ถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ถุงสำเพ็ง... เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อใดชื่อหนึ่งในนี้ ถุงพลาสติกสีสดใสมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค ด้วยราคาย่อมเยาและความทนทาน ถุงสายรุ้งจึงได้รับความนิยมในหมู่พ่อค้าแม่ขาย ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น เจ้าถุงโอฬารยังเป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ชื่อเรียกถุงอเนกประสงค์ในหลายพื้นที่กลับมีนัยยะประชดประเทียด ชาวเยอรมันเรียกถุงสายรุ้งว่ากระเป๋าตุรกี (Türkenkoffer) ในขณะที่ชาวอเมริกันเรียกถุงนี้ว่าย่ามไชนาทาวน์ (Chinatown Tote) ชื่อเรียกที่ว่ามาเกี่ยวข้องกับอคติทางชาติพันธุ์ของผู้คนที่มีต่อผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศ เนื่องจากผู้ลี้ภัยเก็บข้าวของเครื่องใช้ใส่ถุงพลาสติกที่หาง่ายยามหนีตายออกจากแผ่นดินแม่ ปัจจุบันประเทศตะวันตกจึงเลือกใช้คำเรียกอย่างระวังไม่ให้กระทบความรู้สึกผู้ใด ทว่าไกลออกไปในทวีปแอฟริกา ชื่อเรียกถุงสายรุ้งกลับตอกย้ำถึงความทรงจำอันเจ็บปวดในอดีต เจ้าถุงนี้เป็นที่รู้จักทั่วกาฬทวีปในชื่อ “Ghana Must Go” หรือ “กานาจงออกไป” เพราะอะไรถุงพลาสติกใบใหญ่จึงข้องเกี่ยวกับการขับไล่ชาวกานา เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน
ภาพที่ 1: Ghana Must Go กระเป๋าพลาสติกที่ใช้ใส่ของปริมาณมาก
แหล่งที่มาภาพ: Chief Oyibo. Ghana Must Go: The ugly history of Africa's most famous bag. (2019). [Online]. Accessed 2021 Dec 29. Available from: http://www.oyibosonline.com/ghana-must-go-the-ugly-history-of-africas-most-famous-bag/
แม้จะมีชื่อเรียกว่ากานา แต่เรื่องราวทั้งหมดกลับเริ่มต้นที่ไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันตก ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 1956 บริษัทเชลล์ได้ค้นพบแหล่งน้ำมันที่โอลอยบิริ (Oloibiri) หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนใต้ของไนจีเรียที่อยู่ใต้อาณานิคมสหราชอาณาจักรในขณะนั้น การค้นพบในครั้งยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความยินดีของคนทั้งประเทศ ชาวไนจีเรียเชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติจะนำพาประเทศที่กำลังต่อสู้เพื่อเอกราชไปสู่ความมั่งคั่ง น้ำมันดิบถูกสูบขึ้นเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1958 และสองปีหลังจากนั้น ไนจีเรียก็ได้รับอิสรภาพหลังถูกปกครองโดยต่างชาติกว่าหกทศวรรษ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศเกิดใหม่ ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ไนจีเรียก็ได้ชื่อว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งแอฟริกา (Giant of Africa)” เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแอฟริกาใต้ทะเลทรายสะฮารา (Sub – Saharan Africa) แตกต่างจากประเทศเกิดใหม่ทั้งหลายในแอฟริกาที่เผชิญปัญหาความยากจนหลังปลดแอกจากเจ้าอาณานิคม
ขณะที่ไนจีเรียกลายเป็นประเทศแอฟริกันที่ร่ำรวยที่สุด ประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ภาษาเดียวกันอย่างกานากลับมีสถานะใกล้เคียงกับรัฐล้มเหลว ตั้งแต่ปีค.ศ. 1931 เป็นต้นมา กานาเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก เศรษฐกิจกานาเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีโกโก้เป็นสินค้าส่งออกหลัก ด้วยเหตุนี้แรงงานต่างชาติจำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้ามาทำงานในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะชาวโยรูบา (Yoruba) ชนพื้นเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของไนจีเรีย หลังกานาได้รับเอกราชในปีค.ศ. 1957 มีชาวไนจีเรียทำงานในกานาราวสองแสนคน ในจำนวนนั้นมีนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนเพาะปลูกโกโก้จนมั่งคั่ง รัฐบาลกานาในขณะนั้นเกรงว่านักลงทุนต่างชาติจะครอบงำเศรษฐกิจของประเทศ ในค.ศ. 1969 รัฐบาลจึงออกคำสั่งควบคุมแรงงานต่างด้าว (Aliens Compliance Order) โดยบังคับให้แรงงานหลายล้านคนเดินทางกลับบ้านเกิด อย่างไรก็ดี แม้จะควบคุมจำนวนแรงงานต่างด้าวสำเร็จ แต่เศรษฐกิจกานากลับเสื่อมถอยเพราะราคาผลผลิตที่ตกต่ำ คนหนุ่มสาวในประเทศต้องเผชิญปัญหาการว่างงาน หลายคนตัดสินใจเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งเป็นจังหวะเวลาเดียวกับที่ไนจีเรียก้าวเข้าสู่ยุคทองของตลาดน้ำมันโลก ชาวกานาจึงถือโอกาสนี้อพยพเข้าไปทำงานในไนจีเรีย เช่นเดียวกับที่ชาวไนจีเรียเคยทำเมื่อครั้งที่เศรษฐกิจกานายังรุ่งเรืองในทศวรรษก่อนหน้า
ภาพที่ 2: แผนที่แสดงเส้นทางอพยพของผู้คนในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก
แหล่งที่มาภาพ: Crottet, Laurent. Between risks and opportunities: Protecting migrant children in West Africa. (2017). [Online]. Accessed 2021 Dec 29. Available from: https://www.tdh.ch/en/news/protecting-migrant-children-west-africa
ตั้งแต่ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไนจีเรียเฟื่องฟูจนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในทวีป ชาวกานาจำนวนมากเดินทางไปไนจีเรียเพื่อหางานทำ พวกเขาใช้เส้นทางตะวันตกผ่านพรมแดนโตโกและเบนินเพื่อไปยังลากอส (Lagos) เมืองท่าศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของไนจีเรีย แรงงานกานาเป็นที่ต้องการในไนจีเรียเพราะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เจ้าของกิจการจึงนิยมจ้างแรงงานกานาเพื่อทำงานในโรงแรม ร้านอาหาร และสถานบริการต่างๆ ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ความรู้และทักษะอย่างครูอาจารย์และช่างฝีมือ ปลายทศวรรษ 1970 มีแรงงานต่างชาติทำงานในไนจีเรียราวสองล้านคน กว่าครึ่งในนั้นเป็นชาวกานาที่เข้ามาหาโอกาสในต่างแดน เกือบทั้งหมดเป็นผู้อพยพที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต แต่เนื่องจากนายจ้างยังคงต้องการแรงงาน ปัญหาเรื่องใบอนุญาตจึงไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน
ขณะที่ศูนย์กลางทางตอนใต้ของไนจีเรียอย่างลากอสกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด คาโน (Kano) เมืองใหญ่อันดับสองทางตอนเหนือของประเทศกลับประสบปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1980 เกิดเหตุปะทะในเมืองคาโนระหว่างตำรวจและกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่าสี่พันห้าร้อยคน กลุ่มก่อเหตุจลาจลมีผู้นำเป็นครูสอนศาสนาชาวแคเมอรูน สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมายจากประเทศชาด แคเมอรูน ไนเจอร์ มาลี และบูร์กินา ฟาโซ เหตุจลาจลที่คาโนในครั้งนั้นส่งผลให้ชาวไนจีเรียทั้งประเทศหวาดระแวงคนต่างชาติ แม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีผู้ก่อเหตุชาวกานารวมอยู่ในนั้น แต่เนื่องจากแรงงานต่างชาติส่วนใหญ่ในประเทศมาจากกานา ทำให้ชาวกานาในไนจีเรียต้องเผชิญปัญหาความรุนแรงที่มาจากอคติทางชาติพันธุ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
ความขัดแย้งระหว่างชาวไนจีเรียและแรงงานต่างชาติดำเนินมาถึงจุดแตกหักในปีค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ สำหรับประเทศที่พึ่งพาทรัพยากรน้ำมันอย่างไนจีเรีย วิกฤติการณ์ครั้งนั้นจึงเป็นเหมือนฝันร้าย ไนจีเรียประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประชาชนเผชิญปัญหาการว่างงานกันถ้วนหน้า เมื่อการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจากการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติหลักมากเกินควรเป็นเรื่องยาก เชฮู ชาการี (Shehu Shagari) ประธานาธิบดีไนจีเรียในขณะนั้นจึงหันไปหาทางออกที่ง่ายกว่าโดยอาศัยจังหวะที่ชาวไนจีเรียกำลังระแวงคนต่างชาติกล่าวโทษแรงงานผิดกฏหมายว่าเป็นต้นเหตุความรุนแรงและการว่างงาน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1983 รัฐบาลไนจีเรียจึงออกคำสั่งให้แรงงานต่างด้าวที่เข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายออกจากไนจีเรียก่อนวันที่ 31 มกราคม มิเช่นนั้นจะถูกจับเข้าตะรางโดยไม่มีการยกเว้น คำสั่งสายฟ้าฟาดของรัฐบาลชาการีทำให้ชาวต่างชาติกว่าสองล้านคนได้รับผลกระทบ ทางการไนจีเรียประกาศว่าหากแรงงานคนใดไม่ให้ความร่วมมือ ประชาชนในท้องที่สามารถลงโทษได้ตามสมควร ด้วยเหตุนี้ชาวต่างชาติจึงหนีตายออกจากไนจีเรียโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง พวกเขาเก็บข้าวของใส่ถุงพลาสติกที่ทนทานสำหรับเดินทางไกลก่อนเล็ดรอดไปทางชายแดนเหนือหรือท่าเรือลากอส และเนื่องจากคนงานต่างด้าวส่วนใหญ่เป็นชาวกานา ปรากฏการณ์ครั้งนี้จึงถูกเรียกว่า “Ghana Must Go” ที่กลายมาเป็นชื่อเรียกถุงสายรุ้งใบโตนั่นเอง
ภาพที่ 3: ชาวกานาจำนวนมหาศาลรอข้ามชายแดนไนจีเรีย – เบนินเพื่อกลับบ้านเกิด
แหล่งที่มาภาพ: Setboum, Michel. Refugees leaving Nigeria wait at the border to enter Benin as part of their journey back to Ghana. (2018). [Online]. Accessed 2021 Dec 29. Available from: https://atavist.mg.co.za/ghana-must-go-the-ugly-history-of-africas-most-famous-bag/
ทว่า นับเป็นคราวเคราะห์ของแรงงานชาวกานา เพราะนอกจากจะถูกทางการไนจีเรียขับไล่ พวกเขายังไม่อาจเดินทางกลับบ้านเกิดอย่างราบรื่น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปลายปีค.ศ. 1982 เจอร์รี รอว์ลิงส์ (Jerry Rawlings) ประธานาธิบดีกานาได้สั่งปิดชายแดนโตโกทางตะวันออกเพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษการเมืองลักลอบกลับเข้าประเทศ ทางการโตโกหวั่นเกรงว่าหากรับ
ผู้อพยพชาวกานาที่เดินทางผ่านเบนิน โตโกอาจประสบปัญหาวิกฤติผู้ลี้ภัยเสียเอง รัฐบาลโตโกจึงสั่งปิดชายแดนตะวันตกเพื่อไม่ให้ชาวกานาเดินทางข้ามเบนินเข้าประเทศ แรงงานกานากว่าล้านคนจากไนจีเรียจึงติดค้างในเบนินเป็นเวลาหลายอาทิตย์ พวกเขาต้องตั้งค่ายพักแรมชั่วคราวโดยไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดไว้ใช้อุปโภคบริโภค และกว่ารัฐบาลกานาและโตโกจะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน ผู้คนในค่ายก็ล้มป่วยเพราะโรคร้าย บ้างก็บาดเจ็บเพราะถูกฝูงชนแออัดเหยียบทับที่ชายแดน นับเป็นความทรงจำเลวร้ายที่ชาวกานาต่างต้องการลบเลือน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝันร้ายของแรงงานต่างด้าวในครั้งนั้นจะผ่านมาเกือบสี่สิบปี แต่ภาพผู้อพยพชาวกานาถือถุงพลาสติกหนีตายยังคงติดตาคนทั้งทวีป ถุงสายรุ้งสีสดใสจึงถูกเรียกอย่างแพร่หลายว่า “Ghana Must Go” มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าในปัจจุบัน กานาจะกลายเป็นผู้นำกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก ทว่าความทรงจำอันเจ็บปวดของผู้คนที่ถูกปฏิบัติอย่างเลวทรามยังคงไม่จางหาย ทุกๆ วันอดีตคนงานเหล่านั้นยังคงมองเห็นถุงใส่ของเช่นนี้อยู่ทั่วไป กระเป๋ายามยากของผู้ลี้ภัยจึงเป็นเครื่องตอกย้ำไม่ให้พวกเขาลืมเลือนความ อยุติธรรมที่ได้รับจากประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งแอฟริกา”
แหล่งค้นคว้าอ้างอิง
Falola, Toyin. Violence in Nigeria: The Crisis of Religious Politics and Secular Ideologies. New York: University of Rochester Press, 1998.
Aremu, Johnson Olaosebikan and Ajayi, Adeyinka Theresa. Expulsion of Nigerian Immigrant Community from Ghana in 1969: Causes and Impact, Developing Country Studies Vol. 4, No.10 New York: IISTE, 2004.
กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ