Museum Core
โมเสกในพระราชวังที่สาบสูญ
Museum Core
20 มิ.ย. 65 431
ประเทศตุรกี

ผู้เขียน : กระต่ายหัวฟู

 

 

ภาพที่ 1 ส่วนหนึ่งของโมเสกที่จัดแสดง ตรงกลางเป็นรูปเด็กวัยรุ่นสี่คนกำลังเล่นตีลูกล้อ

มีการตกแต่งขอบเป็นลวดลายด้านล่าง ภาพนี้มีขนาดจากขอบบนถึงล่างประมาณ 4-5 เมตร

 

          พระราชวังหลวงของกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) เมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอิสตันบุล (Istanbul) ประเทศตุรกี (Turkey) ในบริเวณใกล้กับที่ตั้งของฮาเจียโซเฟีย (Hagia Sophia) และฮิปโปโดม (Hippodrome) เมื่อกว่าพันแปดร้อยปีก่อน...พระราชวังนี้ในยามที่รุ่งเรืองกินเนื้อที่กว่าหนึ่งแสนตารางเมตร  พระราชวังหลวงเคยเป็นที่ประทับและบริหารราชการขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์นานถึงเจ็ดร้อยปี ปัจจุบันเสี้ยวส่วนเล็กๆที่ถูกค้นพบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์โมเสกของพระราชวังหลวง (Museum of Great Palace Mosaics)

 

           พระราชวังหลวงเริ่มสร้างในปี ค.ศ.324 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.330 ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Justinian I the Great (527-565)) พระราชวังถูกทำลายย่อยยับ (พร้อมโบสถ์ฮาเจียโซเฟียหลังเดิม) ในเหตุการณ์จลาจลครั้งใหญ่ที่เรียกว่ากบฏนิกา (Nika revolt) จักรพรรดิจัสติเนียนจึงได้สร้างพระราชวัง (และโบสถ์) ขึ้นใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม  จักรพรรดิองค์ต่อๆมาใช้เป็นที่ประทับและบริหารราชการ รวมทั้งได้เสริมสร้างต่อเติมอาคาร ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้สอยไปตามพระราชนิยม โดยการสร้างอาคารใหม่และการใช้ประโยชน์ขยายตัวไปทางตะวันตกเฉียงใต้เรื่อยๆ ส่วนอาคารเดิมทางตะวันออกก็ใช้งานน้อยลง เป็นดังนี้หลายร้อยปี จนพระราชวังกินพื้นที่ตั้งแต่ฮิปโปโดมลงไปตามลาดเขาจนจรดป้อมปราการชายทะเลทางด้านใต้และด้านตะวันตก ครั้นถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น คือจักรพรรดิและครอบครัวนิยมไปพำนักที่พระราชวังบลาเครเน (Palace of Blachernae) ซึ่งเป็นพระราชวังชานเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคอนสแตนติโนเปิล สันนิษฐานกันว่าเป็นเพราะพระราชวังเดิมตั้งอยู่ใกล้ทะเลเปิดเกินไปทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ตั้งแต่นั้นมาแม้ว่าพระราชวังหลวงจะยังคงใช้ในงานพิธีและงานราชการแต่ก็ทรุดโทรมลงเป็นลำดับ เมื่อพวกครูเสดยึดครองคอนสแตนติโนเปิลระหว่างปี คศ.1204-1261 มีการปล้นสะดมและรื้อถอนชิ้นส่วนต่างๆไปขาย จักรพรรดิไบแซนไทน์หลังจากนั้นจึงย้ายไปประทับที่พระราชวังบลาเครเนเป็นการถาวร ในปี ค.ศ.1453 เมื่อสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Sultan Mehmed II the Conqueror) แห่งออตโตมันพิชิตคอนสแตนติโนเปิล ทรงพบสภาพพระราชวังหลวงที่ถูกทิ้งร้างพังทลายแทบไม่เหลือซาก

 

ภาพที่ 2 ผังอาคารตามที่นักโบราณคดีสันนิษฐานและบริเวณที่ขุดพบชิ้นส่วนภาพโมเสก

 

          หลังจากนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ของพระราชวังหลวงถูกสร้างทับด้วยอาคารใหม่ เช่น มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmed Mosque หรือมัสยิดสีน้ำเงิน) และอาคารอื่นๆในยุคออตโตมันมาจนถึงอาคารบ้านเรือนในยุคปัจจุบัน การสำรวจทางโบราณคดีจึงทำได้อย่างจำกัด การขุดค้นในปี ค.1935-1938 และปี ค.1952-1954 ได้ขุดพบส่วนที่หลงเหลืออยู่ของพระราชวังหลวงซึ่งคาดว่าเป็นส่วนพื้นของระเบียงฉันนบถหรือเพอริสไตล์ (peristyle ระเบียงมีหลังคาคลุมสร้างล้อมรอบพื้นที่ตรงกลางที่เปิดโล่ง เช่นสวน เป็นที่นิยมในสมัยโรมัน) บริเวณที่ขุดพบนี้กว่าจะได้มีการบูรณะอย่างจริงจังก็ล่วงเลยมาถึงปี ค.1983 และพิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี ค.1987 ส่วนการบูรณะก็ยังทำต่อมาจนถึงปี ค.1997

 

 

ภาพที่ 3 การต่อสู้ของช้างกับสิงโต

 

 

          สิ่งที่ขุดพบคือพื้นของระเบียงที่ทำเป็นภาพโมเสกซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (ค.ศ.527-565) แม้ว่าชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่อย่างกระจัดกระจายคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 250 ตารางเมตร จะไม่ถึงร้อยละ 15 ของพื้นผิวระเบียงตามแผนผังที่นักโบราณคดีคาดไว้ แต่ก็ได้แสดงให้เราเห็นภาพอันเลือนลางของพระราชวังในยุคไบแซนไทน์ตอนต้น เห็นตัวอย่างของเทคนิคการสร้างพื้นโมเสกและรูปแบบศิลปะ

 

          จากการจัดวางภาพแสดงว่าผู้ชมชมภาพจากบริเวณพื้นที่ตรงกลาง (ซึ่งอาจเป็นสนามหรือสวน) ไม่มีภาพใดที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา แต่เป็นภาพของพืชพรรณและผลไม้ที่แปลกตา สัตว์นานาชนิดทั้งที่เป็นสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง และสัตว์ในเทพนิยาย ภาพแสดงทิวทัศน์และชีวิตในชนบท การล่าสัตว์ การละเล่นของเด็กๆ เขานับจำนวนคนและสัตว์ในภาพทั้งหมดได้ 150 คน+ตัว การจัดวางภาพต่างๆไม่ได้สนใจถึงความต่อเนื่องของเรื่องราว เช่นอาจมีภาพเด็กอยู่ต่อจากภาพสัตว์กำลังล่าเหยื่อ มีผู้สันนิษฐานว่าฉากต่างๆอาจจำลองมาจากชีวิตในอาณานิคมของไบแซนไทน์ในแอฟริกาเหนือ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีคำอธิบายภาพ (ภาพโมเสกในโบราณสถานหลายแห่งมีคำอธิบายอยู่) อาจแสดงว่าคนดูในสมัยนั้นเข้าใจอยู่แล้วว่าภาพกำลังเล่าถึงอะไร

 

ภาพที่ 4 รูปเด็กไล่ต้อนห่าน มีแมวนั่งอยู่ทางริมด้านขวา โมเสกชุดนี้มีรูปเด็กตัวกลมป้อมน่ารักแบบนี้อยู่หลายรูป

 

ภาพที่ 5 ลิงจับนก

 

          รูปนี้พิพิธภัณฑ์อธิบายว่าเป็นรูปลิงไร้หางยืนอยู่ในต้นอินทผลัม ลิงทำงานที่แสนเอาจริงเอาจังกำลังพยายามจับนกที่กระพือปีกอยู่บนยอดไม้ เพื่อนำมาใส่ในกรงไม้สะพายหลังที่มีเหยี่ยวเกาะอยู่ ผู้เขียนชอบภาพนี้มาก แต่สารภาพตามตรงว่าทีแรกผู้เขียนดูแล้วไพล่ไปเข้าใจว่าลิงน่าจะกำลังใช้ไม้สอยพวงอินทผลัม นึกไม่ออกว่าจากท่าทางและกิ่งไม้นั้นจะใช้จับนกได้อย่างไร เพราะภาพตรงนั้นขาดหายไป ส่วนนกตรงยอดไม้นั้นออกจะมองเห็นยากอยู่สักหน่อย และยังสงสัยว่าเหยี่ยวที่เกาะอยู่เป็นเพื่อนลิงมีบทบาทอะไรกับงานนี้

 

           ข้างๆ รูปลิงมีรูปที่โหดเลือดโชกสองรูป เสือดาวรุมกัดกวาง กับรูปกริฟฟิน (Griffin) กำลังคาบเหยื่อ กริฟฟินตัวนี้มีเขา ลักษณะเป็นเสือกริฟฟิน (tiger griffin) ไม่ใช่สิงโตและไม่ได้มีจงอยปากแบบนก ในภาพชุดเดียวกันนี้มีรูปกริฟฟินอีกหลายรูปและมีลักษณะแตกต่างกันไป คนโบราณแสดงภาพชีวิตสัตว์ป่าและสัตว์ในตำนานกำลังล่าสัตว์อยู่รวมๆ กันราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันในธรรมชาติ

 

            พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูแวบแรกนึกว่าจะจืดๆ แต่เข้าไปแล้วกลับเพลิดเพลินกับการดูชีวิตคน สิงสาราสัตว์และฉากบ้านเรือนรวมถึงชีวิตประจำวันในชนบทเมื่อพันห้าร้อยปีมาแล้วจนเวลาล่วงเลยไปอย่างไม่รู้ตัว ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อาจดูหลบเร้นอยู่บ้างเพราะต้องอ้อมไปทางด้านหลังของมัสยิดสีน้ำเงินและเดินผ่านส่วนที่เป็นตลาดขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ลำบากเกินที่แวะไปดูสักหน่อยเพื่อจินตนาการถึงพระราชวังในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ที่มีอายุยืนนานมากแห่งหนึ่งของโลก

 

กระต่ายหัวฟู

 

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ