ที่พักอาศัยของคนในแต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกันไป บ้านเรือนต่างท้องถิ่นก็ต่างรูปแบบ ยกตัวอย่างเรือนไทยบ้านเรามีใต้ถุนสูงไว้รับน้ำในฤดูน้ำหลาก มี “ช่องแมวลอด” ยาวตลอดตัวเรือนเพื่อให้ลมผ่านขึ้นมาบนเรือน เหมาะกับอากาศเมืองร้อน ตรงข้ามกับ “อิกลู (Igloo)” ที่พักของชาวเอสกิโมในแถบขั้วโลกเหนือที่สร้างจากก้อนน้ำแข็งเรียงซ้อนกันเป็นรูปโดมแน่นหนาเพื่อป้องกันลมหนาวพัดเข้ามา ดังนั้นหากมีโอกาสเดินทางไปต่างถิ่นแล้วสังเกตบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่นั้น เราน่าจะพอมองเห็นวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น และได้ซึมซับเสน่ห์ของที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปด้วย
หากใครติดใจประเทศญี่ปุ่นและมีโอกาสไปเยือนกรุงโตเกียว ลองหาโอกาสสัมผัสวิถีแบบญี่ปุ่นให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิดด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านพื้นเมืองโบราณอายุร้อยกว่าปี ที่นี่เราจะได้สัมผัสบ้านจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วญี่ปุ่นแบบไม่ต้องจองตั๋วรถไฟชินคันเซ็นไปไหนไกล เพียงซื้อตั๋วรถไฟไม่ถึงสามร้อยเยนจากใจกลางโตเกียวก็ได้สูดกลิ่นอายหมู่บ้านญี่ปุ่นท่ามกลางแมกไม้
สีเขียวแล้ว
พิพิธภัณฑ์บ้านญี่ปุ่นกลางแจ้ง (Japan Open-Air Folk House Museum หรือ Nihon Minka-en Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ตั้งอยู่ที่เนินเขาทามะ จังหวัดคานากาวะ (Kanagawa) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อาคารด้านหน้าพิพิธภัณฑ์จัดเป็นห้องนิทรรศการ 2 ห้อง ที่จะพาเราไปรู้จักบ้านเรือนโบราณของญี่ปุ่นก่อนที่จะได้เข้าไปสัมผัสของจริง มีทั้งแบบจำลองบ้าน การให้ความรู้ผ่านสื่อมัลติมีเดียเกี่ยวกับโครงสร้างของบ้าน วิธีการสร้างบ้าน และแบบบ้านในแต่ละภูมิภาคที่สอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเฉพาะถิ่น น่าสนใจว่าในอดีตการสร้างบ้านของชาวญี่ปุ่นต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน ทั้งช่างและชาวบ้านร่วมมือกันสร้างบ้านให้สำเร็จ แต่ละคนต่างนำวัสดุอุปกรณ์มาลงแรงช่วยกัน จนมีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกการสร้างบ้านว่า ‘Fushin’ ซึ่งมีที่มาจากคำศัพท์ทางพุทธศาสนาหมายถึงการทำเพื่อการกุศล และอีกความหมายหนึ่งคือการที่นักบวชนิกายเซนมาร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ
ได้ชมบ้านตัวอย่างในนิทรรศการไปแล้ว ต่อไปก็ขอรบกวนเข้าไปเยี่ยมชมบ้านสักหน่อย
Ojamashimasu! (ประโยคภาษาญี่ปุ่น ใช้พูดเมื่อจะเข้าไปในบ้านของผู้อื่น)
ภาพที่ 1 บ้านหลังนี้ชื่อบ้านยามาชิตะ เป็นบ้านแบบกัสโชสุคุริ (Gasshozukuri)
สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 ที่จังหวัดกิฟุ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดคานากาวะ
ด้วยรูปแบบพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง การชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเหมือนเดินเล่นในสวนกว้างๆ ที่นี่แบ่งพื้นที่จัดแสดงเป็น 5 ส่วนตามภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น เช่น บ้านในแถบคันโต คานากาวะ โทโฮขุ มีบ้านโบราณและสิ่งปลูกสร้างจำนวน 25 หลัง ซึ่งเดิมเป็นของพ่อค้าและเกษตรกร สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-19 และได้ย้ายมาประกอบใหม่ขึ้นที่นี่ ทุกหลังมีสถานะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญของญี่ปุ่นและของจังหวัด การเดินดูบ้านหลังนั้นหลังนี้ท่ามกลางสายลมเย็นๆ และต้นไม้ใบหญ้าเขียวครึ้มสองข้างทางทำให้เดินได้เพลินๆ ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ความเย็นจากต้นไม้ที่โอบล้อม รวมทั้งเสียงแมลงที่ร้องแข่งกันในป่าก็ทำให้เราลืมปัจจุบันไปชั่วขณะ คล้ายกับว่าสองเท้ากำลังพาเราก้าวย่างกลับไปในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีก่อนของแดนอาทิตย์อุทัย
หมู่บ้านเกษตรกรรมที่ตั้งอยู่ในที่ราบของญี่ปุ่นมี 2 ลักษณะ คือ ตั้งกระจายกัน (Sanson) และตั้งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม (Shuson) หมู่บ้านที่ตั้งบ้านเรือนกระจายกันจะอยู่ใกล้แนวป่ากันลมเพื่อป้องกันกระแสลมแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อบ้าน เช่นในแถบที่ราบคันโต (Kantō) หรือโฮกุริกุ (Hokuriku) ซึ่งมีกระแสลมแรงตามฤดูกาล และแนวป่าดังกล่าวยังใช้เพื่อระบุแนวเขตที่ชัดเจนด้วย ในขณะที่หมู่บ้านซึ่งตั้งบ้านเรือนรวมกลุ่มกันมักอยู่ใกล้กับกำแพงดิน รั้ว กอไผ่ หรือไม่ก็มีการขุดร่องดิน ก่อสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อป้องกันผู้บุกรุกหรือภัยธรรมชาติ
ภาพที่ 2 บ้านเอมูคาอิสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18 หลังคามุงด้วยจาก
มีลักษณะลาดเอียงเพื่อป้องกันน้ำหนักของหิมะ
หากมองผ่านๆ คล้ายกับว่าบ้านทุกหลังหน้าตาเหมือนกันไปหมด คือมีโครงสร้างหลักทำด้วยไม้ มีสีโทนน้ำตาลเข้มขรึม บางหลังก่อผนังด้วยดินเหนียวทำให้เห็นร่องรอยดินที่แตกร้าวชัดเจน แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ หลังคาบ้านแต่ละหลังมีลักษณะเด่น
แตกต่างกันอยู่ วัสดุที่ใช้มุงหลังคามีทั้งกระเบื้อง กิ่งไม้มัดรวมกัน และแผ่นไม้ เราอาจคุ้นเคยกับภาพหมู่บ้านมรดกโลกที่ชิราคาวาโกะซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ท่ามกลางหุบเขา บ้านลักษณะนี้เรียกว่า กัสโชสุคุริ (Gassho-zukuri) ซึ่งมีจัดแสดงที่นี่เช่นกัน มีจุดเด่นอยู่ที่หลังคาบ้านมีลักษณะลาดเอียงทำมุม 60 องศา เพื่อบรรเทาน้ำหนักของหิมะที่โถมทับลงมาในฤดูหนาว ในขณะที่บ้าน
มิซาว่า (Misawa House) จากจังหวัดนากาโน มีปริมาณหิมะไม่มากถึงขนาดที่ต้องกวาดหิมะจากหลังคา จึงมุงด้วยแผ่นไม้และวางหินทับไว้ แต่หินที่วางทับต้องเลือกหินที่ไม่กลมเกลี้ยงเพื่อไม่ให้กลิ้งได้ง่าย ส่วนแผ่นไม้ที่มุงหลังคาพอผ่านไปหลายปีแล้วสามารถกลับด้านแล้วใช้ต่อได้อีก เป็นการออกแบบให้สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศอย่างชาญฉลาด
ภาพที่ 3 บ้านมิซาว่าเดิมเป็นร้านขายยาและที่พักนักเดินทางที่จังหวัดนากาโน
มีจุดเด่นอยู่ตรงหลังคาซึ่งนำก้อนหินวางทับแผ่นไม้
ภาพที่ 4 วัสดุที่ใช้ทำหลังคาบ้านมิซาว่าเป็นก้อนหินวางทับแผ่นไม้
หน้าต่างเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งของบ้านที่น่าสนใจ ถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นว่า บ้านอิโตะ (Ito House) สร้างหน้าต่างไม้ระแนงอยู่ตรงกลางหน้าบ้านเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย ส่วนบ้านซูกาวาระ (Sugawara House) มีหน้าต่างอยู่ติดกับหลังคาด้านหน้าเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกในยามที่หิมะท่วมสูง นอกจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและการอยู่รอดแล้ว หน้าต่างยังแสดงถึงเอกลักษณ์ที่พบได้เฉพาะยุคสมัยอีกด้วย อย่างบ้านซูซูกิ (Suzuki House) ซึ่งเป็นที่พักแรมของพ่อค้าม้า จะมีชายคาไม้ลึกลงมา มีม่านกันแดดไม้ และหน้าต่างตาข่าย ซึ่งเป็นลักษณะที่มักพบในสมัยเอโดะ
ภาพที่ 5 บ้านซูกาวาระมีหน้าต่างด้านบนใช้เป็นทางเข้าออกยามหิมะท่วมสูง
พิพิธภัณฑ์บ้านโบราณแห่งนี้ผู้เข้าชมสามารถถอดรองเท้าแล้วเดินเข้านอกออกในตัวบ้านได้ แต่ต้องสังเกตด้วยว่าบริเวณใดที่ไม่อนุญาต บ้านหลังไหนที่มีบันไดปีนขึ้นชั้นสองได้ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ไม่น้อย สังเกตได้ว่าพื้นบ้านแต่ละหลังมีระดับสูงต่ำแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์เฉพาะ ถึงแม้ว่าบ้านยามาดะ (Yamada House) และบ้านคิตามูระ (Kitamura House) จะยกพื้นสูงเหมือนกัน แต่บ้านยามาดะใช้สำหรับผลิตดินปืนส่งให้ขุนนางในอดีต ส่วนบ้านคิตามูระนั้นออกแบบพื้นไม้ไผ่ในห้องพักผ่อนให้ยกขึ้นสูงเพื่อระบายอากาศ
ภายในบ้านทุกหลังมีการจัดวางข้าวของเครื่องใช้และเครื่องมือทางการเกษตร แสงแดดที่ลอดผ่านประตูบานเลื่อนบุกระดาษทำให้เกิดเงาวูบไหวสร้างบรรยากาศลึกลับ พื้นไม้บางส่วนเป็นมันปลาบ บางหลังมีการก่อไฟย่างปลาควันโขมง กลิ่นฟืนไหม้และควันที่อบอวลชวนให้รู้สึกว่ามีคนพักอาศัยอยู่เหมือนร้อยปีก่อน บ้านแต่ละหลังมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในอย่างชัดเจน ถึงแม้ในแถบโกคายามะ (Gokayama) และชิราคาวะ (Shirakawa) จะสร้างบ้านแบบกัสโชเหมือนกัน แต่ก็ยังมีรายละเอียดแตกต่างกันไปอีก บ้านเอมูคาอิ (Emukai House) เป็นบ้านกัสโชในแถบโกคายามะ จังหวัดโทยามะ ซึ่งมีห้องพักผ่อนของครอบครัว และส่วนรับแขกที่เป็นทางการปูด้วยเสื่อตาตามิ มีแท่นสักการะพระพุทธรูปอยู่ด้านในสุดหลังส่วนที่เป็นบานเลื่อน เนื่องจากบริเวณนั้นได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายโจโด ชินชู (Jodo ShinShu) อยู่อย่างเข้มข้น
ภาพที่ 6 ภายในบ้านมีการจุดเตาไฟเสมือนทำอาหาร
ภาพที่ 7 กระท่อมกังหันน้ำ ด้านในมีเครื่องตำแป้ง เครื่องบดแป้ง และซังข้าว
ปัจจุบันไม่พบกังหันน้ำลักษณะนี้แล้วในประเทศญี่ปุ่น
ที่นี่ไม่เพียงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงบ้านเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่พบได้ในหมู่บ้าน เช่น ยุ้งข้าว โรงเก็บฟืน กระท่อมกังหันน้ำ ศาลเจ้า และแท่นหินรูปเทพเจ้าที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าคอยปกป้องคุ้มครอง ระหว่างทางมีต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด ซึ่งเมื่อเข้าไปอ่านป้ายใกล้ๆ ก็จะได้รู้ถึงความพิเศษของต้นไม้ชนิดนั้น เช่น ต้นมิตสึมาตะ (Mitsumata) ถูกนำไปทำกระดาษธนบัตรเพราะมีเส้นใยยาวและแข็งแรง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมตามเทศกาล มีเวทีแสดงคาบูกิ มีการสาธิตกิจกรรมพื้นบ้านให้สัมผัสวิถีญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เช่น การสานรองเท้า การย้อมผ้า ฯลฯ ช่วยพาเราย้อนเวลากลับไปเดินอยู่ในสมัยเอโดะ นอกจากทำให้ได้ซึมซับช่วงเวลาแห่งอดีตอันแสนสงบแล้ว บ้านโบราณเหล่านี้ยังสะท้อนความพยายามของมนุษย์ในการออกแบบที่พักอาศัยให้อยู่สบายในสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศต่างๆ สะท้อนการจัดสภาพบ้านเรือนให้เอื้อต่อการใช้งาน สะท้อนศรัทธาค่านิยมความเชื่อ ทั้งยังสวยงามน่าอยู่ และแสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเดินออกจากบ้านหลังสุดท้าย คล้ายกับแว่วเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า Itterasshai (อิต-เตะ-รัส-ไช) หมายถึง แล้วพบกันใหม่ คล้ายกับเชื้อเชิญให้ผู้คนกลับมาเยี่ยมเยือนนิวาสสถานแห่งนี้อีกครั้ง
สุวดี นาสวัสดิ์