Museum Core
Viking Ship Museum การล่องผ่านกาลเวลาของเรือไวกิ้ง ตอนที่ 2
Museum Core
31 ม.ค. 65 1K
ประเทศนอร์เวย์

ผู้เขียน : กระต่ายหัวฟู

เรืออูสเบิร์ก (Oseberg ship)

         มีผู้เปรียบเทียบว่าการค้นพบสุสานเรืออูสเบิร์กเป็นการค้นพบที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพอๆกันกับการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนเลยทีเดียว

         เจ้าของฟาร์มอูสเบิร์กเป็นอีกคนหนึ่งที่หวังจะขุดพบสมบัติในที่ดินของตนเอง ในปี ค.ศ.1903 เขาขุดพบชิ้นไม้ที่มีการแกะสลักอย่างสวยงามที่เนินอูสเบิร์กและรีบนำมันไปเสนอแก่ศาสตราจารย์ทางโบราณคดีที่ออสโล การขุดค้นมีขึ้นในเดือนมิถุนายนปีถัดมา ใช้เวลา 5 เดือนจึงนำซากเรือและโบราณวัตถุขึ้นมาจากหลุมได้หมด  เรืออูสเบิร์กเป็นซากเรือไวกิ้งที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา สามารถใช้ชิ้นส่วนที่ขุดพบนำมาประกอบขึ้นโดยแทบไม่ต้องแซมด้วยวัสดุใหม่เลย แต่ชิ้นส่วนต่างๆ ของเรือและสิ่งของที่ฝังร่วมกับเรือถูกกดทับด้วยน้ำหนักตามธรรมชาติของดินกว่าพันปี ทำให้ชิ้นส่วนแตกเป็นเสี่ยงๆใหญ่บ้างเล็กยิบย่อยบ้างรวมแล้วกว่า 2,000 ชิ้น นักอนุรักษ์ต้องใช้เวลาซ่อมแซม ปรับสภาพ และต่อจิ๊กซอว์เหล่านี้กลับเข้าที่นานถึง 21 ปี

 

ภาพที่ 1 เรืออูสเบิร์ก (Oseberg ship)

 

          เรืออูสเบิร์กสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.820 มีความยาว 21.58 เมตร กว้าง 5.1 เมตร เป็นเรือขนาด 30 ฝีพาย หัวเรือแกะสลักเป็นลวดลายที่มีความสวยงามมาก ตัวเรือก็มีความอ่อนช้อยและสง่างามจนผู้เขียนรู้สึกขนลุกเมื่อเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์และเผชิญหน้ากับมันแบบตัวเป็นๆ  แม้ว่าโจรโบราณจะขโมยของมีค่าไปจนหมด สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็ยังมากมายและมีคุณค่าให้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไปได้ไม่รู้จบ การทดสอบอายุของสิ่งของที่ถูกฝังไว้กับเรือมีอายุที่สอดคล้องกับโครงกระดูกที่ฝังไว้ด้วยกันคือประมาณปี ค.ศ. 834 จึงเป็นปีที่สุสานนี้สร้างขึ้น

 

สิ่งของในสุสาน

         สิ่งของที่ขุดพบครอบคลุมเครื่องใช้หลายหมวดหมู่ ตั้งแต่ของใช้ประจำตัว เช่น หวี เครื่องประดับ เครื่องครัว ของกิน ยานพาหนะ หีบและกล่องไม้จำนวนมาก เครื่องมือช่างและการเกษตร เครื่องทอผ้า 5 แบบและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานสิ่งทอ สัตว์และอุปกรณ์สำหรับสัตว์ เช่น เกือกม้า ปลอกคอสุนัข อาน ฯลฯ  ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจสักสองสามสิ่ง

 

รองเท้า พบรองเท้าสองคู่ รองเท้าและพื้นของมันทำจากหนังแผ่นเดียวกัน มีขนาดเทียบเท่า EU 38 -  40 ในปัจจุบัน จากขนาดของมันน่าจะเป็นรองเท้าของเจ้าของสุสานนั้นเอง เป็นรองเท้าที่ให้ความอบอุ่นได้ดี การตัดเย็บและสไตล์เรียบง่ายดูเก๋ไก๋ไม่ต่างจากรองเท้าที่เราใส่กันในปัจจุบัน

 

ภาพที่ 2 รองเท้าบูทที่พบในสุสานเรืออูสเบิร์ก

 

ผ้า/สิ่งทอ การที่หลุมศพอูสเบิร์กสามารถรักษาสภาพสิ่งทอไว้ได้นับเป็นสิ่งพิเศษอีกสิ่งหนึ่ง ในห้องบรรจุศพเต็มไปด้วยสิ่งทอมากมายแตกต่างกันทั้งชนิดและการใช้งาน สันนิษฐานได้ว่าห้องจะต้องตกแต่งอย่างสวยงามด้วยผ้าไหม ลินิน และผ้าขนสัตว์ ลวดลายที่ทอบนผืนผ้ามีทั้งรูปทรงเรขาคณิต รูปคน สัตว์เช่นม้า นก ต้นไม้ ลายเถาวัลย์ บ้าน รถม้า ฯลฯ ซึ่งเป็นเหมือนบันทึกภาพชีวิตในสมัยนั้น สิ่งทอส่วนใหญ่มีคุณภาพสูงมาก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแม้ใช้ความรู้ที่เรามีในปัจจุบันก็ยังยากที่จะทอขึ้นมาใหม่ได้

 

เกวียน  ในบรรดาสิ่งของที่พบในเรืออูสเบิร์ก เกวียนจัดเป็นโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ มันน่าจะมีอายุเก่าแก่กว่าเรืออูสเบิร์กและหลุมศพมาก คาดว่าจะสร้างขึ้นก่อนปี ค.ศ.800 มันถอดประกอบเพื่อการขนส่งได้ เกวียนจึงน่าจะไม่ได้ใช้ในการเดินทางแต่นำไปใช้เฉพาะในการประกอบพิธีกรรมในที่ต่างๆ  รอบๆตัวเกวียนมีการแกะสลักอย่างสวยงาม งานแกะสลักบนตัวเรือ เกวียน และบนเครื่องไม้อื่นๆถูกเรียกว่าสกุลช่างอูสเบิร์ก มันมีความเฉพาะตัวและทำด้วยความเชี่ยวชาญแสดงถึงการใช้ช่างฝีมือที่สืบทอดมานาน  ตราบจนปัจจุบันยังไม่มีการพบโบราณวัตถุสกุลช่างอูสเบิร์กในที่อื่นใดอีก

 

เกวียนเป็นส่วนหนึ่งในงานไม้ประมาณร้อยละ 10 ที่นักอนุรักษ์เลือกที่จะอนุรักษ์ด้วยเกลือสารส้ม (alum-treatment) วิธีนี้ใช้กันทั่วไปเมื่อร้อยปีก่อน แต่ในปัจจุบันพบว่าโบราณวัตถุเหล่านี้อยู่ในภาวะวิกฤตเพราะภายใต้เปลือกนอกที่ยังคงสภาพดี เนื้อไม้ภายในกำลังฝ่อลง ในปี ค.ศ.2015 รัฐบาลนอร์เวย์ได้เริ่มโครงการรักษ์อูสเบิร์ก (Saving Oseberg Project) เพื่อศึกษาวิจัยผลของการอนุรักษ์แบบเดิมและหาวิธีที่จะหยุดยั้งความเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้น ทีมนักวิจัยในโครงการเป็นความร่วมมือจากนานาชาติ

 

ภาพที่ 3 ด้านหลังของเกวียนแกะเป็นรูปแมว (ลองนับดูว่ามีกี่ตัว) แมวเป็นสัตว์ที่ใช้เทียมรถรบของเทพีเฟรยา

(Freya หรือ Frøya) เทพีแห่งความรัก การสงคราม และเวทย์มนต์ หัวหน้าของวัลคีรี (Valkyrie)

นักรบหญิงของเทพโอดิน ซึ่งเป็นผู้เก็บวิญญาณนักรบที่กล้าหาญจากสนามรบไปสถิตยังวัลฮัลลา (Valhalla)

ห้องโถงของวีรบุรุษ นักรบที่ไม่ได้รับเลือกเพราะมิได้ตายอย่างกล้าหาญและนักรบที่ตายเพราะเจ็บป่วยหรือแก่ตาย

วิญญาณจะต้องตกนรก เทพีเฟรยาจึงน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพยำเกรงจากนักรบไวกิ้ง

 

 สตรี 2 คน สตรีผู้ได้รับการยกย่องด้วยรูปแบบวิธีฝังที่งดงามไม่ธรรมดานี้คือใคร มีการวิเคราะห์โครงกระดูกของสตรี 2 คนจากสุสานอูสเบิร์กหลายครั้ง นักโบราณคดีมีความเห็นเหมือนกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง พอสรุปกว้างๆได้ว่า หญิงคนที่นอนอยู่บนเตียงและมีกระดูกเหลือเกือบครบมีอายุแก่กว่า (อายุ 60-80 ปี) อีกคนพบกระดูกเพียงเล็กน้อยและกระจัดกระจายไปจนถึงบริเวณปากทางเข้าห้องบรรจุศพ เธอมีอายุประมาณ 50 ปี ทั้งคู่มีความสูงประมาณ 150++ เซนติเมตร (เตี้ยกว่าหญิงชาวนอร์ดิคโดยทั่วไป) เป็นเวลาร้อยปีที่นักโบราณคดีเชื่อว่าผู้หญิงที่อายุมากคือราชินีอาซา (Queen Åsa) ย่าของกษัตริย์ฮารัลด์ แฟร์แฮร์ (King Harald Fairhair ปฐมกษัตริย์ในตำนานของนอร์เวย์) และคนอายุน้อยอาจจะเป็นคนรับใช้ของเธอ ในปัจจุบันฉันทามติที่แพร่หลายคือเรายังไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร (ที่จริงมีเตียงทั้งหมด 6 หลัง และมีผู้สงสัยว่าเคยมีศพอยู่บนเตียงหลังอื่นด้วยหรือเปล่า)

 

        การตรวจดีเอนเอพบว่าหญิงที่อายุน้อยกว่ามีเชื้อสายอิหร่าน (Iranians)  ส่วนหญิงสูงอายุยังไม่อาจสรุปผลดีเอนเอได้  นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าหญิงสูงอายุเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เธอยังได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคหลายชนิดตั้งแต่วัยเด็ก แต่ในวัยกลางคนเกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเธอ กระดูกของเธอหนาขึ้น  เกิดเสียงที่ทุ้มลึก และมีหนวดเคราขึ้นบนใบหน้า ในปัจจุบันเรียกว่ากลุ่มอาการมอร์กานี-สจ๊วต-มอเรลซินโดรม (Morgagni-Stewart-Morel syndrome) ซึ่งพบได้ยากและยังไม่ทราบสาเหตุ

 

          ในปี ค.ศ.1946 ด้วยกระแสความตื่นตัวของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สมาคมประวัติศาสตร์ของเวสต์โฟลด์ (Vestfold Historical Society) และเครือข่ายสตรี เรียกร้องต่อสภามหาวิทยาลัยออสโลเพื่อนำโครงกระดูกทั้งสองกลับไปฝังไว้ยังเนินสุสานอูสเบิร์ก นักโบราณคดีส่วนใหญ่คัดค้านแต่ไม่เป็นผล สตรีทั้งสองกลับไปนอนอย่างสงบในโลงอลูมิเนียมที่เนินสุสานอูสเบิร์กในปี ค.ศ.1948 (การนำกลับไปฝังเคยเกิดขึ้นกับโครงกระดูกจากสุสานก๊กสตัดมาก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ.1928) ในปี ค.ศ.2006 ศาสตราจารย์เพร์ โฮล์ค (Per Holck) เขียนบทความเกี่ยวกับการศึกษาโครงกระดูกอูสเบิร์กและแสดงความกังวลต่อความเสื่อมสลายของหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญยิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการถูกฝังครั้งที่สอง ซึ่งอาจทำให้พวกเราหมดโอกาสที่จะไขข้อพิศวงอีกมากมายของพวกเธอไปตลอดกาล สื่อมวลชนและกระแสสังคมทำงานอีกครั้งในทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก ทำให้ในปี ค.ศ.2007 มีการขุดโครงกระดูกของสตรีแห่งอูสเบิร์กและบุรุษแห่งก๊กสตัดขึ้นมาอีกครั้ง

 

          มีการทำจำลองเรืออูสเบิร์กเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะทำกี่ครั้งก็ปรากฏว่าเรือจำลองจมเมื่อนำลงน้ำ ทำให้ผู้คนพากันสงสัยว่าเรืออูสเบิร์กคงจะสร้างขึ้นเพื่อพิธีกรรมไม่สามารถแล่นได้จริง ในปี ค.ศ.2005 มูลนิธิมรดกเรือไวกิ้งอูสเบิร์ก (Oseberg Viking Heritage Foundation) ได้สแกนเรือต้นฉบับอย่างละเอียดพบว่ามีการทำอะไรบางอย่างกับคานตัวหนึ่งของเรือในระหว่างการอนุรักษ์และทำให้ลำเรือสั้นลง หลังจากแก้ไขแบบตรงนี้แล้ว พวกเขาสร้างมันด้วยเครื่องมือแบบดั้งเดิมของไวกิ้งใช้เวลาถึง 3 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.2010-2012 คราวนี้เมื่อนำลงน้ำเรืออูสเบิร์กจำลองสามารถแล่นได้จริง

 

          ปัจจุบันมูลนิธิมรดกเรือไวกิ้งอูสเบิร์กซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองทอนสเบิร์ก (Tønsberg เมืองที่ตั้งของเนินอูสเบิร์ก) ได้ต่อยอดความรู้จากการสร้างเรืออูสเบิร์กจำลอง กลายเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการสร้างและใช้งานเรือไวกิ้ง รวมถึงงานศิลปหัตถกรรมที่เกี่ยวข้อง มีการจัดกิจกรรมเรียนรู้สำหรับเยาวชน ประชาชน และนักท่องเที่ยว

 

          ในปี ค.ศ.2000-2012 เรือก๊กสตัดและเรืออูสเบิร์กเป็นหัวข้อถกเถียงยาวนาน 13 ปี จากข้อเสนอที่จะขอย้ายเรือทั้งสองไปจัดแสดงในบริเวณศูนย์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของโครงการพัฒนาพื้นที่เมืองใหม่บริเวณอ่าวออสโล เรื่องจบลงด้วยการถอนใจอย่างโล่งอกของเหล่านักโบราณคดีและผู้เอาใจช่วย เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตัดสินไม่เคลื่อนย้ายเรือทั้งสอง ทั้งนี้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติที่ว่า เมื่อพิจารณาปัญหาเฉพาะหน้า การย้ายเรือ (เป็นระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร - ผู้เขียน) เป็นเรื่องเสี่ยงมากและไม่ควรทำ  แต่ในระยะยาวการจัดแสดงเรือในสภาวะแวดล้อมแบบเดิมก็เสี่ยงเช่นกัน รัฐบาลนอร์เวย์จำเป็นต้องแก้ปัญหานี้โดยเร็ว แต่ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย งบประมาณด้านวัฒนธรรมแม้ในประเทศเช่นนอร์เวย์ก็ไม่ได้ตกลงมาเร็วอย่างที่คิด

 

ภาพที่ 4 พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งหลังเดิม

 

          พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งเพิ่งปิดลงเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2021 เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ใหม่ เรือไวกิ้ง 3 ลำกับสิ่งที่ฝังร่วมกับมันได้เดินทางผ่านกาลเวลากว่าพันปี ผจญการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ เผชิญกับกระแสความคิดและแรงผลักดันของผู้คนในสังคมหลากกลุ่มหลายมุมมอง ขณะนี้ทุกสิ่งกำลังได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมการเดินทางที่หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ไปยังที่อยู่ใหม่ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 100 เมตร หวังว่าในปี ค.ศ.2025 (หรือ 2026) ซึ่งเป็นกำหนดการเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่  มรดกไวกิ้งจะเดินทางอย่างปลอดภัยและอยู่ให้พวกเราได้ชื่นชมไปอีกนานแสนนาน

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

The Oseberg Find 100 year anniversary: The great adventure in Norwegian archaeology. https://www.khm.uio.no/english/visit-us/viking-ship-museum/exhibitions-archive/oseberg-find-100-year-anniversary/

 

บทความวิเคราะห์กระดูกของสตรีแห่งเรืออูสเบิร์ก โดย Per Holck https://www.researchgate.net/publication/237968995_The_Oseberg_Ship_Burial_Norway_New_Thoughts_On_the_Skeletons_From_the_Grave_Mound

 

เว็บไซต์ของมูลนิธิมรดกเรือไวกิ้งอูสเบิร์ก (Oseberg Viking Heritage Foundation)  https://sagaoseberg.com/eng/about-us/

 

เว็บไซต์รวมแหล่งโบราณคดีไวกิ้งในยุโรป (Viking Archaeology Home Page) http://viking.archeurope.info/

 

กระต่ายหัวฟู

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ