ปีค.ศ. 945 (ตรงกับ 312 ปีก่อนการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย) เจ้าหญิงโอลกา (Olga) ประทับอยู่ในพระราชวังกรุงกือยิว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กรุงเคียฟ (Kyiv) กับพระโอรสองค์น้อย เจ้าชายสเวียโตสลาฟ (Sviatoslav) แต่ขณะที่กำลังทรงหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ม้าเร็วก็เข้ามาทูลว่าพระสวามีของพระนาง เจ้าชายอิกอร์ที่ 1 แห่งราชวงศ์รูริค (Igor I, Rurik Dynasty) อันเป็นราชวงศ์ไวกิ้งจากสแกนดิเนเวียที่เดินทางมาก่อตั้งอาณาจักรคีฟวันรุส (Kyivan Rus ปัจจุบันคือประเทศยูเครน เบลารุส และรัสเซียตะวันตก เจ้าผู้ปกครองดำรงพระยศ Grand Prince/Princess) สิ้นพระชนม์เสียแล้วอย่างน่าสยดสยอง ศัตรูหยามพระเกียรติและทรมานพระองค์ โดยวิธีผูกขาสองข้างแยกกันเข้ากับยอดต้นไม้เบิร์ชสองต้นที่ใช้เชือกผูกบังคับให้โน้มลงมา แล้วตัดเชือกปล่อยยอดไม้ให้กลับไปเหยียดตรง ฉีกกระชากร่างพระองค์ออกเป็นสองเสี่ยง!
บัดนี้ เจ้าหญิงโอลกาทรงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่สุดชนิดหนึ่ง พระนางทรงไม่ใช่คนที่นี่ด้วยซ้ำ ทว่าเป็นชาวไวกิ้งเชื้อสายสวีเดน ประสูติในเปล็สคอฟ (Pleskov – ปัจจุบันคือเมือง Pskov ในรัสเซีย) เสด็จมาประทับที่กรุงเคียฟตอนอภิเษกสมรสเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา เจ้าชายอิกอร์ที่จริงก็เพิ่งจะทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ใช่ว่าจะสามารถครองใจราษฎรได้มั่นคง เพียงเสด็จไปทวงบรรณาการจากเมืองขึ้นที่แข็งข้อหลังจากสิ้นรัชสมัยพระบิดาของพระองค์ คือเมืองของชาวพื้นเมืองเดเรวา ชื่อ อิสโครอสเทน (Iskorosten – ปัจจุบันคือเมือง Korosten ในภาคเหนือของยูเครน) เท่านี้เองก็ทรงถูกปลงพระชนม์ พระโอรสยังทรงพระเยาว์เกินจะครองบัลลังก์ต่อได้ ดังนั้น กรุงเคียฟและเจ้าหญิงโอลกากลายเป็น ‘สมบัติที่ไร้คนเฝ้า’ พร้อมให้บุรุษผู้มีอำนาจเข้ายึดครอง
เจ้าชายมัล (Mal) แห่งอิสโครอสเทน ผู้ทรงสังหารเจ้าชายอิกอร์ ส่งคณะราชทูตล่องเรือทางแม่น้ำดนิโปร (Dnipro) มายังกรุงเคียฟ เพื่อทูลให้พระนางเสด็จไปอภิเษกสมรสกับพระองค์… ความรู้สึกของสตรีที่เป็นหม้ายหมาดๆ จะต้องถูกข่มขืนโดยฆาตกรผู้สังหารสามีตัวเอง และลูกก็อาจจะถูกสังหารตามไปเช่นกัน เจ็บปวดเคียดแค้นและหวาดกลัวเพียงใด ถึงจะเกิดในยุคโบราณที่มีธรรมเนียมเช่นนั้น แต่ก็คงรู้สึกได้ไม่น้อยไปกว่าสตรีปัจจุบัน ที่สำคัญ เจ้าหญิงบางองค์อาจอภิเษกสมรสทางการเมืองและไม่ได้รักใคร่พระสวามีของตนเท่าไรนัก แต่เจ้าหญิงโอลกาทรงรักเจ้าชายอิกอร์มาก
ภาพที่ 1: เจ้าชายอิกอร์ที่ 1
แหล่งที่มาภาพ: School of Temporary Bonds. (2017, October 23). Telegraph. Retrieved March 8, 2022, from https://telegra.ph/SHkola-vremennyh-skrep-10-23
เจ้าหญิงโอลกาไม่มีพระปรีชาสามารถที่จะทรงม้านำทัพออกไปสู้กับเจ้าชายมัลในสมรภูมิ พระนางจึงตรัสตอบเหมือนเช่นเจ้าหญิงทั่วไปพึงตอบว่า ทรงยินดีกับแผนการอภิเษกสมรส และจัดงานต้อนรับราชทูต ขอให้พวกเขากลับไปพักผ่อนในเรือของตน แล้ววันรุ่งขึ้นราชสำนักเคียฟจะจัดข้าราชบริพารไปแบกเรือมาเข้าเมืองต่างเสลี่ยงเพื่อเป็นการให้เกียรติ แต่สิ่งที่เจ้าหญิงโอลกาต่างจากเจ้าหญิงองค์อื่น ๆ ก็คือ ในวันต่อมาเมื่อข้าราชบริพารคีฟวันรุสไปแบกเรือมาถึงหน้าประตูเมือง ประตูก็เปิดออกมาพบกับหลุมลึกขนาดใหญ่ที่พระนางมีพระบัญชาให้ทหารขุดไว้ตอนกลางคืน แล้วเรือราชทูตก็ถูกโยนลงไป ก่อนจะกลบดินฝังพวกเขาทั้งเป็น!
จากนั้น เจ้าหญิงโอลกาก็ส่งพระราชสาส์นไปยังอิสโครอสเทนว่า ทรงไม่ขัดข้องที่จะรับเจ้าชายมัลเป็นพระสวามี แต่อย่างไรพระนางทรงเป็นเจ้า และก็กำลังจะเป็นพระชายาของเจ้าชายมัลด้วย ทรงถูกดูหมิ่นอย่างยิ่งที่คณะทูตล้วนเป็นไพร่ ขอให้ส่งขุนนางผู้มีเชื้อสายเจ้าเหมือนกันมาเชิญเสด็จพระนางอย่างสมพระเกียรติอีกครั้ง พระนางถึงจะเสด็จไป คำตอบแสนหยิ่งนี้ไม่ได้ผิดแปลกจากที่เจ้าหญิงทั่วไปพึงตอบอีกเช่นกัน เจ้าชายมัลจึงโปรดให้จัดคณะราชทูตใหม่ที่ประกอบด้วยพระญาติและเหล่าบุคคลระดับสูงในราชสำนักไปตามนั้น เมื่อถึงพระราชวังกรุงเคียฟ ข้าราชบริพารก็เชิญให้ราชทูตเข้าไปในโรงอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเข้าเฝ้า ครั้นพอพวกเขาลงแช่น้ำอุ่นกันเรียบร้อย เจ้าหญิงโอลกาก็มีพระบัญชาให้ลงกลอนประตูและสุมไฟเผาโรงอาบน้ำ สังหารพวกเขาอย่างง่ายดายราวกับฆ่าไก่ต้มน้ำแกง
เจ้าชายมัลทรงได้รับพระราชสาส์นอีกครั้ง เนื้อความว่าเจ้าหญิงโอลกาพอพระทัยกับคณะราชทูตใหม่และจะเสด็จไปอิสโครอสเทน ขอให้ชาวเดเรวา “เตรียมสุราหมักน้ำผึ้งจำนวนมากไว้ ณ เมืองที่พวกเจ้าสังหารสามีของข้า เพื่อที่ข้าจะร่ำไห้เหนือสุสานของเขา และจัดงานศพเลี้ยงอาหาร” มาถึงตรงนี้ เราทั้งหลายคงรู้แล้วว่าคำขอของพระนางไม่ชอบมาพากล แต่โชคร้าย เจ้าชายมัลไม่ได้ทรงสงสัย เมื่อถึงวันนัดหมาย พระองค์เสด็จนำชาวเดเรวาไปร่วมงานเลี้ยงหลังจากพิธีไว้อาลัยศพเสร็จสิ้น และเจ้าหญิงโอลกาทูลว่า ราชทูตของเจ้าชายมัลจะขนพระราชทรัพย์ตามมาทีหลังโดยมีกลุ่มองครักษ์ของอดีตพระสวามีคอยดูแลความปลอดภัย ทุกคนร้องรำทำเพลงและกินเลี้ยงอย่างเอร็ดอร่อย แต่ชาวคีฟวันรุสกลับไม่ได้แตะต้องสุราสักเท่าใด รอจนชาวเดเรวามึนเมาและหลับกันแล้ว เจ้าหญิงโอลกาจึงโปรดให้ชาวคีฟวันรุสชักอาวุธออกมาลงมือสังหารศัตรู พงศาวดารปฐมยุค (Povesti vremeninyxu letu - The Primary Chronicle) ระบุว่า คืนนั้นเจ้าชายมัลสิ้นพระชนม์พร้อมชาวเดเรวาราว 5,000 คน
ไม่มีอะไรต้องปิดบังเสแสร้งกันอีกต่อไปแล้ว ชาวเดเรวาที่รอดชีวิตหนีกลับไปยังอิสโครอสเทนเพื่อให้ชาวเมืองเตรียมรับมือสงคราม ส่วนเจ้าหญิงโอลกาก็เสด็จกลับกรุงเคียฟพร้อมข้าราชบริพารของนางไปจัดทัพออกมาเช่นกัน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระนางจะทรงปกครองคีฟวันรุส ไม่ใช่บุรุษหน้าไหนทั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยูเครนที่มีสตรีขึ้นครองราชย์ และข่าวแปลกประหลาดนี้ก็แพร่ออกไป
เจ้าชายสเวียโตสลาฟในฐานะรัชทายาททรงดำรงตำแหน่งจอมทัพ เจ้าหญิงโอลกาจึงโปรดให้พระองค์ทรงม้าเสด็จนำหน้าทหาร และมีบรรดาแม่ทัพนายพลคอยเฝ้าดูแล เมื่อถึงสมรภูมิเดเรวา เจ้าชายน้อยก็ทรงขว้างหอกออกไปทางศัตรูก่อนใคร เนื่องจากยังทรงพระเยาว์มาก พระพาหาไม่มีพระกำลังพอ หอกเลยเกือบจะบาดโดนหูม้าทรง และก็ตกลงบนพื้นใกล้ ๆ ทำให้ทหารส่วนใหญ่ไม่แน่ใจนัก แต่นายพลสำคัญสองคน ได้แก่ สไวนัลด์ (Sveinald) และอัสมุนด์ (Asmund) ยืนยันว่าเป็นสัญญาณเปิดสมรภูมิแล้ว และนำทัพเข้าฟาดฟันชาวเดเรวา จนยึดครองชุมชนส่วนใหญ่ได้ราบคาบ เหลือตัวเมืองอิสโครอสเทนซึ่งมีกำแพงสูง จึงล้อมไว้และตัดเส้นทางการค้าขายจากนอกเมืองเพื่อกดดันให้ยอมแพ้
หนึ่งปีผ่านไป เมืองอิสโครอสเทนยากจนลงเต็มทีแต่ยังอาศัยพืชผลปศุสัตว์ภายในเมืองยังชีพผู้คนอยู่ต่อไปได้ การล้อมเมืองที่ยืดเยื้อเริ่มทำให้กองทัพคีฟวันรุสที่จากบ้านมานานกระวนกระวาย เจ้าหญิงโอลกาจึงโปรดให้เรียกนายพลสำคัญมาเข้าเฝ้าและมีพระดำริด้านกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง ดูเหมือนว่าในพระทัยของพระนางแล้ว ชื่ออิสโครอสเทนจะต้องถูกถอนรากถอนโคนไปจากโลกใบนี้ จึงทรงทำทียื่นข้อเสนอแก่ชาวเมืองอิสโครอสเทนว่า จะทรงเลิกทัพและไม่มาก่อสงครามอีก หากเมืองอิสโครอสเทนยอมตกเป็นเมืองขึ้นและถวายบรรณาการเหมือนกับเมืองอื่น ๆ ของชาวเดเรวารายรอบ ชาวเมืองอิสโครอสเทนตกลง แต่ขอต่อรองเรื่องบรรณาการเพราะพวกเขาก็ขัดสน เจ้าหญิงโอลกาจึงทรงกำหนดการส่งบรรณาการอาหารเป็นเพียงนกที่หาได้ง่ายตามบ้านเรือน คือนกพิราบและนกกระจอก อย่างละ 3 ตัวจากทุกบ้าน
หลังจากได้รับนกจำนวนมากแล้ว เจ้าหญิงโอลกามีพระบัญชาให้ทหารผูกห่อผ้าบรรจุกำมะถันเข้ากับขานกแต่ละตัว ทั้งนี้ กำมะถันเป็นสารไวไฟที่เมื่อฟุ้งกระจายแล้วเจอประกายไฟจะสามารถระเบิดได้ง่าย จากนั้นก็โปรดให้ปล่อยพวกมันไปในตอนค่ำ นกพิราบและนกกระจอกเหล่านั้นล้วนบินเข้าเมืองอิสโครอสเทนเพื่อกลับรังตามธรรมชาติ พาห่อกำมะถันไปตกตามที่ต่าง ๆ ในเมืองซึ่งจุดไฟให้ความอบอุ่นและแสงสว่างไว้ยามกลางคืน ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน และชาวอิสโครอสเทนจำเป็นต้องเปิดประตูเมืองเพื่อหนีตาย กองทัพคีฟวันรุสจึงได้ชัยชนะและกวาดต้อนผู้คนมาเป็นทาส ปิดฉากยุคสมัยแห่งการแก้แค้นแด่เจ้าชายอิกอร์
ภาพที่ 2: การแก้แค้นสี่ครั้งของโอลกา จากหนังสือพงศาวดารรัดสิวิลล์ (Radziwill Letopis)
แหล่งที่มาภาพ: Shakko. (2016, August 3). Revenge of S. Olga (Radzivill Chronicle). Wikimedia Commons. Retrieved March 8, 2022, from https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Revenge_of_S._Olga_(Radzivill_Chronicle).jpg
เจ้าหญิงโอลกาทรงปกครองอาณาจักรคีฟวันรุสผ่านร้อนผ่านหนาว โปรดให้ตั้งเมืองใหม่ ๆ ปักหลักเขตแดน กำหนดพื้นที่ล่าสัตว์ และศูนย์กลางการค้าขายเพิ่มเติมตามแนวแม่น้ำมัสตา (Msta) และแม่น้ำลูกา (Luga) เพื่อกระจายความเจริญและมีหลายด่านใหญ่ป้องกันข้าศึกก่อนจะเข้าถึงเมืองหลวง โครงสร้างการติดต่อเหล่านี้นับเป็นจุดเริ่มต้นการกำหนดเขตอิทธิพลของอาณาจักรคีฟวันรุสให้ชัดเจนขึ้น นำไปสู่การรวมชาติของชาวไวกิ้งเผ่าต่าง ๆ ในสมัยต่อมา เช่น สาธารณรัฐนอฟโกรอด (Novgorodskae zemle - The Novgorod Republic) สมัยศตวรรษที่ 12-15 ครอบคลุมพื้นที่อ่าวฟินแลนด์ไปจนถึงเทือกเขาอูราล
แต่อย่างไรก็ตาม สมัยของเจ้าหญิงโอลกามีมหาอำนาจที่ไวกิ้งไม่อาจใช้กำลังต่อกรได้อยู่ คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ซึ่งมักมาเกณฑ์ชาวคีฟวันรุสไปเป็นทหาร ในปี ค.ศ. 948 เจ้าหญิงโอลกาจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 7 (Constantine VII) เพื่อเจริญพระราชไมตรี และศึกษาสังคมศาสนาวัฒนธรรมของไบแซนไทน์ ที่พระนางสนพระทัยเป็นพิเศษ คือ ศาสนาคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระนางมาก่อนแล้ว เมื่อได้ทรงประสบพบพักตร์และมีพระราชปฏิสันถารกันก็ยิ่งพอพระทัยมากขึ้น ตรัสว่าพระนางทรงคู่ควรจะเป็นจักรพรรดินีของพระองค์
เจ้าหญิงโอลกาทูลว่า คนนอกรีตนั้นไม่อาจแต่งงานกับคนคริสต์ หากจะเปลี่ยนให้พระนางเป็นคริสต์ก็ย่อมได้ แต่ว่าพระนางทรงเป็นเจ้า จะต้องทรงมีพ่อทูนหัวหรือแม่ทูนหัวทางศาสนาเป็นเจ้าที่พระยศสูงกว่าพระนางเท่านั้น จักรพรรดิคอนสแตนตินจึงโปรดให้จัดพิธีรับศีลล้างบาป (Baptism) โดยพระองค์ทรงเป็นพ่อทูนหัว และเชิญสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลมาประกอบพิธี เฉลิมพระนามคริสต์แก่พระนางว่า เฮเลนา (Helena) แต่แล้วเมื่อพิธีเสร็จสิ้น และจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงสู่ขอเจ้าหญิงโอลกาอีกครั้ง พระนางกลับทูลว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตามกฎหมายพ่อกับลูกไม่อาจแต่งงานกัน และบัดนี้ทรงเป็นพระธิดาของพระจักรพรรดิแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงพิจารณาแล้วไม่สามารถคัดค้านได้จริง จึงตรัสยอมรับว่า “โอลกาเอ๋ย เจ้าลวงข้าสำเร็จแล้วด้วยไหวพริบ!”
ภาพที่ 3: ภาพโอลการับศีลล้างบาป โดยศิลปินรัสเซีย เซอร์เก คิริลอฟ
แหล่งที่มาภาพ: RBTH. (2022, February 15). Why old Russia chose Eastern Christianity as its religion. Big News Network.com. Retrieved March 2, 2022, from https://www.bignewsnetwork.com/news/272299377/why-old-russia-chose-eastern-christianity-as-its-religion
หลังจากทรงนับถือคริสต์แล้ว เจ้าหญิงโอลกาทรงลดความรุนแรงอำมหิตลงมาก ทรงศึกษาคำสอนและศรัทธาอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งมีพระประสงค์ให้พระโอรสทรงนับถือคริสต์ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าชายสเวียโตสลาฟซึ่งเริ่มเจริญชันษาขึ้นแล้วทรงไม่เห็นพ้อง เพราะกลุ่มนักรบที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด เรียกว่า ดรูซิห์นา (Druzhina) ล้วนนับถือเทพเจ้าสลาฟท้องถิ่น พวกเขาคงจะเยาะหยันพระองค์หากทรงงมงายในพระเจ้าแบบไบแซนไทน์ เจ้าหญิงโอลกาทรงยอมรับในเหตุผลนี้และไม่ทรงเกลี้ยกล่อมอีก
อย่างไรก็ดี ต่อมาพระนางทรงอบรมเลี้ยงพระนัดดา คือ เจ้าชายโวโลดิเมียร์ (Volodymyr) ให้ไม่ทรงต่อต้านศาสนาคริสต์ ทำให้หลังจากได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เจ้าชายโวโลดิเมียร์โปรดให้ส่งราชทูตออกไปศึกษาศาสนาประจำจักรวรรดิสำคัญในทวีปขณะนั้น ได้แก่ อิสลาม ยิว คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และคริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์ แล้วสุดท้าย พระองค์ตัดสินพระทัยเลือกเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์ในปี ค.ศ. 988 ทรงเป็นเจ้าไวกิ้งพระองค์แรกที่ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงไบแซนไทน์ รวมถึงมีพระราชโองการให้เปลี่ยนศาสนาประจำอาณาจักรคีฟวันรุสเป็นคริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์ด้วย ซึ่งก็คือศาสนาหลักของชาวยุโรปตะวันออกและรัสเซียในทุกวันนี้
เจ้าหญิงโอลกาสิ้นพระชนม์ในกรุงเคียฟเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 969 ในฐานะนักปกครองที่วางรากฐานบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เป็นสตรีคนแรกที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ และเป็นชาวคริสต์คนแรกในประวัติศาสตร์ยูเครนเช่นกัน พระนางจึงทรงได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์แม่หม้ายและผู้เปลี่ยนศาสนาในปี ค.ศ. 1547 (ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ยุคราชวงศ์สุพรรณภูมิ) ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสำหรับนิกายออร์ธอดอกซ์เท่านั้น แต่นิกายโรมันคาทอลิก ลูเธอรัน รวมไปถึงนิกายย่อยอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศผู้พูดภาษาสลาฟก็ยกย่องเป็นนักบุญเช่นกัน ทั้งยังกำหนดวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์เป็นวันนักบุญโอลกา (St. Olga Feast Day) เฉพาะในยูเครนและรัสเซียมีสถานที่สำคัญรวม 20 แห่งที่ตั้งชื่ออุทิศแด่พระนาง เช่น มหาวิหารนักบุญโอลกาในกรุงเคียฟ สนามบินเจ้าหญิงโอลกาในเมืองปัสคอฟที่ประสูติ อนุสาวรีย์ศตวรรษแห่งรัสเซียในเมืองนอฟโกรอด เป็นต้น
ภาพที่ 4: อนุสาวรีย์นักบุญโอลกา ที่จัตุรัสนักบุญมิคาเอลในกรุงเคียฟ
แหล่งที่มาภาพ: Lynch, G. (2020, April 25). St Olga of Kiev statue, St Michael's square. Flickr. Retrieved March 2, 2022, from https://www.flickr.com/photos/gi0rtn/49815985768
ไม่บ่อยนักที่เราจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศยูเครน หรือกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอยต่อระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรป เมื่อใดที่เห็นเข้ามาอยู่ในพื้นที่ข่าวก็มักเป็นเรื่องสงครามอันน่าหดหู่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ภูมิภาคนี้เก่าแก่และงดงามมาก โดยเฉพาะกรุงเคียฟ ซึ่งมีชาวยูเครนท้องถิ่นอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของชนเผ่าจากเอเชียกลางมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 5 และต่อมากลายเป็นศูนย์กลางอาณาจักรคีฟวันรุสภายใต้การปกครองของไวกิ้ง นับว่าโบราณกว่าเมืองหลวงของรัสเซียและยุโรปหลายๆ เมือง ผสมผสานภูมิปัญญาจากหลายชนชาติไว้อย่างรุ่มรวย พงศาวดารเรื่องเจ้าหญิงโอลกาเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ แสดงประสบการณ์การต่อสู้ ความเจ็บแค้น ผู้นำที่ดูแปลก การรับมือกับมหาอำนาจ และอิทธิพลศาสนาไว้อย่างครบรส
แหล่งค้นคว้าข้อมูล
Craughwell, T. J. (2006). Saints behaving badly: The cutthroats, crooks, trollops, con men, and devil-worshippers who became saints. Doubleday.
Cross, H. S. & Sherbowitz-Wetzer, O. P. (Trans.). (1953, April 1). The Russian Primary Chronicle, Laurentian Text. The Monumenta Germaniae Historica Library (MGH). Retrieved March 2, 2022, from https://www.mgh-bibliothek.de/dokumente/a/a011458.pdf
Encyclopedia.com. (2019). Olga (C. 890–969). Encyclopedia Women: Encyclopedias almanacs transcripts and maps. Retrieved March 2, 2022, from https://www.encyclopedia.com/women/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/olga-c-890-969
Order of Princess Olga. Academic Dictionaries and Encyclopedias. (2010, November 28). Retrieved March 2, 2022, from https://en-academic.com/dic.nsf/enwiki/11861035
Stutz, V., & Horodysky, L. (2021, March 24). Celebrating the Kyivan princesses for women's history month. U.S. Ukraine Foundation. Retrieved March 9, 2022, from https://usukraine.org/content/celebrating-the-kyivan-princesses-for-womens-history-month/
Museum Core Writer