได้รับเกียรติให้เป็นรูปปั้นประดับโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองได้อย่างไร?!?

 

เหตุผลง่ายๆ คือ ทั้งพลินีผู้อาวุโส และพลินีผู้เยาว์ ต่างเกิดในเมืองโคโม สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองโคโมมากมายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเป็นชาวเมืองโคโม สำคัญรองลงมาคือเป็นชาวลอมบาร์ดี (แคว้นหนึ่งในอดีต ปัจจุบันเป็นเขตการปกครองในอิตาลี เมืองหลวงของเขตคือมิลาน)

 

สำคัญน้อยที่สุดคือเป็นชาวอิตาลี

 

ส่วนจะนับถือคริสต์หรือเปล่านั้น ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดสำหรับชาวเมืองโคโม

 

ถ้าเปรียบเป็นคนไทยคงเข้าทำนอง "ไปด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย"

 

ส่วนใครจะมาหาว่าไม่ใช่คริสต์ ...ก็ไม่เห็นเป็นอะไร โบสถ์อื่นๆ มีนักบุญหินให้ภาวนาสักการะถมเถไป!

 

เรื่องนี้จึงนับว่าสะท้อนสำนึก "ท้องถิ่นนิยม" ซึ่งมาก่อนนิยมอื่นๆ หลายโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสำนึกใน "ชาติ" หรือ "ศาสนา" ของชาวอิตาลีได้เป็นอย่างดี

 

สฤณี  อาชวานันทกุล

 

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ