ทุกวันนี้รักไม่มีความแตกต่าง รักก่อร่างสร้างในใจทั้งชายหญิง
หากนารีมิมีชายให้พึ่งพิง นางจะอิงแอบอกซุกซบกัน
ฉัปตินะมัส แปลโดย กฤษณรัตน์
บทร้อยกรองข้างต้นเป็นตอนหนึ่งในฉัปตินะมัส (Chaptinamas) บทกวีภาษาอูร์ดู (Urdu) เขียนโดยเชค กะลันดาร์ บักช์ (Shaikh Qalandar Baksh) ภายใต้นามปากกาชูร์อัต (Jur'at) เป็นการเกริ่นนำถึงความรักระหว่างสุขโข (Sukkho) และมุขโข (Mukkho) ตัวละครเอกซึ่งเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วทั้งคู่ ทั้งสุขโขและมุขโขต่างเปลี่ยวเหงาที่สามีไม่อยู่บ้าน ทั้งคู่จึงเริ่มต้นสัมพันธ์สวาทด้วยกัน กลายเป็นความรักต้องห้ามตั้งแต่นั้น
หากอ่านมาจนถึงตอนนี้ หลายคนคงคิดว่าความรักระหว่างสตรีทั้งสองเป็นพล็อตละครหญิงรักหญิงสักเรื่อง แต่ใครเลยจะรู้ว่า เรื่องราวของสุขโขและมุขโขถูกเขียนขึ้นในฮินดูสถาน (Hindustan) หรือประเทศอินเดียมากว่าสามร้อยปีที่แล้ว ดังที่ทุกคนทราบกันดี อินเดียเป็นประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก บทบาทสตรีอินเดียมักถูกมองว่าด้อยกว่าบุรุษแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการถูกเรียกร้องสินสอดอย่างไม่เป็นธรรม การถูกกีดกันในหน้าที่การงาน หรือแม้แต่การบังคับคลุมถุงชนที่ยังคงมีให้เห็นในหลายชุมชน ไม่ใช่แค่อินเดียในปัจจุบันเท่านั้น แม้แต่ฮินดูสถานในอดีตก็เคยถูกชาวตะวันตกมองว่าเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ที่กดขี่สตรีเพศอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้พิธีสตี (Sati) หรือการเผาตัวตายตามสามีและการฆ่าตัวตายหมู่ในพิธีเจาฮาร์ (Jauhar) จึงถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในสมัยอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม น้อยคนนักที่ทราบว่า ฮินดูสถานในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 เคยมีกลุ่มนักประพันธ์ที่คิดค้นงานเขียนรูปแบบใหม่ แทนที่จะเขียนยกย่องวีรกรรมของบุรุษทั่วไป พวกเขากลับแต่งบทกวีที่มุ่งเน้นการบรรยายชีวิตประจำวันของสตรี ความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงเหล่านั้น รวมถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกัน บทกวีรูปแบบดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า เรขตี (Rekhti) แม้ว่า
เรขตีจะเป็นที่นิยมเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผลงานเหล่านั้นกลับถูกกล่าวขวัญต่อมาในฐานะงานเขียนสตรีนิยมยุคบุกเบิกของอินเดีย เพราะเหตุใดเรขตีจึงได้รับการสรรเสริญและถูกวิจารณ์ว่าเป็นงานของกวีหัวขบถในเวลาเดียวกันนั้น เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน
บทกวีเรขตีถือกำเนิดขึ้นในเมืองลัคเนา (Lucknow) เมืองหลวงรัฐอุตตรประเทศในปัจจุบัน ลัคเนาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางศิลปะและนาฏกรรม นะวับ (Nawab) แห่งแคว้นอะวัธ (Awadh) ผู้ปกครองลัคเนาโปรดปรานการแสดง
รูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการขับกะซัล (Ghazal) บทกวีภาษาอูร์ดูและเปอร์เซียที่บรรยายถึงความรักและพลัดพราก ลัคเนาในคราวนั้นจึงเป็นแหล่งรวมกวียอดฝีมือจากทั่วทั้งฮินดูสถาน เหล่ากวีได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงที่ชื่นชอบบทประพันธ์ ทำให้พวกเขามีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป และในบรรดากวีทั้งหลาย ซาดัต ยาร์ ข่าน (Saadat Yaar Khan) กวีหนุ่มจากเดลีและอินชา อัลเลาะห์ ข่าน (Insha Allah Khan) สหายสนิทก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าในกลุ่มกวีรุ่นใหม่ด้วยบทประพันธ์รูปแบบเรขตา (Rakhta) หรือบทกวีที่เขียนขึ้นประกอบการแสดงโดยมีผู้ขับร้องเป็นบุรุษ
ภาพที่ 1: ลัคเนาในคริสต์ศตวรรษที่ 18
แหล่งที่มา: Lyon & Turnbull. Palace Scene with High Wire Walkers. (2009). [Online]. Accessed 2022 Mar 21. Available from: https://www.lyonandturnbull.com/auction/lot/84-a-late-18th-century-lucknow-school-painting/?lot=94813&sd=1
ข่านทั้งคู่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเขียนเรขตา ทว่าซาดัต ยาร์ ข่านต้องการเขียนอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายกว่านั้น ข่านในวัยหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นบุรุษเจ้าสำราญที่ชอบเที่ยวซ่องโสเภณีชั้นสูง เขาได้รับรู้เรื่องราวหลากหลายจาก
หลังม่านการแสดงที่ปิดฉาก แรงบันดาลใจจากชีวิตส่วนตัวของผู้หญิงเหล่านั้นทำให้ข่านเริ่มเขียนบทกวีรูปแบบใหม่โดยให้ชื่อว่า เรขตี ซึ่งเป็นการเล่นคำจากบทกวีเรขตาที่มีอยู่เดิม เรขตีถูกเขียนขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงขับร้อง เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของสตรี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของในตลาด การเที่ยวเล่นในงานเทศกาล หรือแม้แต่การร่วมรัก แตกต่างจากบทกวีอูร์ดูร่วมสมัยที่นิยมบรรยายเรื่องราวในรั้วในวังและมีตัวละครนำเป็นบุรุษ ซาดัต ยาร์ ข่านเผยแพร่บทกวีเรขตีภายใต้นามปากกา รังกีน (Rangin) และภายในเวลาไม่นาน อินชา อัลเลาะห์ ข่านก็หันมาเขียนบทกวีรูปแบบเดียวกัน ภายใต้นามปากกา อินชา (Insha) ทั้งสองจึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้คิดค้นและพัฒนาบทกวีเกี่ยวกับชีวิตสตรีเป็นคนแรกในลัคเนา
ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 เคยมีกวีสายภักติ (Bhakti) ในฮินดูสถานที่แต่งบทประพันธ์เกี่ยวข้องกับสตรีหลายคน อย่างไรก็ตาม เรขตีแตกต่างบทกวีเหล่านั้น กวีภักตินิยมเขียนถึงความรักบริสุทธิ์ของสตรีที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่เรขตีบรรยายถึงความรักของมนุษย์ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น เรขตีไม่ได้มีข้อจำกัดว่าตัวละครจะต้องเป็นสตรีชั้นสูงเท่านั้น บทกวีของรังกีนและสหายมีตัวดำเนินเรื่องที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนรับใช้ หรือแม้แต่โสเภณี หลายครั้งที่ตัวละครต่างสถานะแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกัน เรขตีจึงเป็นบทกวีที่ก้าวล้ำเกินสมัยในขณะนั้น และเป็นรูปแบบการประพันธ์ที่ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน
ภาพที่ 2: โสเภณีชั้นสูงในลัคเนา
แหล่งที่มา: Tasveer Journal. A long time was taken for make - up and no effort was spared to preen and beauty. (2017). [Online]. Accessed 2022 Mar 21. Available from: https://www.dailyo.in/arts/courtesans-awadh-sex-workers-music-of-tawaifs/story/1/17634.html
นอกจากรังกีนและอินชาแล้ว กลุ่มกวีผู้เขียนเรขตาต่างหันมาแต่งเรขตีควบคู่กัน นักเขียนคนสำคัญในสมัยนั้นได้แก่ โมฮัมหมัด ซิดดิก (Mohammad Siddiq) นามปากกากาอีส (Qais) อะหะหมัด อาลี (Ahmad Ali) นามปากกานิสบัต (Nisbat) และเชค กะลันดาร์ บักช์หรือชูร์อัตที่กล่าวถึงในข้างต้น บันทึกร่วมสมัยระบุว่ามีสตรีหลายคนในลัคเนาประพันธ์บทกวีเรขตีเช่นกัน กวีเหล่านั้นคือโสเภณีชั้นสูงที่อ่านออกเขียนได้และมีทักษะในการร้องรำ ทว่านับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีงานเขียนชิ้นใดหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน เราจึงไม่อาจรู้ว่ากวีเรขตีที่เป็นสตรีมีลีลาการเขียนเช่นใด
แม้ว่าเรขตีจะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงในลัคเนา ทว่ารังกีนและสหายก็ยังถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนโดยกวีร่วมสมัย
หลายคนมองว่ากวีชายเขียนเรขตีขึ้นมาเพื่อเย้ยหยันชีวิตของสตรี นอกจากนี้บทกวีที่บรรยายถึงสัมพันธ์ลับในห้องนอนยังเป็นการหมิ่นเกียรติสุภาพสตรีอย่างถึงที่สุด พวกเขามีความเห็นว่าหนุ่มเจ้าสำราญอย่างรังกีนเขียนเรขตีขึ้นเพื่อความสนุกของตัวเอง แทนที่จะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของผู้หญิงอย่างที่ควรเป็น อย่างไรก็ตาม กวีสายเรขตีทั้งหลายยังคงแต่งบทประพันธ์ต่อไปโดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
ภายหลังการเสียชีวิตของรังกีนและสหายต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 บทกวีเรขตีก็เข้าสู่ยุคเสื่อมตามลำดับ สาเหตุสำคัญเกิดจากแรงกดดันทางสังคม ฮินดูสถานตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในค.ศ. 1858 กวีที่เคยได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงต้องกลายมาเป็นคนตกอับ ทว่าในโลกของการประพันธ์ ยุคสมัยใหม่กลับเริ่มขึ้นโดยกวีชาตินิยม พวกเขาเรียกยุคนี้ว่า สวตันตระ (Svatantra) ที่มีความหมายว่าอิสรภาพ กวีสายสวตันตระมักเขียนงานเกี่ยวกับความรักชาติ พวกเขามองว่าเรขตีเป็นบทกวีไร้สาระที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใดในการเรียกร้องเอกราช เรขตีจึงเสื่อมความนิยมจนสาบสูญจากวงการการประพันธ์ ครั้นมีการจัดหมวดหมู่บทกวีอูร์ดูปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรขตีกลับไม่ถูกกล่าวถึง จนกระทั่งหลังอินเดียได้รับเอกราชในค.ศ. 1947 บทกวีเรขตีได้ถูกนำมาชำระใหม่ นักวิชาการจึงตระหนักในที่สุดว่า แท้จริงแล้วเรขตีมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างหาค่าไม่ได้ บทกวีมีการบรรยายถึงฉากที่มีอยู่จริงในลัคเนา ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำโคมตี (Gomti) หรือมัจฉี ภวัน (Macchi Bhawan) ป้อมโบราณที่เหลือเพียงฐานรากในปัจจุบัน นอกจากนี้ในส่วนของชีวิตประจำวัน กวียังบรรยายอย่างละเอียดจนทำให้ผู้อ่านรุ่นหลังเข้าใจเรื่องราวของผู้หญิงในอดีต รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของพวกหล่อนที่มีต่อบทบาทและสภาพสังคมในขณะนั้น เรขตีจึงถูกยกย่องว่าเป็นงานเขียนชั้นครูควบคู่กันกับกะซัลประเภทอื่นๆ
ภาพที่ 3: ภาพจำลองชีวิตประจำวันของสตรีฮินดูสถานในอดีต
แหล่งที่มา: Sangat Review. Mohammad Saad: Rekhti - Poetry of Subversion. (n.d.). [Online]. Accessed 2022 Mar 21. Available from: http://www.sangatreview.org/blog/2015/11/20/mohammad-saad-rekhti-poetry-of-subversion/
ทุกวันนี้ แม้ว่าเรขตีจะยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการว่าเป็นบทกวีสตรีนิยมยุคแรกเริ่มหรือเป็นเพียงการเล่นสนุกของนักประพันธ์ชายร่วมสมัย แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า เรขตีไม่มีคุณค่าในหน้าประวัติศาสตร์อินเดีย บทร้องรำเรขตีถูกชำระใหม่เพื่อการแสดงและการศึกษา ทำให้ผู้คนในปัจจุบันตระหนักว่า ครั้งหนึ่ง ณ ประเทศที่ถูกวิจารณ์เรื่องความเท่าเทียม ยังคงมีกลุ่มนักเขียนที่ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของสตรีจนก่อเกิดบทกวีรูปแบบใหม่ที่ก้าวล้ำเกินกาลสมัย และกลายเป็นหลักฐานการมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวของสตรีรากหญ้าในอดีต
แหล่งค้นคว้าอ้างอิง
Vanita, Ruth. Gender, Sex, and the City: Urdu Rekhti Poetry in India, 1780 – 1870. New York: St.
Martin’s Press, 2012.
Vanita, Ruth and Kidwai, Saleem (Editors). Same-Sex Love in India. New York: St. Martin Press,
2000.
กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ