โดยทั่วไปมักเข้าใจกันว่า เจ้าขนมปังสุดชิคอย่าง ‘ครัวซองต์’ (croissant) ที่ฮิตถล่มทลายกันทั่วบ้าน ทั่วเมือง อยู่ในขวบปี ค.ศ. 2021นี้ มีที่มาจากประเทศฝรั่งเศส แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเช่นกันด้วยว่า เจ้าขนมปังครัวซองต์นั้นเป็นลูกหลานของขนมปังอีกชนิดหนึ่งที่มีพื้นเพมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียอย่าง ‘ขนมคิปเฟิร์ล’ (kipferl) มาอีกทอด
ที่บอกว่าเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปนั้น ก็เป็นที่รับรู้กันในระดับที่มีนิทานเล่าเสียด้วยซ้ำไปเลยว่า ชายาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อย่างพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ (Marie Antoinette) นั้นคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของพระนาง ซึ่งก็คือกรุงเวียนนา จึงได้ร้องขอให้พ่อครัวช่วยทำ ‘ขนมคิปเฟิร์ล’ ไว้นั่งเคี้ยวเล่นแก้กลุ้ม แต่พ่อครัวนั้นกลับทำเจ้าขนมคิปเฟิร์ลออกมาในสไตล์ฝรั่งเศส จึงได้เกิดเป็น ‘ขนมปังครัวซองต์’ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ภาพที่ 1 ขนมปังครัวซองต์ ของชาวปารีเซียง ปรับปรุงรูปแบบมาจากขนมคิปเฟิร์ลของเวียนนา
แหล่งที่มาภาพ: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Croissant,_whole.jpg
ภาพที่ 2 ขนมคิปเฟร์ล ต้นแบบของขนมปังครัวซองค์
แหล่งที่มาภาพ: https://de.wikipedia.org/wiki/Kipferl
แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว เจ้าครัวซองต์ไม่น่าจะถือกำเนิดขึ้นในฝรั่งเศส ก่อนช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไปได้หรอกครับ
ดังนั้นคนที่เสียชีวิตไปก่อนช่วงเวลาดังกล่าวหลายสิบปีอย่างพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ จึงไม่ควรจะเคยได้ลิ้มรส หรือเกี่ยวข้องอะไรกับการเกิดขึ้นของขนมปังครัวซองต์ได้เลยสักนิด จิม เชวาลเลียร์ (Jim Chevalier) นักค้นคว้าอิสระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อาหาร ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกำเนิดของขนมปังครัวซองต์ ที่ชื่อ ‘August Zang and the French Croissant: How Viennoiserie came to French’ ยืนยันเสียงแข็งเอาไว้อย่างนั้น
ในหนังสือเล่มดังกล่าว เชวาลเลียร์ ได้นำเสนอเรื่องราวของอดีตนายทหารปืนใหญ่ ชาวออสเตรีย ที่ชื่อ ออกุสต์ ซัง (August Zang) ที่ได้มาเปิดร้านเบเกอรี ที่จำหน่ายขนมสไตล์เวียนนาที่ชื่อ ‘บูลังเกรี่ เวียนนัวส์’ (Boulangerie Viennoise, แปลตรงตัวว่า ร้านเบเกอรีสไตล์เวียนนา) ขึ้นเป็นแห่งแรกที่กรุงปารีส อาคารเลขที่ 92 ทางฝั่งขวาของถนนริเชอลิเยอ (Richelieu) เมื่อปี ค.ศ. 1838
แน่นอนว่า ในบรรดาขนมหลากหลายสิ่งอย่างที่มีขายอยู่ในร้านนั้น นอกจากขนมปังออสเตรียอย่าง ขนมปังเวียนนา (Vienna bread) และขนมไกเซอร์โรลล์ (Kaiser rolls) แล้ว ก็ย่อมมีเจ้าขนมคิปเฟิร์ล วางเป็นซิกเนเจอร์ของความเป็นเบเกอรี ชิคๆ คูลๆ สไตล์เวียนนาเอาไว้ในร้านด้วย
ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดของซัง ไม่ว่าจะเป็นการวางขนมปังหน้าตาชวนให้เซลฟี่ก่อนรับประทาน (แน่นอนว่า ผมหมายถึงความนิยมในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องในสมัยโน้น) เอาไว้ให้มองเห็นได้ เมื่อมองผ่านกระจกที่หน้าร้าน ประกอบกับการทำมาร์เก็ตติ้งผ่านหนังสือพิมพ์ ก็ทำให้ขนมสไตล์เวียนนาของซังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ซึ่งก็รวมถึงเจ้าขนมคิปเฟิร์ลด้วย
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาก็มักจะเล่นตลกกับชีวิตของมนุษย์อยู่เสมอนะครับ เพราะถึงแม้ว่าจะขายดีอย่างไรก็ตาม แต่ซังก็ต้องขายกิจการร้านเบเกอรีแห่งนี้หลังจากเปิดขายมาเพียงแค่สองสามปีมันเสียอย่างนั้น โดยเขาได้กลับไปเปิดกิจการหนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรกของกรุงเวียนนา ควบคู่ไปกับทำธุรกิจการธนาคารและเหมืองแร่จนร่ำรวย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม คำจารึกบนแผ่นหินที่หลุมฝังศพอันหรูหรา กลางกรุงเวียนนาของซัง กลับไม่ได้กล่าวถึงกิจการที่ทำให้เขามั่งคั่งเหล่านั้นเลยสักนิด พื้นที่ทั้งหมดบนหินแผ่นนั้นอุทิศให้เฉพาะก็แต่เรื่องการเป็นเจ้าของธุรกิจเบเกอรีเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญกิจการเบเกอรี (ซึ่งย่อมมีเจ้าขนมคิปเฟิร์ลรวมอยู่ในนั้นด้วย) ในความรู้สึกนึกคิดของเขาได้เป็นอย่างดี
ภาพที่ 3 ร้านบูลังเกรี่ เวียนนัวส์ ที่ออกุส ซัง นำขนมคิปเฟร์ลเข้ามาขาย จนชาวปารีเซียงนำมาดัดแปลงเป็นขนมปังครัวซองค์
แหล่งที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Croissant
ภาพที่ 4 คำจารึกที่ป้ายหลุมฝังศพของ ออกุส ซัง ที่กล่าวถึงการเป็นเจ้าของกิจการเบเกอรี
ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จทางธุรกิจในกิจการทางด้านอื่นจนเป็นมหาเศรษฐีมากกว่า
แหล่งที่มาภาพ: https://www.findagrave.com/memorial/106932392/august-zang
และหากจะลองมองย้อนกลับไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ซังได้นำสารพัดขนม ที่แปะสลากยี่ห้อ Made in Vienna เข้าไปนำเสนอยังกรุงปารีสนั้นก็น่าภูมิใจจริงๆ นั่นแหละครับ โดยเฉพาะการนำเจ้าขนมคิปเฟิร์ลไปกระทำความโรดโชว์ในครั้งเดียวกันนั้น เพราะนั่นก็ได้นำไปสู่การพัฒนาไปเป็นนวัตกรรมขนมปังชิ้นเอกอย่าง ขนมปังครัวซองต์ ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบ และกรรมวิธีการผลิตมาเป็นแบบพัฟฟ์ (puffed pastry)
แถมพัฒนาการการกลายรูปจากขนมคิปเฟิร์ล มาเป็นเจ้าขนมปังครัวซองต์นั้นยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วยต่างหาก หลักฐานชิ้นต้นๆ ของขนมปังครัวซองต์นั้น ปรากฏอยู่ในตำราเกี่ยวกับสารอาหารที่ชื่อ ‘Des substances alimentaires Et Des Moyens De Les Améliorer, De Les Conserver Et D'en Rèconnaitre Les Altérations’ ของนักเคมีชาวปารีเซียงแท้ๆ อย่าง อ็องแซลม์ ปาแย็ง (Alselme Payen, คนเดียวกับที่ค้นพบอะไรที่เรียกกันว่า เซลลูโลส) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1853 โดยปาแย็งได้เขียนถึงขนมปังครัวซองต์เอาไว้ในตำราเล่มนี้ว่า “เป็นขนมปังที่มีความแฟนตาซีและหรูหรา” เลยทีเดียว
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า จากหลักฐานที่เรามีอยู่ ขนมปังครัวซองต์นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงต้น ทศวรรษ 1850’s (หรือเก่าแก่กว่านั้น เพียงแต่ไม่มีหลักฐานหลงเหลือมาจนทุกวันนี้) คือแค่เพียงสิบปีนิดๆ หลังจากที่ซังได้นำขนมคิปเฟิร์ลเข้ามาให้ชาวฝรั่งเศสรู้จัก แถมยังมีหลักฐานว่า ขนมปังครัวซองต์ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเมนูหลัก บนจานอาหารเช้าของชาวฝรั่งเศส ในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนั้นเองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ปาแย็งเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นกวีหรือนักเขียน แถมหนังสือเล่มที่เขาพูดถึงขนมปังครัวซองต์นั้นก็ยังเป็นตำราวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสารอาหารอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจึงอาจจะบรรยายภาพของครัวซองต์ ในแง่ของสังคมวัฒนธรรมได้ไม่ชัดเจนเท่ากับนักเขียนคนดัง ชาวเมืองผู้ดีอังกฤษ ที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยวิคตอเรียนด้วยกันอย่าง ชาร์ลส์
ดิกเคนส์ (Charles Dickens)
ในข้อเขียนของดิกเคนส์ที่ชื่อ ‘The Cupboard papers VIII: The Sweet Art’ ซึ่งตีพิมพ์นิตยสารที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าของนิตยสารฉบับนี้เองอย่าง ‘All the Year Round’ (ตีพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1859-1895) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1872 ได้ปรากฏข้อความกล่าวถึงขนมปังครัวซองต์ไว้อย่างแยบยลว่า
“the workman's ‘pain de ménage’ and the soldier's ‘pain de munition’,
to the dainty croissant on the boudoir table”
ประโยคนี้หากแปลอย่างตรงไปตรงมาก็คงได้ความว่า “ขนมปังในครัวเรือน (pain de ménage) ของแรงงาน และขนมปังเสบียง (pain de munition) ของทหาร ไปจนถึงขนมปังครัวซองต์ดูโอชะบนโต๊ะส่วนตัว” ง่ายๆ เพียงเท่านั้น แต่ขอให้สังเกตว่า ทั้งๆ ข้อเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นด้วยคนอังกฤษ และใช้ภาษาอังกฤษในการเขียน แต่ดิกเคนส์กลับเลือกที่จะเรียกชื่อขนมปังเหล่านี้ด้วยคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสมันเสียอย่างนั้น
คำว่า ‘pain’ ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ‘ขนมปัง’ ก็จริงนะครับ แต่มันพ้องรูปกับศัพท์คำว่า ‘pain’ ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า ‘ความเจ็บปวด’ ส่วนคำว่า ‘de’ ในเป็นคำบุพบทในภาษาฝรั่งเศสที่ใช้ได้ในหลากหลายความหมาย แต่ในที่นี้ดิกเคนส์ต้องการเล่นคำจาก ‘pain de ménage’ ซึ่งหมายถึงขนมปังในครัวเรือน (household bread) ตามความหมายทางตรงในภาษาฝรั่งเศสมาเป็น ‘ความเจ็บปวดจากการทำงาน’ เช่นเดียวกับ ‘pain de munition’ ที่ความหมายปกติคือ ขนมปังที่ถูกใช้เป็นเสบียงกรังของทหาร โดยคำว่า ‘munition’ ในภาษาฝรั่งเศสนั้นแปลว่า ‘กระสุน’ แต่ในภาษาอังกฤษแปลว่า ‘อาวุธ’ ดังนั้นนัยยะแฝงที่ดิกเคนส์ต้องการสื่อถึงก็คือ
“แรงงานเจ็บปวดจากการทำงาน และทหารเจ็บปวดจากอาวุธ (หรือกระสุน) เพียงนำไปสู่ขนมปังครัวซองต์ดูโอชะบนโต๊ะส่วนตัว”
ดังนั้นถึงแม้ว่า ทั้งปาแย็งและดิกเคนส์จะพูดถึง ‘ครัวซองต์’ ในฐานะของอาหารที่หรูหราไม่ต่างกัน แต่นัยยะที่ดิกเคนส์พูดถึงครัวซองต์นั้น สะท้อนให้เห็นถึงชนชั้นทางสังคม ของกลุ่มผู้คนที่มีครัวซองต์ชิคๆ วางอยู่บนโต๊ะอาหารในยุควิคตอเรียนได้อย่างเจ็บปวดและชวนจับใจ
ภาพที่ 5 อ็องแซลม์ ปาแย็ง ผู้ค้นพบเซลูโลส ได้กล่าวถึงขนมปังครัวซองต์ไว้ใน
ตำราเกี่ยวกับสารอาหารของเขา
แหล่งที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Anselme_Payen
ภาพที่ 6 ชาร์ลส์ ดิกเคนส์ นักเขียนชื่อดังในยุควิคตอเรียน ได้กล่าวถึง ครัวซองต์
ในแง่ของชนชั้นในข้อเขียนของเขา
แหล่งที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Dickens
อิทธิพลสำคัญที่สุดที่ขนมปังครัวซองต์ได้รับมาจากขนมคิปเฟิร์ลก็คือ การทำเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งก็มีเกร็ดที่นิยมเล่าต่อๆ กันมาว่าเกี่ยวกับสงครามครั้งหนึ่ง
ว่ากันว่าเรื่องมันเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1683 เมื่อทัพจากออตโตมัน ของพวกเติร์ก บุกเข้าล้อมกรุงเวียนนา ระหว่างนั้นมีชายเจ้าของร้านขนมปังผู้หนึ่งตื่นแต่เช้าเพื่อมาอบขนมปัง แล้วบังเอิญ”ได้ยินเสียงทหารเติร์กกำลังขุดอุโมงค์เพื่อลอบนำทัพเข้ามาในเมือง ชายคนนี้จึงได้ตีฆ้องร้องป่าวจนทำให้ชาวเวียนนารู้ทันกลศึกของทัพเติร์ก และช่วยกันขับไล่จนฝ่ายออตโมันต้องพ่ายแพ้ถอยร่นไปในที่สุด และก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง ภายในกรุงเวียนนาจึงได้มีการฉลองชัยชนะกันเป็นการใหญ่ โดยบรรดาร้านเบเกอรีต่างๆ ก็พากับอบขนมเป็นรูป ‘พระจันทร์เสี้ยว’ อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ออตโตมัน’ เพื่อเป็นการระลึกถึงชัยชนะในครั้งนี้ พร้อมกับที่ได้ตั้งชื่อเจ้าขนมชนิดว่า ‘คิปเฟิร์ล’ นั่นเอง
แต่ถ้าเรื่องมันง่ายแค่นี้ก็ดีสิครับ เพราะอันที่จริงแล้ว ชื่อของขนมคิปเฟิร์ลนั้นปรากฏในบทกวีชิ้นหนึ่งของ ดยุค ลีโอโพลด์ (Duke Leopold) ที่เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1227 หรือ 456 ปีสงครามคราวที่กรุงเวียนนาได้ชัยจากออตโตมันเลยทีเดียว โดยลีโอโพลด์ได้ระบุไว้ว่าว่า คิปเฟิร์ล เป็นขนมรูปพระจันทร์เสี้ยว ที่จะกินกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แถมยังเป็นธรรมเนียมมาก่อนยุคของเขานับร้อยๆ ปีแล้วอีกต่างหาก ดังนั้นเจ้าขนมชนิดนี้ก็คงจะไม่ได้เพิ่งมาเกิดเอาตอนที่กรุงเวียนนา ได้รับชัยชนะจากสงครามอย่างที่มักจะเล่ากันโดยไม่มีที่มาที่ไปแน่
อย่างไรก็ตาม การที่ชาวปารีเซียงตั้งชื่อเจ้าขนมปังชนิดว่า ‘ครัวซองต์’ นั้นก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าเป็นขนมปังที่ปรับปรุงสูตรมาจากขนม ‘คิปเฟิร์ล’ เพราะทั้งสองคำนั้นต่างแปลออกมาเป็นภาษาไทยได้เหมือนกันว่า ‘พระจันทร์เสี้ยว’ นั่นเอง
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ