สัญลักษณ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกของเกาะนาโอชิมะ ประเทศญี่ปุ่น คือฟักทองสีเหลืองและสีแดงลายจุด ผลงานศิลปะเลื่องชื่อของคุณคุซามะ ยาโยอิ ที่ตั้งตระหง่านเย้ยฟ้าท้าแดดและลมทะเลที่ท่าเรือของเกาะ แม้ฟักทองสีเหลืองจะถูกพายุหมายเลข 9 พัดลงทะเลไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยังไม่มีงานชิ้นใหม่ติดตั้งแทนที่ แต่เสน่ห์ของเกาะศิลปะแห่งนี้มีมากมายกว่านั้นจนเราอยากพาคนรักศิลปะและพิพิธภัณฑ์ไปเที่ยวชมให้รอบเกาะ
ภาพที่ 1 ฟักทองสีเหลืองของคุณป้ายาโยอิ สัญลักษณ์ของเกาะนาโอชิมะ
นาโอชิมะเป็นเกาะขนาด 14 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่กระจายตัวบริเวณทะเลเซโตะ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของจังหวัดคากาวะ บริษัทเบเนสเซ (Benesse Corporation) ริเริ่มโครงการด้านศิลปะที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีที่แล้วเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคชิโกกุ โดยครอบคลุมเกาะต่าง ๆ มากมาย เช่น เกาะเทชิมะ อินุจิมะ และโองิจิมะ แต่ละแห่งมีการติดตั้งงานศิลปะและแกลเลอรี่เฉพาะสถานที่ต่าง ๆ เกาะศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดคือนาโอชิมะ งานศิลปะถาวรชิ้นแรกของโครงการนี้ได้รับการติดตั้งในปี พ.ศ. 2532 นาโอชิมะและเกาะแถบนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ
ทุก ๆ สามปี เพราะจัดนิทรรศการศิลปะนานาชาติเซโตะอุชิ ดึงดูดนักท่องเที่ยวสายศิลปะและธรรมชาติจากทั่วโลกให้มารวมตัวกันที่นี่
ผู้เขียนรอนแรมนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากจากจังหวัดโอคายามะไปถึงท่าเรือมิยาโนะอุระ เกาะนาโอชิมะ กลางเดือนกันยายนเมื่อสิบปีที่แล้วในวันท้องฟ้าสดใส ทะเลเปล่งประกาย พร้อมกับผู้ชื่นชอบงานศิลป์เกือบเต็มลำเรือ เกาะที่มีผู้คนอาศัยเพียงสามพันกว่าคนแห่งนี้ต้อนรับเราด้วยผลงานศิลปะของศิลปินมากมายที่เรียงรายตามจุดต่าง ๆ ของเกาะ กลมกลืนไปกับความงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ด้วยความที่เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยพื้นที่งานศิลป์และพิพิธภัณฑ์ บริการรถบัสมีน้อยรอบ จะเช่าจักรยานขี่รอบเกาะก็แข้งขาไม่อำนวย เราจึงต้องเลือกสถานที่ที่อยากไปจริงๆ ด้วยการขึ้นรถบัสและเดินเท้า ใช้เวลาเต็มอิ่มจนใกล้ถึงรอบเรือเที่ยวสุดท้ายด้วยความอาลัยอาวรณ์
ท่าเรือมิยาโนะอุระเป็นหนึ่งในสองจุดเริ่มต้นท่องงานศิลปะบนเกาะนาโอชิมะ ฟักทองสีแดงลายจุดของคุณป้ายาโยอิ ยืนหยัดอย่างมั่นคงท้าทายสายตาตื่นเต้นชื่นชม ใกล้กันนั้นคือประติมากรรมข่ายเหล็ก ของฟูจิโมโตะ โซ เราสามารถปีนป่ายและชื่นชมจากภายในได้ จะสวยงามเป็นพิเศษเมื่อเปิดไฟเพื่อเน้นโครงร่างในยามค่ำคืน ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากประติมากรรมของฟูจิโมโตะ เราก็มาถึงโรงอาบน้ำสาธารณะ I Love Yu (หยู หมายถึงน้ำร้อนในภาษาญี่ปุ่น) จุดเด่นของที่นี่คืองานจิตรกรรมตกแต่งฝาผนังโมเสกของศิลปิน ชินโร โอทาเกะ เราไม่ได้เข้าไปใช้บริการห้องอาบน้ำที่แบ่งชายหญิง แค่เมียงมองชื่นชมอยู่
ด้านนอกก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว
ภาพที่ 2 โรงอาบน้ำสาธารณะ I Love Yu
แหล่งที่มาภาพ : Benesse artsite.jp
ผู้เขียนใช้บริการรถบัสขึ้นเขามายัง บ้านศิลปะเบเนสเซ (Benesse House) ซึ่งเปิดในปีพ.ศ. 2535 ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งผสมผสานระหว่างพิพิธภัณฑ์กับโรงแรม โดยใช้แนวคิด "การอยู่ร่วมกันของธรรมชาติ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม" เหตุผลที่ต้องมาให้ได้เพราะ ทาดาโอะ อันโดะ เป็นคนออกแบบ อาคารสร้างขึ้นบนเนินเขาที่มองเห็นทะเลในเซโตะได้กว้างไกล มีรูรับแสงขนาดใหญ่ที่เปิดมุมมองภายในสู่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันวิจิตรงดงาม นอกเหนือจากการจัดแสดงภาพวาด ประติมากรรม ภาพถ่าย และนิทรรศการงานสะสมทรงคุณค่าแล้ว ยังมีนิทรรศการถาวรของศิลปินที่ออกแบบและสร้างขึ้นสำหรับที่นี่โดยเฉพาะ งานศิลปะของพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีแค่ในแกลเลอรี่เท่านั้น แต่ยังเรียงรายในทุกส่วนของอาคาร ตลอดจนในสถานที่กระจัดกระจายตามแนวชายฝั่งที่ติดกับบริเวณที่ซับซ้อนและในป่าที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังผจญภัยตามหาชิ้นส่วนจิ๊กซอว์อย่าง
ตื่นเต้นเร้าใจ
ภาพที่ 3 บ้านศิลปะเบเนสเซ ออกแบบโดยทาดาโอะ อันโดะ
ด้วยแนวคิดการอยู่ร่วมกันของธรรมชาติ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
ไฮไลท์ห้ามพลาดเมื่อเดินผ่านทางเดินคอนกรีตของพิพิธภัณฑ์ ให้คอยสังเกตวัชพืชที่ขึ้นจากรอยแยกตามผนัง เพราะยอดสีเขียวเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ใช่พืชจริง ๆ แต่เป็นงานแกะสลักไม้ที่จัดวางเองของศิลปินโยชิฮิโระ สุดะ แนบเนียนกลมกลืนอย่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ
ภาพที่ 4 งานศิลปะแกะสลักไม้ “วัชพืช” ของศิลปินโยชิฮิโระ สุดะ
แนะนำว่าถ้ามาถึงที่นี่ช่วงสาย ๆ ควรฝากมื้อกลางวันไว้กับห้องอาหารของพิพิธภัณฑ์เสียเลย อาหารชุดใช้วัตถุดิบออร์แกนิกจากในท้องถิ่น อร่อย สะอาด คุณภาพดี ได้เสพทั้งอาหารกายอาหารใจไปพร้อมกันเพราะห้องอาหารด้านหนึ่งติดตั้งกระจกใสตลอดแนว เห็นทะเลในเซโตะกว้างไกลสุดสายตา
เหลือเวลาช่วงบ่ายไม่มากนัก ผู้เขียนตัดสินใจใช้เวลานี้ไปกับ โครงการบ้านศิลปะ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดห้ามพลาดของนาโอชิมะ โครงการนี้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิมของชาวบ้านบนเกาะจำนวน 7 หลังให้เป็นหอศิลป์ร่วมสมัยที่เท่มาก ๆ มีตั้งแต่สำนักงานทันตแพทย์ไปจนถึงโรงน้ำชาญี่ปุ่น ต่างเปลี่ยนโฉมเป็นงานศิลปะเฉพาะชนิดไม่ซ้ำแบบ แม้ว่าบ้านศิลปะแต่ละหลังจะมีขนาดเล็ก แต่ระยะทางระหว่างสถานที่ทั้งเจ็ดก็ไม่ได้ใกล้กันนัก เรียกว่าต้องค้างหนึ่งคืนบนเกาะ ใช้เวลาเต็มวันอีกวันถึงจะไปได้ครบ ถึงอย่างนั้นเราก็เก็บแต้มได้อีกสองในเจ็ด ปลอบประโลมการเดินทางยาวไกล ความตั้งใจที่สะสมไว้ปีแล้วปีเล่า และแปรเปลี่ยนเป็นแรงใจที่จะก้าวเดินบนเส้นทางสายเดิม กลับคืนสู่เกาะศิลปะนาโอชิมะและหมู่เกาะรายล้อมในวันใดวันหนึ่งอีกครั้ง
ภาพที่ 5 งานศิลปะโมเสกกระจกบนฝาผนัง ในอาคารรอบ ๆ สวนบ้านศิลปะเบเนสเซ
การเดินทาง นั่งรถไฟชินคันเซ็นสายโทไคโด-ซันโยจากฮิโรชิม่า มุ่งหน้าสถานีโอคายามะ เปลี่ยนเป็นรถไฟท้องถิ่นลงสถานี Uno เดินจาก JR Uno Station ราว 5 นาที ต่อเรือเฟอร์รี่ shikoku kisen จากท่าเรือ Uno 20 นาที ขึ้นฝั่งท่าเรือมิยาโนะอุระ จะเจอฟักทองสีแดง ส่วนฟักทองสีเหลือง (ตอนนี้ยังไม่ติดตั้งใหม่) อยู่ริมทะเลระหว่าง Benesse House Beach กับ Tsutsuji-so
ทัศนีย์ ยาวะประภาษ