Museum Core
พิพิธภัณฑ์มรดกทางอุตสาหกรรม ตอนที่ 2 บ้านเอดิสัน
Museum Core
07 ก.ค. 64 1K
ประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้เขียน : รังสิมา กุลพัฒน์

          พิพิธภัณฑ์บ้านพักเกลนมอนต์ (Glenmont) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพิพิธภัณฑ์อุทยานประวัติศาสตร์โธมัส เอดิสัน (Thomas Edison Historical Park) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทโธมัส เอ เอดิสัน (Thomas A. Edison) และกรมอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2468 (ค.ศ.1955) มีพื้นที่ 21.25 เอเคอร์ โดยแบ่งเป็นส่วนห้องทดลองและโรงงาน บ้านพักของเอดิสันและครอบครัว และของสะสมกว่าหกหมื่นชิ้น ซึ่งส่วนของบ้านพักนี้แยกตัวออกจากพิพิธภัณฑ์ที่เป็นโรงงานอย่างสิ้นเชิง จึงต้องเดินทางไปที่หมู่บ้านจัดสรร แต่ไม่ห่างไกลจากกันเท่าไหร่นัก

 

         โธมัส อัลวา เอดิสัน ซื้อบ้านพักหลังใหญ่ต่อจากนักธุรกิจเฮนรี เพดเดอร์ (Henry Pedder) คฤหาสน์แบบอเมริกันทรงควีนแอนน์ วิกตอเรียน หลังนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ชื่อ ลูเวลลินพาร์ค (Llewellyn Park) ซึ่งปัจจุบันได้รับการจัดสรรเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์  โดยนายลูเวลลิน แฮสเคล (Llewellyn Haskell) นักธุรกิจที่ดินสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) ได้ว่าจ้างเหล่าสถาปนิก นักผังเมืองหลายคน ในที่นี่ได้รวมนายเฟรเดอริก ลอว์ ออล์มสเตด (Frederick Law Olmsted) ภูมิสถาปนิกที่ออกแบบสวนเซ็นทรัลพาร์ค ด้วยประสงค์ที่จะรองรับนักธุรกิจจากมหานครนิวยอร์คและนิวเจอร์ซีย์ที่ต้องการพักอาศัยในบ้านพักที่ออกแบบเสมือนอยู่ในชนบท เดินทางไปทำงานโดยรถไฟที่วิ่งไปถึงแม่น้ำฮัดสันแล้วต่อเรือเฟอร์รี่ข้ามไปทำงานที่นิวยอร์ค แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีนักธุรกิจที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้ข้ามไปทำงานที่นิวยอร์ค

 

          คฤหาสน์เกลนมอนต์เป็นบ้านแปลงใหญ่ที่สุดในลูเวลลินพาร์ค เอดิสันซื้อคฤหาสน์หลังนี้เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานให้กับภรรยา มีน่า มิลเลอร์ (Mina Miller) ในปีพ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) ในขณะนั้นเขาอายุ 39 ปีส่วนมีน่าอายุ 19 ปี เจ้าของเดิมจ่ายค่าบ้าน ที่ดินและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งไป 250,000 เหรียญ แต่เมื่อบ้านถูกขายทอดตลาดราคากลับตกลงเหลือเพียง 125,0000 เหรียญ ทำให้เอดิสันได้ครอบครองคฤหาสน์ที่มีขนาด 29 ห้อง พร้อมตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบริเวณพื้นที่บ้าน มีโรงนา คอกสัตว์ โรงเพาะชำ รวมที่ดินทั้งหมด 13.5 เอเคอร์ เอดิสันอาศัยอยู่ที่บ้านเกลนมอนต์จนวาระสุดท้ายของชีวิตเป็นเวลา 45 ปี

 

ภาพที่ 1 คฤหาสน์เกลนมอนต์ บ้านพักของโธมัส อัลวา เอดิสันและครอบครัว

 

          เอดิสันและมีน่า มีบุตรธิดาด้วยกัน 3 คน คือ แมดเดอลีน (Madeline) ชาร์ลส์ (Charles) และ ธีโอดอร์ (Theodore) รวมกับลูกติดจากแมรี่ภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตไปไว้อีก 3 คือ มารีออน (Marione) โธมัส จูเนียร์ (Thomas Jr)  และวิลเลี่ยม (William) คฤหาสน์เกลนมอนต์ที่มีห้องมากมายจึงพอเพียงแก่ครอบครัวใหญ่อย่างเอดิสัน และบ้านแห่งนี้ยังได้ต้อนรับแขกอาคันตุกะทั้งจากในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากเอดิสันจะเป็นนักประดิษฐ์แล้วเขายังเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาต้อนรับแขกต่างๆ เหล่านี้ด้วยความเต็มใจ

 

          อาคันตุกะของคฤหาสน์เกลนมอนต์ มีทั้งประธานาธิบดี เช่น วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ประธานาธิบดีคนที่ 28 และเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์  (Herbert Hoover) ประธานาธิบดีคนที่ 31 ของสหรัฐฯ กษัตริย์แห่งสวีเดน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (มัคคุเทศก์ที่นำชมคฤหาสน์มักจะกล่าวพาดพิงถึง King of Siam ผ่านนิยายเรื่องThe King and I โดยแต่บอกว่าองค์นี้เป็นหลาน และเสด็จฯ มาพบเอดิสันแบบกะทันหัน แต่มีน่าได้ต้อนรับอาคันตุกะพิเศษนี้ด้วยความเต็มใจ โดยจัดเลี้ยงน้ำชาตอนบ่ายให้และส่งคนไปเรียกเอดิสันให้กลับบ้านเร็วขึ้น - เชิงอรรถที่ 1) ตลอดจนนักธุรกิจใหญ่ เช่น เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford)  จอร์จ อีสแมน (George Eastman) เจ้าของบริษัทฟิล์มโกดัก และฮาวี่ ไฟร์สโตน (Harvey Firestone) เจ้าของบริษัทยางไฟร์สโตน และคนที่มีชื่อเสียงด้านอื่นๆ อาทิ มาเรีย มอนเตสซอรี (Maria Montessori) นักการศึกษาผู้คิดค้นระบบการเรียนแบบมอนเตสซอรี

 

          เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ บรรยากาศเสมือนว่าอยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีป้ายบอกทางไปที่บ้านเกลนมอนต์ของเอดิสัน ที่จอดรถอยู่ห่างจากตัวบ้านพอสมควร ใกล้กับเรือนเพาะชำซึ่งเป็นร้ายขายของที่ระลึกขนาดเล็ก ปัจจุบันที่เรือนเพราะชำปลูกต้นไม้ที่มีน่าเคยปลูกในบริเวณบ้านให้นักท่องเที่ยวมาชม นักท่องเที่ยวต้องเดินข้ามถนนเล็กๆ ไปที่ตัวบ้านขนาดใหญ่สีปูนแดงทั้งหลัง มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ล้อมรอบ ด้านหลังเป็นที่ฝังศพของโธมัส เอดิสันและภรรยา มีน่า ข้างในบ้านมีห้องต่างๆมากมาย ทว่า เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน การเข้าชมบ้านจะมีไกด์ทัวร์นำชมเป็นรอบๆ ถ้ายังไม่ถึงรอบต้องรออยู่ข้างนอก

 

          ในบ้านแบ่งเป็น 3 โซน โดยโซนแรกคือชั้นหนึ่งเป็นห้องสำหรับคนทั่วไปเข้ามาพบปะสังสรรค์ โซนที่2 คือชั้นสองเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น โซนที่ 3 เป็นพื้นที่ของคนรับใช้ซึ่งรวมถึงสถานที่ทำงานและห้องนอนของพ่อบ้านแม่บ้านเหล่านี้ด้วย (เชิงอรรถที่ 2)

 

          ภายในบริเวณชั้นหนึ่งมีการตกแต่งอย่างหรูหราน่าประทับใจ และเก็บรักษาห้องไว้ในสภาพเดิมเหมือนสมัยที่เอดิสันเข้ามาเจอบ้านนี้เป็นครั้งแรก เขาเคยบรรยายว่า “ตอนเข้ามาในบ้านผมรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ คิดว่าจะมีทางซื้อบ้านแบบนี้ได้ไหม ผมก็หาทางให้ได้มาตั้งแต่นั้น ถึงแม้ว่าจะดีเกินสำหรับผมแต่สำหรับภรรยาแล้วก็น่าจะพอดีทีเดียว” ชั้นหนึ่งของบ้านนี้ถูกตกแต่งด้วยไม้มะฮอกกานีและโอ๊คแกะสลัก มีกระจกสีประดับหน้าต่าง (Stain Glass window) ทำให้บ้านดูอลังการมาก มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามความพอใจของมีน่าภรรยาของเขา

 

          ห้องสมุดที่อยู่ด้านขวาของตัวบ้านเป็นห้องที่เอดิสันใช้งานมากที่สุดห้องหนึ่งยังคงรักษาการตกแต่งแบบเดิมเอาไว้ ส่วนเพดานเพ้นท์สเตนซิลรูปดอกไม้ ชั้นวางหนังสือ โต๊ะและเก้าอี้แบบมีที่วางแขน

          ห้องรับแขกตั้งอยู่ด้านซ้ายของทางเข้าบ้านเป็นห้องที่มีน่าเสริฟน้ำชาตอนบ่ายให้แขก และอาจมีเด็กๆ วิ่งมาเล่นออร์แกนให้แขกฟังบ้าง

           ห้องวาดภาพ (Drawing) เป็นห้องที่เชื่อมต่อกับห้องรับแขกเป็น มีภาพวาดแมดเดอลีน ลูกสาวคนโตของเอดิสัน และมีน่าแขวนประดับอยู่ ซึ่งแมดเดอลีนได้แต่งงานในห้องนี้ในปีพ.ศ. 2457 (ค.ศ1914) ห้องนี้มีน่ามักใช้เวลาอยู่กับแขกด้วยความเพลิดเพลินก่อนที่จะเคลื่อนพาทุกคนไปยังห้องรับประทานอาหาร โดยห้องวาดภาพนี้ถูกใช้เป็นห้องรับแขกมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ประธานาธิบดี กษัตริย์ประเทศต่างๆ กลุ่มสมาคมสตรี

           ห้องอาหาร เป็นอีกห้องที่ใช้งานบ่อยที่สุดห้องหนึ่ง เพราะสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดรับประทานอาหารที่นี่ เอดิสัน ทานอาหารเช้า อ่านหนังสือ สูบซิการ์ และออกไปห้องแล็บที่โรงงาน เวลา 7.30 ถึงแม้ต่อมาเอดิสันกับภรรยาจะเปลี่ยนรับประทานอาหารเช้ากันที่ห้องนอนแทน แต่มื้อกลางวันและเย็นก็ยังคงใช้ห้องอาหารนี้ทุกวัน และในบางครั้งห้องนี้ก็ยังเป็นที่รับรองแขกที่มาปาร์ตี้ โดยสามารถขยายโต๊ะเพื่อรองรับคนได้มากถึง 30 คน แขกคนสำคัญที่มาเยือน และสมาชิกในครอบครัวของมีน่า ซึ่งมีพี่น้องถึง 11 คนที่มักมาเยี่ยมเธอเป็นประจำ หลังจากทานข้าวแล้ว เจ้าบ้านมักจะพาแขกย้ายมาที่ห้องสันทนาการ ตกแต่งด้วยของที่ระลึกต่างๆ ทั้งที่จากซื้อหามาเองและมีคนมอบให้ ในช่วงวันหยุดห้องนี้เป็นห้องที่ครอบครัวมานั่งรวมกัน และจัดวางต้นคริสต์มาสไว้ที่นี่

 

 

          โซนที่สองเป็นที่ตั้งห้องนอนของเอดิสัน เขาเสียชีวิตในห้องนี้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปีพ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) และมีน่าก็อยู่ในบ้านหลังนี้จนเสียชีวิตเช่นกันในปีพ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ชั้นสองประกอบด้วยห้องรับแขกอยู่ด้านเหนือ แต่เดิมเป็นห้องอนุบาลของลูกๆ เมื่อยังเล็ก และห้องนอนอื่นๆ เป็นห้องนอนของลูกๆ ทั้ง 6 คนของเอดิสัน รวมทั้งห้องรับแขกหลากหลายห้อง สำหรับห้องที่สำคัญที่สุดในครอบครัวเอดิสันจะเป็นห้องนั่งเล่นที่ใช้สำหรับพักผ่อนทุกวัน ในห้องนี้มีโต๊ะทำงานของเอดิสันที่เขาใช้ทำงานตลอดคืน ส่วนมีน่าจะใช้โต๊ะทำงานที่อยู่ด้านขวาเพื่อทำงานการกุศล เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมีกิจกรรมร่วมกัน ทั้งการเล่นบอร์ดเกมส์ ออกแบบงานชิ้นใหม่ๆ ของคุณพ่อ และปรึกษากัน

 

          โซนที่สาม คือส่วนของผู้ดูแลบ้านที่ทำให้คฤหาสน์แห่งนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสามารถดูแลแขกได้ทั่วถึง โดยบางส่วนอาศัยอยู่ที่ชั้น 3 ของบ้านและบางส่วนออกไปอาศัยในเมือง ส่วนคนดูแลสวนอาศัยอยู่ที่โรงเพาะชำและคนขับรถอยู่ที่โรงรถที่แยกออกไปจากตัวบ้าน ภายในตัวบ้านมีบันไดที่ได้รับการออกแบบไว้สำหรับคนงานต่างๆ ที่สามารถขึ้นลงไปยังที่ต่างๆ ได้โดยที่แขกผู้มาเยือนมองไม่เห็นพวกเขา คนงานดูแลบ้านมีห้องทานข้าวของตนเอง ขนาดไม่ใหญ่นัก ที่ห้องนี้เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของทุกคนด้วย มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเปียโน ส่วนห้องซักล้างนั้นแยกไปต่างหากจะคลาคล่ำไปด้วยเสื้อผ้าที่ตากในร่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ฝนตก ส่วนห้องครัวตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ในส่วนคนงานเพื่อเตรียมอาหารให้สำหรับทุกคนในบ้าน ซึ่งมีห้องแยกเก็บอุปกรณ์ครัวและจานชามด้วย

 

          โรงนา แยกตัวไกลออกไปจากบ้านซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ในสมัยนั้นมีการเลี้ยงไก่ หมู และวัวเพื่อรีดนม โรงรถสองชั้นสีครีมนับเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น สร้างด้วยคอนกรีตจากบริษัทเอดิสัน พอร์ตแลนด์ ซีเมนต์ เป็นที่เก็บรถของบ้านซึ่งยังจัดแสดงรถที่เอดิสันใช้ไปทำงานเป็นประจำคือรถฟอร์ดรุ่น โมเดลที ปีพ.ศ. 2465 (ค.ศ.1922) (Model T) รถที่มีน่าใช้เป็นประจำคือดีทรอยต์ อีเล็กทริก (Detroit Electric) รุ่นปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ.1914) ที่มีเครื่องชาร์จไฟฟ้าในบ้าน และที่โรงรถยังมีปั๊มน้ำมันส่วนตัวอีกด้วย ส่วนโรงเพาะชำได้จัดแสดงต้นไม้ที่มีน่าโปรดปรานเป็นพิเศษ เช่น ปาล์ม อากาเว่ กุหลาบและกล้วยไม้ บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต่างๆ อย่างงานแต่งงาน งานมอบรางวัล หรือเด็กๆ ใช้เป็นที่ปิกนิกเล่นเกมส์ สนามหลังบ้านยังเป็นที่ฝังร่างของเอดิสันและมีน่า ทั้งคู่ยังคงอยู่คู่กับบ้านนี้ไปตลอดกาล

 

ภาพที่ 2 บริเวณโรงรถที่สร้างจากคอนกรีตของบริษัทเอดิสัน พอร์ตแลนด์ ซีเมนต์

 

 

ภาพที่ 3 บริเวณหลุมศพของโธมัส อัลวา เอดิสัน และมีน่า ภรรยา

 

          เกลนมอนต์เป็นคฤหาสน์ที่บันทึกความเป็นอยู่ของคนนิวยอร์คไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มีศิลปวัตถุที่เอดิสันเก็บสะสมไว้กว่าสี่หมื่นชิ้น และเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของศิลปินกลุ่มสำนักแม่น้ำฮัดสัน นาฬิกา เครื่องกระเบื้องฝรั่งเศส พรมเปอร์เซีย ของประดับจากร้านทิฟฟานี่ ของสะสมจากเมืองจีน หนังสือหายาก นอกจากนั้นยังเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำของครอบครัว (ภาพถ่าย รางวัล ตัวอย่างภาพร่างงานประดิษฐ์ของเอดิสัน) สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่านั้นคือการที่ผู้รับมรดกได้แบ่งปันชีวิตส่วนตัวของครอบครัวนักประดิษฐ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้และเรียนรู้ (เชิงอรรถ 3) การเดินชมบ้านเอดิสัน ไม่เป็นเพียงชื่นชมต่อความร่ำรวยของเอดิสันเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้ชีวิตของนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงของโลก ได้เห็นการดำเนินชีวิตของครอบครัวที่มีกิจกรรมหลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้งานประสบความสำเร็จ การรักษาระเบียบให้บ้านยังคงอยู่และการปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีวินัยไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนจะทำได้ อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับโลกคนหนึ่ง และน่าขอบคุณลูกหลานของเอดิสันที่ยังเก็บสิ่งของและบ้านไว้ให้สาธารณะชนได้เรียนรู้ ชื่นชม ได้เป็นอย่างดี

 

เชิงอรรถ

1.ประมาณหนึ่งปีก่อนที่จะมีการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ประพาสสหรัฐอเมริกาเพื่อผ่าตัดต้อกระจกที่พระเนตรซ้าย ซึ่งขณะนั้นไม่สามารถผ่าตัดที่ประเทศสยามได้ และมีความจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นนาน โดยประทับอยู่ในสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 19 เมษายน- 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 นับเป็นเวลา 3 เดือน 10 วัน ในการเยือนสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงมีเวลาที่จะเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ เป็นการส่วนพระองค์ ได้ไปทอดพระเนตรโรงงานของโธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas A. Edison Industry) รวมทั้งเสด็จฯ เยี่ยมนายเอดิสันนักประดิษฐ์ผู้ชราที่บ้านพัก ทรงเยี่ยมชมกิจการของหนังสือพิมพ์ วิทยุ และห้องทดลองเรื่องการไฟฟ้า โรงถ่ายภาพยนตร์ มีคนวิเคราะห์ว่า ด้วยความบังเอิญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชสมภพปีเดียวกับที่เอดิสันประดิษฐ์เครื่องฉายภาพยนตร์ที่เรียกว่า Kinetoscope และทำออกขายทั่วโลก ทำให้พระองค์ทรงมีความรู้สึกผูกพันกับภาพยนตร์เป็นพิเศษ https://www.bic.moe.go.th/images/stories/UNESCO/Great_Personalities/1._His_Majesty_King_Prajadhipok_King_Rama_7_for_press.pdf

 

2. ชมสารคดีนำชมคฤหาสน์เกลนมอนท์ มีภาพภายในคฤหาสน์โดยละเอียด

 

 

 

 

3.อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของคฤหาสน์เกลนมอนท์ จัดทำโดยมูลนิธิ Edison Innovation https://www.thomasedison.org/edison-s-home-glenmont

 

รังสิมา  กุลพัฒน์

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ