Museum Core
ทำไมเจ้าบ่าวถึงอุ้มเจ้าสาว?
Museum Core
02 พ.ย. 64 2K

ผู้เขียน : Writer Museum Core

          ตามงานแต่งงานหรือภาพถ่ายพรีเว็ดดิ้งต่าง ๆ เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยเห็นธรรมเนียมของคู่บ่าวสาวแบบสากลอันเป็นที่นิยม เช่น การคุกเข่าสวมแหวน เปิดผ้าคลุมหน้า โยนช่อดอกไม้ และจุมพิต ในบรรดาธรรมเนียมเหล่านี้ เราจะพบหนึ่งกิริยาการแสดงความรักที่ต้องอาศัยแรงกายมากกว่าอย่างอื่น ๆ อยู่พอสมควร คือ “เจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาว” ยกขึ้นมาในท่ากึ่งนอน มือหนึ่งสอดใต้ข้อพับเข่า และอีกมือหนึ่งประคองหลัง โดยไม่มีส่วนใดของร่างกายเจ้าสาวที่สัมผัสพื้น

 

          หลายคนอาจจะนึกว่าเป็นธรรมเนียมสนุก ๆ ที่วัยรุ่นคิดกันขึ้นมาเอง แต่ความจริงแล้ว ธรรมเนียมการอุ้มเจ้าสาวนี้มีอายุเก่าแก่เกือบ 2,800 ปี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในมรดกทางประวัติศาสตร์ตะวันตกที่โบราณมากที่สุดในโลกของเรา ที่ยังคงสืบทอดแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันก็ว่าได้ เหตุใดผู้ชายฝรั่งจึงยอมเปลืองแรงเช่นนี้ ผู้หญิงก็มีขาทำไมไม่เดินเอง ในบทความนี้เราจะมาหาคำตอบกัน

 

            เพื่อให้เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว เราจะต้องย้อนเวลากลับไปในช่วง 752 ก่อนคริสตกาล (ตรงกับ 189 ปีก่อนการประสูติของพระพุทธเจ้า) ในคาบสมุทรอิตาลีโบราณ ในตอนนั้น มีกษัตริย์หนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือองค์หนึ่งกำลังก้าวขึ้นสู่อำนาจ คือ พระเจ้าโรมูลุส (Romulus) เดิมทีพระองค์เป็นเพียงคนเลี้ยงแกะเมืองอัลบา ลองกา (Alba Longa) ว่ากันว่า ครอบครัวคนเลี้ยงแกะเก็บเขากับน้องชายฝาแฝด เรมุส (Remus) มาจากในป่า โดยเด็กทั้งสองเคยอาศัยน้ำนมของแม่หมาป่ายังชีพ บ้างก็ว่าพวกเขาเป็นโอรสของเทพแห่งสงคราม

 

          โรมูลุสกับเรมุสเติบโตขึ้นกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มคนเลี้ยงแกะ รวบรวมกำลังพลล้มล้างอำนาจของกษัตริย์ทรราชแห่งอัลบา ลองกา คืนบัลลังก์ให้กษัตริย์ผู้ชอบธรรม ก่อนจะเดินทางออกมาสร้างเมืองใหม่เป็นของตัวเอง พวกเขายินดีรับพวกทาส ผู้ลี้ภัย นักโทษที่โดนเนรเทศ และสารพัดคนนอกคอกจากดินแดนต่าง ๆ เข้ามาเป็นประชาชน และก็คงด้วยความดุร้ายที่ได้รับสืบทอดมาจากแม่หมาป่ากระมัง ทำให้เมื่อสองพี่น้องทะเลาะกันอย่างหนักเรื่องที่ตั้งเมือง รวมถึงผู้คนเริ่มตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้ใครเป็นผู้นำ โรมูลุสก็สังหารเรมุส ในวันที่ 21 เมษายน ของปีก่อน เขายึดวันนั้นเองเป็นวันสถาปนากรุงโรม หรือ โรมา (Roma) เมืองใหม่ซึ่งตั้งตามชื่อโรมูลุส ผู้ได้เป็น ‘จ่าฝูง’ เพียงหนึ่งเดียวในที่สุด

 

          ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่ปัญหาหลักของกรุงโรมก็คือ จำนวนผู้หญิงน้อย สมัยโรมันผู้คนอายุไม่ยืนยาว และการตั้งครรภ์คลอดบุตรก็เป็นเรื่องอันตรายมาก ผู้หญิงจึงเป็นทรัพยากรมนุษย์ล้ำค่าที่จะชี้เป็นชี้ตายความอยู่รอดของอารยธรรมไม่ให้จบสิ้นในหนึ่งชั่วอายุคน ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี เพราะถ้ามีผู้ชายหนึ่งกับผู้หญิงสิบ ชนชาติยังสามารถสืบพันธุ์ขยายบ้านเมืองต่อไปได้ แต่ถ้ามีผู้ชายสิบกับผู้หญิงหนึ่ง ชนชาตินั้นก็ไร้อนาคต (เป็นเหตุผลที่ในสงครามโบราณ ผู้หญิงมักจะได้รับการไว้ชีวิต และถูกข่มขืนโดยผู้ชนะ) นี่คือสถานการณ์คับขันที่กรุงโรมกำลังเผชิญอยู่

 

           สภากรุงโรมตัดสินใจส่งคณะทูตไปยังเมืองเพื่อนบ้านทางเหนือ แถบเทือกเขาแอเพนไนน์ คือ เมืองซาบีน (Sabine) ซึ่งปกครองโดย พระเจ้าติตุส ตาติอุส (Titus Tatius) เพื่อขอให้ช่วยกำนัลหญิงสาวพรหมจรรย์ให้แก่ผู้ชายโรมัน พระเจ้าติตุส ตาติอุส ทรงปฏิเสธเพราะเกรงจะโดนกระแสต่อต้านหากบังคับประชาชนส่งลูกสาวไปเป็นภรรยาของกลุ่มคนเลี้ยงแกะและคนนอกคอก และเพราะทรงเห็นว่ากรุงโรมอยู่ใกล้กับซาบีนมาก มีการจัดระบบชนชั้นและสร้างวิทยาการรวดเร็ว หากมีประชากรเพิ่มและขยายอิทธิพลกว้างออกมาอาจจะกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัว

 

          คณะทูตเดินทางกลับกรุงโรมไปอย่างสงบ แต่พระเจ้าโรมูลุสทรงไม่ใช่คนที่จะยอมรับคำปฏิเสธจากใคร ในเทศกาลบูชาเทพเจ้าวันที่ 18 สิงหาคม ณ สถานกรีฑาและแข่งรถม้า เซอร์คุส แม็กซิมุส (Circus Maximus) ซึ่งเป็นสเตเดียมแห่งแรกที่ชาวโรมันสร้างขึ้น พระองค์จึงทรงวางแผนจัดพิธีฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และเชื้อเชิญผู้คนจากดินแดนข้างเคียงมาร่วมงาน เช่น ชาวเมืองแคนนินา (Caenina) ครุสตูเมริอุม (Crustumerium) อันเทมแน (Antemnae) ปัจจุบันทั้งสามเมืองนี้อยู่ในเขตลาติอุม (Latium) ภาคตะวันตกของประเทศอิตาลี และแน่นอนที่สุด คนส่วนใหญ่ที่เชิญมาก็คือชาวซาบีน

 

          ระหว่างที่งานกำลังดำเนินไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจนั้นเอง ก็มีการให้สัญญาณเหล่าชาวโรมันที่เป็นชายฉกรรจ์ให้ชักดาบเข้าต่อสู้ ชิงบรรดาหญิงสาวพรหมจรรย์ต่างชาติมาจากพ่อแม่ ก่อนขับไล่พวกเขาออกไปจากกรุงโรมท่ามกลางเสียงสาปแช่ง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ชื่อว่า "เหตุลักพาตัวสตรีซาบีน" (Sabinae raptae - The Rape of the Sabine Women) แม้ว่าจะมีผู้หญิงชาวเมืองอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วยก็ตาม

 

 

 

ภาพที่ 1 เหรียญเดนาริอุสของโรมัน หน้าหัวเป็นภาพพระเจ้าติตุส ตาติอุส หน้าก้อยเป็นการอุ้มลักพาตัวสตรีซาบีน

แหล่งที่มาภาพ: Harney, G. (2020, March 28). A famous foundational myth of Rome: The Rape of the Sabine women. Retrieved from https://twitter.com/optimoprincipi/status/1243926625210773515

 

          เป็นที่สังเกตว่า คำว่า Rape/Raptio ในสมัยโรมัน ไม่ได้หมายถึงการข่มขืนในฐานะอาชญากรรมทางเพศอย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน แต่หมายถึง "การลักพาตัว" ที่ผู้ชายยึดผู้หญิงมาเป็นสมบัติของตน เช่นเป็นภรรยาหรือทาส (ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เลยก็ได้) โดยไม่ได้รับคำยินยอมยกให้จากเจ้าของ คือพ่อแม่หรือนายทาสดั้งเดิมของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยกรีก (หมายเหตุ แนวคิดเรื่องการข่มขืนในฐานะอาชญากรรมทางเพศต่อผู้หญิง เพิ่งมีในโลกตะวันตกช่วงปี 1900-1930 และขยายนิยามเป็นต่อเหยื่อเพศใดก็ได้ โดยองค์การอนามัยโลกในปีค.ศ. 2002)

 

          หญิงสาวผู้น่าสงสารเหล่านั้นถูกอุ้มแยกไปตามบ้านของชาวโรมันที่มีชายโสดเพื่อแต่งงาน พระเจ้าโรมูลุสมีพระราชโองการห้ามละเมิดพรหมจรรย์พวกนางในคืนของการลักพาตัว ทรงให้สิทธิพวกนางเป็นภรรยาผู้มีเกียรติของชาวโรมัน ได้รับสิทธิร่วมในทรัพย์สินของสามี ได้สิทธิพลเมืองโรมัน และลูก ๆ ของพวกนางจะเป็นเสรีชน ตรงจุดนี้ต้องเข้าใจว่า วิถีชีวิตผู้หญิงโรมันนั้นแม้จะเป็นสมบัติของผู้ชายเหมือนกับผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกโบราณ แต่ชาวโรมันมี "วัฒนธรรมการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy)" พวกนางจะเป็นนายหญิงของบ้านที่มีทาสรับใช้ คอยดูแลทรัพย์สิน ใช้อำนาจแทนสามีเวลาเขาไปสงคราม และไม่ทำงานบ้านใด ๆ ที่หนักเกินกว่าการปั่นด้ายกับทอผ้า

 

          หน้าที่ที่ถูกคาดหวังมากที่สุดของผู้หญิง คือ ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูลูกให้เป็นพลเมืองดี พวกนางจึงได้รับการศึกษาเพื่อจะได้สั่งสอนเด็กๆ ได้อย่างถูกต้อง หากว่าคู่สมรสล้มเหลวที่จะมีลูกไม่ถือเป็นความบกพร่องของภรรยา ทั้งสองอาจหย่ากันด้วยเหตุผลนี้ได้ แต่สามีจะต้องคืนสินเดิม (Dowry) ให้ภรรยาไปเพื่อที่นางจะแต่งงานใหม่ด้วย ผู้หญิงที่สามีตายแล้วก็มักแต่งงานใหม่เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้หญิงโรมันสามารถไปชมกีฬา ชมละคร เข้าโรงอาบน้ำ และสำราญกับสิ่งอื่น ๆ ในวัฒนธรรมโรมัน เราไม่มีหลักฐานที่บอกให้ทราบชัดเจนว่า ผู้หญิงซาบีนเดิมใช้ชีวิตอย่างไร หรือมีสิทธิหน้าที่อะไรบ้าง แต่คงจะด้อยกว่านี้ เพราะพวกนางพึงพอใจกับชีวิตในกรุงโรมภายในระยะเวลาไม่นาน

 

 

ภาพที่ 2 ภาพสลักสตรีซาบีน บนชิ้นส่วนหินอ่อนหน้าจั่ววิหารแอมิเลีย (Basilica Aemilia) ในกรุงโรม

แหล่งที่มาภาพ: Horleman, K., Marsilio, M., Raia, A. R., & Sebesta, J. L. (2013, May). Titus Livius, Ab Urbe Condita I.11.1-2: Hersilia. Retrieved from https://feminaeromanae.org/Livy_Hersilia.html

 

          หลังจากนั้น ชาวเมืองแคนนินา ครุสตูเมริอุม และอันเทมแน ยกทัพมาทำสงครามกับกรุงโรมเพื่อทวงลูกสาวกลับคืน ทว่าก็พ่ายแพ้แก่ชาวโรมันอย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งเขตอาณานิคมขึ้นในเมืองเหล่านั้นเพื่อปกครอง และการพระราชทานอภัยโทษแก่พ่อแม่ของผู้หญิงซาบีนเพื่อรับพวกเขาเป็นพลเมืองโรมันตามลูกสาว กองทัพซาบีนของพระเจ้าติตุส ตาติอุส ยกพลมาเป็นกลุ่มสุดท้าย พระองค์ใช้กลยุทธ์อันหลักแหลมต่าง ๆ จนสามารถยึดป้อมปราการใหญ่และบุกผ่านประตูเข้ามาถึงจัตุรัสเมือง (Forum) ของกรุงโรม

 

           การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรุนแรงและยาวนาน ทั้งสองฝ่ายคงจะเข่นฆ่ากันเป็นเวลาหลายวันจนกว่าจะรู้ดำรู้แดง หากไม่ใช่เพราะยามนั้น เหล่าผู้หญิงซาบีนผู้เป็นเหยื่อความโหดร้ายมาตั้งแต่ต้นร่วมใจกันเข้าขัดขวางการรบ พวกนางวิงวอนต่อพ่อในกองทัพหนึ่ง และต่อสามีในอีกกองทัพหนึ่ง ว่าพวกนางซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ต้องถูกคร่าจากพ่อแม่มาหนหนึ่งแล้ว อย่าให้ต้องถูกคร่าจากสามีและลูกๆ อีกเลย ไม่ว่าใครตายพวกนางก็จะตกทุกข์ซ้ำสอง ยิ่งไปกว่านั้น การสังหารญาติวงศ์ตนเองเช่นระหว่างพ่อตาและเขย (Parricide) ก็เป็นบาปมหันต์ที่จะทำให้เทพเจ้าสาปแช่ง ผู้หญิงบางกลุ่มสวมชุดไว้ทุกข์ ปล่อยผมกระเซิง อุ้มลูกออกมาเพื่อขอให้สงสารเด็กที่จะต้องกำพร้าพ่อหรือตา บางกลุ่มก็ขอให้ผู้ชายฆ่าพวกนางเสียแทนเพื่อกำจัดมูลเหตุสงคราม

 

 

ภาพที่ 3 ภาพวาดสตรีซาบีนเข้าขัดขวางการรบ โดยศิลปินฝรั่งเศส ฌาคส์-หลุยส์ ดาวิด (Jacques-Louis David)

แหล่งที่มาภาพ:  David, J. (2020). The intervention of the sabine women. Retrieved from https://arthistoryproject.com/artists/jacques-louis-david/the-intervention-of-the-sabine-women/

 

         การยื่นคำร้องอย่างกล้าหาญ ‘ผิดธรรมดาของเพศหญิง’ กลางสมรภูมิในครั้งนี้สะเทือนใจผู้ชายเป็นอันมาก การต่อสู้จึงยุติ ชาวโรมันกับชาวซาบีนจัดประชุมกัน และพวกผู้หญิงก็นำอาหารเครื่องดื่มออกมาให้แก่พวกเขา รักษาทหารที่บาดเจ็บ พร้อมกับแนะนำพ่อแม่ สามี และลูก ๆ ให้ได้รู้จักกัน ทำให้ความรู้สึกเป็นศัตรูระหว่างชาวโรมันกับชาวซาบีนบรรเทาเบาบางลง กษัตริย์และกองผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก และรวมสองรัฐเข้าเป็นดินแดนเดียวกัน

 

         พระเจ้าติตุส ตาติอุส ทรงได้เป็นผู้ปกครองร่วมกับพระเจ้าโรมูลุส จึงโปรดให้เรียกพลเมืองร่วมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาตินี้ว่า ชาวควีริเตส (Quirites) ตามชื่อเทพควีรินุส (Quirinus) เทพเจ้าของชาวซาบีน ด้านพระเจ้าโรมูลุสโปรดให้เรียกชื่อรัฐร่วมนี้ว่ากรุงโรมเหมือนเดิม นับเป็นการพบกันครึ่งทางของสองกษัตริย์

 

            เรื่องราวของสตรีซาบีน แม้ว่าจะออก ‘ดาร์ค ๆ’ ตามวิถีของโลกโบราณ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานความหลากหลายทางเชื้อชาติ การต่อรองสร้างสมดุลอำนาจระหว่างคนต่างเมือง การดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ด้วยสิทธิพลเมืองที่สูงกว่าเพื่อให้มาช่วยสร้างความเจริญ รวมไปถึงบทบาทตัวกลางหรือ ‘ทูต’ ประสานสัมพันธ์ของผู้หญิงสมัยก่อน นักประวัติศาสตร์โรมัน ลิวี (Livy) บันทึกไว้ว่า “สันติภาพอันน่ายินดี ซึ่งมาระงับสงครามอันน่าสังเวชลงได้อย่างกะทันหัน ทำให้สตรีซาบีนยิ่งเป็นที่รักของสามีและบิดาของพวกนาง และเป็นที่สนิทเสน่หามากที่สุดของพระเจ้าโรมูลุสเอง”

            ด้วยเหตุนี้ นับแต่นั้นมาเจ้าบ่าวโรมันจึงอุ้มเจ้าสาวเข้าบ้านหลังจากประกอบพิธีสมรสเสร็จเรียบร้อย เพื่อเป็นการรำลึกถึงสตรีซาบีนในฐานะ มารดาแห่งชาติโรมัน แม้ว่าจะไม่มีการอุ้มลักพาตัวเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ตาม จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ พร้อมกับเป็นการย้ำเตือนข้อคิดสำคัญที่ชาวโรมันรุ่นก่อตั้งบ้านเมืองได้เรียนรู้ นั่นก็คือ ประสบการณ์ชีวิตและมุมมองของผู้หญิงอาจทำให้เกิดวิธีแก้ปัญหาในแนวทางที่แตกต่างจากผู้ชาย และบางครั้งแนวทางนั้นแหละก็คือ ‘ทางออกที่ 3’ (เช่นเลือกการสยบความรุนแรงเพื่อคนรุ่นถัดไป แทนที่จะให้ฝ่ายที่ 1 หรือฝ่ายที่ 2 ต้องรบชนะ และทรงอิทธิพลเฉพาะในรุ่นนี้) ที่ผู้ชายอาจไม่ตระหนักหรือไม่อยากเลือก ด้วยศักดิ์ศรีหรือความเลือดร้อนบางอย่างในชั่วขณะนั้น แต่มันอาจเป็นทางที่สมควรเลือกมากที่สุดก็เป็นได้

            เมื่อวันเวลาผ่านไปและธรรมเนียมการอุ้มเจ้าสาวแพร่หลายในหลายดินแดน ความเชื่อใหม่ ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นตาม ในยุคกลาง คริสต์ศตวรรษที่ 5-15 (ตรงกับประมาณ 700 ปีก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ถึงสมัยอยุธยาตอนกลาง) เชื่อว่า หากก้าวแรกที่เจ้าสาวเข้าบ้านของเจ้าบ่าวเกิดสะดุดธรณีประตู (Threshold) ซึ่งเป็นคำพ้องกับ ‘จุดเริ่มต้น’ จะทำให้ประสบโชคร้ายไปตลอดชีวิตแต่งงาน หรือทำให้เจ้าสาวไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ เจ้าบ่าวจึงอุ้มเจ้าสาวเดินเข้าบ้านตัวเองเสียแทนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุดังกล่าว กวียุคกลางตอนปลาย เบ็น จอนสัน (Ben Jonson) ก็ได้เขียนไว้ในบทการแสดงปีค.ศ. 1606 เรื่อง การเต้นรำของเทพไฮเมน (Hymenaei - The Masque of Hymen) ว่า “จงยกเท้าอันมีค่าดั่งทองให้สูงเหนือธรณีประตูเป็นลางมงคล” (หมายเหตุ ไฮเมนเป็นชื่อเทพกรีกแห่งพิธีสมรส ต่อมาคำนี้หมายถึงเยื่อพรหมจรรย์)

 

           นอกจากนั้น คนยุคกลางมีค่านิยมว่า เจ้าสาวควรจะหวาดกลัวและเขินอาย ไม่เต็มใจมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าบ่าว หรือร่ำร้องอยากกลับไปหาพ่อแม่ของตน ถึงจะดู ‘มีคุณค่าและมีคุณธรรม’ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าบ่าวต้องโน้มน้าวชักนำ อุ้มนางไปวางถึงบนเตียง

           ทุกวันนี้ บ่าวสาวชาวตะวันตกและทั่วโลกที่ประยุกต์ใช้ธรรมเนียมการแต่งงานสากลอุ้มเจ้าสาวกันในลักษณะการละเล่นที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เป็นกิจกรรมสร้างความใกล้ชิดและการเอาใจระหว่างคู่รัก ทำท่าทางที่น่าสนใจเวลาถ่ายรูป อวดความแข็งแรงสมชายชาตรี หรือแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าเจ้าบ่าวสามารถ ‘อุ้มชู’ ถนอมดูแลเจ้าสาวได้ดี ฐานะเชิงอำนาจและเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกันมากขึ้นระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ช่วยให้ความคิดและการตัดสินใจของผู้หญิงปัจจุบันได้รับการรับฟังง่าย ๆ โดยไม่ต้องรวบรวมความกล้าออกไปทำ ‘ดราม่า’ กลางสนามรบ ข้อเตือนใจจากสมัยโรมันจึงอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป ความเชื่อโชคลางและค่านิยมของยุคกลางก็เสื่อมการยอมรับจากสังคมแล้วเช่นกัน แต่อย่างไรก็น่าทึ่งไม่น้อยเลยที่โลกของเรายังคงเก็บรักษาธรรมเนียมโบราณขนาดนี้เอาไว้ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนความหมายตามยุคสมัยให้เหมาะกับเรา

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Balsdon, J. P. V. D. (1998). Roman women: Their history and habits. New York: Barnes & Noble.

 

Garcia, B. (2021, April 07). Romulus and Remus. Retrieved April 10, 2021, from https://www.ancient.eu/Romulus_and_Remus/

 

Hays, J. (2018, October). Early Romans Battle and Unite with the Sabines and Etruscans. Retrieved April 04, 2021, from http://factsanddetails.com/world/cat56/sub407/entry-6244.html

 

Krug, E. G., Dahlberg, L. L., Mercy, J. A., Zwi, A. B., & Lozano, R. (2002). World report on violence and health. World Health Organization. http://apps.who.int/iris/bitstream/handle/10665/42495/9241545615_eng.pdf.

 

Livy. (n.d.). History of Rome. English Translation by. Rev. Canon Roberts. New York, New York. E. P. Dutton and Co. 1912. 1. Retrieved April 04, 2021, from http://www.perseus.tufts.edu/hopper/text?doc=Perseus:text:1999.02.0026:book=1

 

Plutarch. (2018, August 15). The Parallel Lives: The Life of Romulus, published in Vol. I of the Loeb Classical Library edition, 1914. Retrieved April 04, 2021, from https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Plutarch/Lives/Romulus*.html

 

Radcliffe, D. H., & Tech, V. (2005). Ben Jonson: Epithalamion. English Poetry 1579-1830: Spenser and the Tradition. http://spenserians.cath.vt.edu/TextRecord.php?action=GET&textsid=33041

 

Writer Museum Core

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ