ครั้งแรกมีกิจการไปรษณีย์ในสยามประเทศ รูปแบบการส่งจดหมายไม่ใช่ดังปัจจุบัน นั่นเพราะยังไม่มีที่ทำการไปรษณีย์ และไม่มีตู้ไปรษณีย์อย่างทั่วถึง อีกทั้งรูปแบบและรายละเอียด ตลอดจนขอบเขตการจัดส่งก็ยังจำกัดอยู่ แต่ทั้งหมดนับเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาในเวลาต่อมา
การเปิดบริการในระยะแรก หรืออาจเรียกว่าขั้นทดลองใช้ ทำการรับฝากและนำส่งสิ่งของทางไปรษณีย์อยู่ 4 ประเภท ได้แก่ จดหมาย ไปรษณียบัตร หนังสือพิมพ์จดหมายเหตุ และหนังสือพิมพ์อื่นๆ โดยสามารถฝากส่งได้ที่ตึกไปรษณีย์ใหญ่ หรือไปรสนียาคาร ปากคลองโอ่งอ่าง ริมน้ำเจ้าพระยา ที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรก และเพียงแห่งเดียวในขณะนั้น
ภาพที่ 1 ไปรสนียาคาร
แหล่งที่มาภาพ: สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย
ภาพที่ 2 ห้องโถงรับฝากที่ทำการไปรษณีย์ที่ 1 ไปรสนียาคาร
แหล่งที่มาภาพ: สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย
แต่ใช่ว่าการส่งจดหมายจะต้องไปรวมยังไปรสนียาคาร เพราะมีอีกช่องทางหนึ่งเป็นทางเลือก นั่นคือ การส่งทางหีบไปรษณีย์ โดยผู้ได้รับมอบหมายจากกรมไปรษณีย์ให้ดูแลรักษาหีบ จะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 4 บาท ทั้งยังได้ค่าส่วนลดจากการจำหน่ายตราไปรษณียากรอีกร้อยละ 2
มีข้อมูลอีกชุดหนึ่งเกี่ยวกับตู้ไปรษณีย์ กล่าวคือ ยุคนั้นคำนี้อาจยังไม่ชัดเจนนักในการใช้อย่างแพร่หลาย ฉะนั้นจึงพูดกันผ่านคำว่า “หีบไปรษณีย์” มากกว่า และอักษรที่ระบุบนหีบบางใบยังมีถึง 4 ภาษา เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการมากที่สุด เพราะสังคมไทยยุคนั้นประกอบด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ และใช่ว่าจะอ่านภาษาไทยได้หมด จึงมีทั้งภาษาอังกฤษ จีน และล้านนาไว้รองรับ
ทำนองเดียวกับตราไปรษณียากร หรือที่เรียกคุ้นปากแบบทับศัพท์ว่าแสตมป์ ทว่าในระยะแรกของการเปิดทำการไปรษณีย์สยาม มักเรียกกันด้วยคำว่า “ตั๋วตรา” มากกว่า
หีบไปรษณีย์มักติดตั้งอยู่ตามหน้าร้านค้า ตลอดจนอาคารบ้านเรือนในเขตกำแพงเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ผู้ฝากส่งต้องเขียนจ่าหน้าให้ชัดเจนและอ่านง่าย หากไม่ทราบเลขที่ ให้ใส่ชื่อบ้านผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงไว้ด้วย ที่สำคัญต้องผนึกตราไปรษณียากรให้ครบถ้วน ความเคร่งครัดทั้งหมดก็เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยแนะนำเหมือนไปส่ง ณ ตึกไปรษณีย์ใหญ่นั่นเอง
หากติดแสตมป์ไม่ครบ ปัญหาจะไปตกกับผู้รับปลายทาง เพราะกรมไปรษณีย์จะเรียกค่าปรับจากผู้รับเป็นจำนวนถึง 2 เท่าของตราไปรษณียากรที่ขาด ยกตัวอย่าง ถ้าต้องติดแสตมป์ 3 บาท แต่ตอนส่งติดเพียง 2 บาท เท่ากับขาดไป 1 บาท เวลาปรับจะถูกปรับเป็น 2 เท่า จึงโดนปรับ 2 บาท เป็นต้น
ยังมีอีกกรณี นั่นคือ ตอนส่งไม่ติดแสตมป์ จดหมายประเภทนี้จะไม่ถูกนำจ่ายโดยเด็ดขาด ไม่มีการลักไก่ หรือปล่อยเป็นภาระผู้รับปลายทาง ฉะนั้นจึงต้องติดแสตมป์ให้ครบทุกครั้งก่อนทิ้งจดหมายลงหีบ โดยสามารถซื้อได้ที่ร้านค้าที่มีหีบไปรษณีย์ติดตั้งอยู่นั่นเอง แม้เป็นขั้นทดลอง แต่นับว่ากรมไปรษณีย์สยามเมื่อกว่าร้อยปีก่อนวางระบบไว้ดีทีเดียว
ทางด้านร้านค้าที่รับติดตั้งหีบไปรษณีย์ นอกจากมีรายได้ดังกล่าวมาข้างต้น ยังมีกฎเกณฑ์ต้องปฏิบัติตามด้วย ได้แก่ ต้องคอยดูแลหีบไปรษณีย์ให้สะอาดเสมอ ไม่ปล่อยให้เปียกฝน และเมื่อบุรุษไปรษณีย์มาไขหีบไปรษณีย์ ต้องจดจำนวนทั้งหมดใส่ไว้ในถุงไปรษณีย์ พร้อมเอาเชือกผูกถุงก่อนส่งมอบให้บุรุษไปรษณีย์ทุกครั้งอย่างเคร่งครัด
ภาพที่ 3 หีบไปรษณีย์และบุรุษไปรษณีย์สยามยุคแรก
แหล่งที่มาภาพ: ไปรษณีย์ไทย
นอกจากข้อปฏิบัติ ยังมีข้อห้ามด้วย ดังนี้ ห้ามมิให้ผู้ดูแลรักษาหีบไปรษณีย์เปิดหีบเป็นอันขาด ทั้งยังห้ามนำไปรษณียภัณฑ์ที่ฝากส่งใส่หีบแล้วคืนให้แก่ผู้ฝากส่ง เหตุผลคือ ได้ถือว่าไปรษณียภัณฑ์ที่ฝากส่งแล้วนั้น ตกเป็นสิทธิของผู้รับนับตั้งแต่ได้ฝากส่งเข้าสู่ทางไปรษณีย์
หีบไปรษณีย์ นอกจากเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของร้านที่รับติดตั้ง ยังมีความรับผิดชอบของบุรุษไปรษณีย์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย นั่นคือ ขณะออกนำจ่ายจดหมายตามที่อยู่ผู้รับ ห้ามรับฝากจดหมายหรือสิ่งของใด ๆ จากประชาชน พูดอีกแบบก็คือหากประชาชนคนใดต้องการส่งจดหมายก็ต้องไปส่งยังหีบไปรษณีย์เอง หรือไม่ก็ไปยังตึกไปรษณีย์ใหญ่เท่านั้น
ในปีแรก ตึกไปรษณีย์ใหญ่เป็นศูนย์กลางการนำจ่ายเพียงหนึ่งเดียว ทำให้มีการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านทิศเหนือจรดสามเสน ด้านทิศตะวันออกจรดสระประทุม ด้านทิศตะวันตกจรดตลาดพลู และด้านทิศใต้จรดบางคอแหลม กำหนดให้บุรุษไปรษณีย์นำจ่ายวันละ 3 เที่ยว ดังนี้ 07.00 น., 11.00 น. และ 16.00 น.
ภาพที่ 4 ห้องโถงรับฝากออฟฟิศไปรษณีย์ที่ ๒ ศุลกสถาน
แหล่งที่มาภาพ: สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย
นับจากวันเปิดทำการไปรษณีย์ ได้มีผู้มาใช้บริการเกินคาดหมาย จากรายงานผลการดำเนินงานของผู้ตรวจการกรมไปรษณีย์ในปีแรก พ.ศ. 2426 (ขณะนั้นกำหนดวันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 เป็นวันสิ้นปี และวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่) ได้รวบรวมบัญชีเพื่อแสดงผลการดำเนินการ แต่ไปรษณีย์สยามเริ่มขึ้นวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 (ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9) ไม่ได้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี จึงนับได้เพียง 8 เดือน รายงานระบุไว้บางช่วงดังนี้
...หนังสือที่รับส่ง ถ้าจะนับเทียบประมาณวันหนึ่งได้ ๑๒๗ ฉบับ เป็นอย่างกลาง ๆ เสมอไป จึ่งรวมหนังสือ
ที่ได้รับได้ส่งในจำนวน 8 เดือนนั้น เป็นหนังสือ 30013 ฉบับ...
อีกราว 2 ปี มีการจัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์ในเขตพระนครขึ้นอีกแห่ง โดยรับฝากและนำจ่ายเป็นการเฉพาะสำหรับไปรษณียภัณฑ์แลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ เปิดทำการวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 วันเดียวกับไปรษณีย์สยามเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union) เรียกที่ทำการแห่งใหม่นี้ว่า ออฟฟิศไปรษณีย์ที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณ
ศุลกสถาน (โรงภาษีร้อยชักสาม)
ณ ที่ทำการไปรษณีย์แห่งใหม่ เปิดให้บริการฝากส่งไปรษณียภัณฑ์ต่างประเทศอย่างเป็นทางการ 8 ประเภท ได้แก่ จดหมาย ไปรษณียบัตร หนังสือพิมพ์ หนังสือของตีพิมพ์ หนังสือกิติยคดีและการค้าขาย (กิติยคดี หมายถึง กระดาษหรือหนังสือสำคัญทุกชนิดที่เขียนหรือวาดขึ้นด้วยมือทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งไม่มีลักษณะโต้ตอบส่วนตัวเหมือนจดหมาย) ของตัวอย่าง ห่อของต่าง ๆ ชนิดรวมเป็นห่อเดียวกัน โดยมีบริการลงทะเบียนและไปรษณีย์ตอบรับเพิ่มเข้ามาด้วย
ในเดือนถัดมา ได้ขยายบริการไปรษณีย์ออกไปยังภูมิภาค จัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์หัวเมืองพร้อมกันถึง 2 แห่ง นั่นคือที่เมืองสมุทรปราการ และเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) เปิดทำการในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 สะท้อนถึงความนิยมส่งจดหมายและไปรษณียภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่อมาได้ขยายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศเป็นลำดับ
ผ่านมาเกือบ 140 ปี การส่งจดหมายและไปรษณียภัณฑ์ของคนไทยยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง แม้จดหมายลดจำนวนอย่างน่าใจหาย สวนทางกับพัสดุที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และเลี่ยงออกไปจับจ่ายโดยตรงช่วงการระบาดของโควิด– 19 ระบบที่เริ่มต้นไว้ตั้งแต่ศตวรรษก่อน จึงทำหน้าที่ได้อย่างสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง
หนังสือ ๑๒๕ ปี ไปรษณีย์ไทย
หนังสือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ๑๓๐ ปี กิจการไปรษณีย์ไทย
หนังสือ ๑๓๐ ปี ตราไปรษณียากรไทย เล่ม ๔
นิตยสารแสตมป์และสิ่งสะสม พ.ค. ๒๕๖๑
ลมล่องข้าวเบา