คนมักเข้าใจว่า ในวัฒนธรรมอุษาคเนย์ หน้ากาก เป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบการแสดง เช่น หน้ากากพรานบุญ หรือแม้กระทั่งเครื่องมือรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกันอย่างเช่น ศีรษะโขน เป็นต้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง หน้ากาก และศีรษะโขนเหล่านี้ต่างก็ถูกใช้อยู่ในพิธีกรรมการไหว้ครู โขนละคร ต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทและสถานภาพของ หน้ากาก ในอีกรูปลักษณะหนึ่งอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ในอุษาคเนย์ มีพิธีการเซ่นไหว้ ข้าวของเครื่องใช้ ที่ใช้ประกอบในกิจการงานต่างๆอยู่เป็นสม่ำเสมอ ด้วยถือว่าในสิ่งของทำมาหากินเหล่านี้มี ‘ขวัญ’ อยู่ด้วยทั้งสิ้น
และ ‘ขวัญ’ นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของอุษาคเนย์ ไม่ใช่วิญญาณ เพราะมีทั้งในร่างกายของมนุษย์ ของสัตว์ ซ้ำในร่างกายของคนเราเองก็ประกอบไปด้วยขวัญเป็นจำนวนมาก ทั้งขวัญหัว ขวัญมือ ขวัญตีน ฯลฯ แถมยังมีอยู่ทั้งในสิ่งของ และสถานที่ อีกต่างหาก
ด้วยระบบความเชื่อทำนองนี้ การนำเครื่องมือเครื่องใช้ มาทำการซ่อมแซม ก่อนถึงฤดูกาลในการประกอบกิจการประเภทต่างๆ จึงปรากฏให้เราเห็นพิธีการประเภทนี้อยู่เต็มไปหมด ทั้งการทำขวัญนา ขวัญยุ้ง บางพิธีก็กลายเป็นพระราชพิธี เช่น พิธีทอดเชือกดามเชือก ที่เป็นพิธีตรวจสอบความแข็งแรงและซ่อมแซมเชือกปะกำ ที่สำหรับการคล้องช้าง หรือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (ซึ่งก็คือ การทำขวัญนา) ที่ยังมีธรรมเนียมถือปฏิบัติกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ขวัญ ที่ว่าบางทีก็ดูปน ๆ อยู่กับความคิดเรื่อง ผี แต่ดั้งเดิมหมายถึง บรรพชน ด้วย เราจึงได้เห็นพิธีกรรมคล้ายๆ กัน เช่น การทรงผีกระด้ง ผีครก ผีสาก หรือความเชื่อเรื่องผีปะกำ ซึ่งก็คือเชือกปะกำ นั่นเอง
จึงไม่แปลกอะไรที่ หน้ากาก หรือ ศีรษะโขน ถูกนำมาทำตั้งเป็นประธานบ้าง เป็นองค์ประชุมบ้าง ไว้บนปะรำพิธีของการไหว้ครูดนตรี โขน ละคอน เพราะโดยนัยยะหนึ่งแล้ว ทั้งหน้ากากและศีรษะโขนนั้น ก็เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยเช่นกัน
ภาพที่ 1: ประติมากรรมรูปพรานบุญสวม ‘หน้ากาก’ ผู้คนที่มีจิตศรัทธาจะติดทองคำเปลวที่บริเวณหน้ากาก
แสดงให้เห็นถึงการเคารพนับถือในความศํักดิ์สิทธิ์ของหน้ากากพรานบุญ ที่วัดยางใหญ่ จ. นครศรีธรรมราช
แหล่งที่มาภาพ: https://horoscope.trueid.net/detail/pM9E7GJ5XZ3M
ภาพที่ 2: ศีรษะโขน เทวดาต่างๆ ถูกตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ในพิธีไหว้ครูดนตรีไทย คณะดุริยประณีต (บ้านบางลำพู)
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
แหล่งที่มาภาพ ภาพถ่ายโดย พิชชาณัฐ ตู้จินดา
นักโบราณคดีนอกเครื่องแบบอย่าง คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายว่า โขนในสมัยอยุธยาสวมหน้ากากไม่ได้ครอบลงทั้งหัวอย่างปัจจุบัน ในเอกสารยุคเก่าเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ยังปรากฏคำว่า หน้าโขน ไม่ได้ใช้คำว่า หัวโขน ตามที่เรียกอย่างปัจจุบัน
ข้อสังเกตดังกล่าวของคุณสุจิตต์น่าสนใจมาก เพราะรูปประติมากรรมต่างๆ ที่พบในอุษาคเนย์ยุคก่อนการสถาปนากรุศรีอยุธยาเมื่อพ.ศ.1893 นั้น แสดงให้เห็นว่า มงกุฏ ไม่ได้เป็นแค่เครื่องครอบหัวสำเร็จรูปอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน แต่ประกอบไปด้วยพิธีรีตรองที่รุ่มรวยเป็นอันมาก
เริ่มจาก ผม ต้องเกล้าเป็นมวยไว้รวบอยู่ทางด้านหลัง หรือเป็นจุกอยู่บนหัวก็แล้วแต่ มี พระมาลา ถักทอจากของมีค่าอย่างวิจิตร สวมคลุมผมไว้เป็นซับใน (ที่กรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ อยุธยา พบพระมาลาแบบนี้ถักขึ้นจากทองคำ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา น่าเสียดายที่กรมศิลปากรอธิบายไว้ว่าเป็นมงกุฏลำลองสำหรับสตรีสูงศักดิ์ เพราะเป็นคำอธิบายที่ขาดการศึกษารูปแบบพิธีการสวมเครื่องสูงสมัยโบราณที่มีตัวอย่างอยู่ทนโท่ในงานประติมากรรม)
ด้านบนที่มีมวยผมรวบเป็นจุกอยู่ต้องสวมเกี้ยว (โบราณถ้าเป็น คำกริยา แปลว่า ผูก ถ้าเป็นคำนาม แปลว่า เครื่องผูก) ซึ่งมีลักษณะเป็นวงแหวน คล้ายกำไล ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นยอดเตี้ยๆ เรียกว่า เกี้ยวยอด (ในกรณีที่ออกมวยทางด้านหลังก็ต้องสวมเกี้ยวยอดนี้ไว้เป็นสัญลักษณ์อยู่ด้านบนเหมือนกัน มีตัวอย่างอยู่ในเทวรูปสำริดจำนวนมากของสุโขทัย) ก่อนใช้แถบกระบังหน้ายาวเป็นแผ่น คาดทับที่หน้าผาก และผูกมัดไว้ทางด้านหลัง ลักษณะอย่างนี้ยังพบอยู่ในพระพุทธรูปทรงเครื่องยุคก่อนอยุธยาที่เรียกว่า แบบอู่ทอง เรื่อยมาจนถึงอยุธยาตอนต้น
ทั้งสามส่วนนี้รวมกันจึงเรียกว่า มงกุฏ แต่ต่อมาค่อยๆ ปรับปรุงรูปแบบ รวมทั้งรับเอาแบบมงกุฏจากภายนอกมาจนถูกรวบรัดกลายเป็น มงกุฏชิ้นเดียวอย่างในปัจจุบัน
ภาพที่ 3: เศียรของประติมากรรมดินเผา ในวัฒนธรรมทวารวดี อายุราว พ.ศ. 1300-1400
จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม เป็นหนึ่งในตัวอย่างการสวมใส่มงกุฎที่ประกอบไปด้วย
อุปกรณ์หลายชิ้นในยุคก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา
ภาพที่ 4: พระมาลาทองถัก ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา
แหล่งที่มาภาพ: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=93718
หน้าโขนแต่ดั้งเดิมก็คงทำนองเดียวกันนี้ อาจไม่ใช่มงกุฏที่ต้องสวมใส่อย่างมีพิธีรีตรองอย่างของกษัตริย์ หรือเชื้อพระวงศ์ แต่อย่างน้อยคงประกอบขึ้นจาก ‘หน้ากาก’ และ ‘มงกุฏ’ หรือ ‘ชฎา’ ต่อมาจึงค่อยรวบเข้ากลายเป็น ‘หัวโขน’ ในยุคต้นกรุงเทพฯ ไม่เก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 2
อย่างน้อยก็มี หน้ากากพรานบุญ เป็นตัวอย่างของกรณีนี้ ดังนั้นหากกล่าวว่า ศีรษะโขน พัฒนาการต่อมาจาก หน้ากาก อย่างที่คุณสุจิตต์ให้ความเห็นไว้จึงเป็นเรื่องที่น่าขบคิด
น่าสนใจว่าโขนเองก็พัฒนาต่อมาจาก การเล่นเงา (shadow play) จำพวกหนังใหญ่ หรือหนังตะลุง แนวคิดนี้พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (พระองค์เจ้าธานีนิวัติ) ทรงเป็นผู้เสนอไว้และไม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ อย่างน้อยนักประวัติศาสตร์ระดับไอคอนิคของไทยในปัจจุบันอย่าง อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็ได้อ้างอิงเรื่องนี้ไว้ในตำราเล่มสำคัญของท่านอย่างหนังสือปากไก่และใบเรือ
ผมก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ของกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร และอยากเสริมว่าคุณสุจิตต์ คนเดิมได้ชี้ให้เห็นว่า คำว่า โขน เป็นคำเดียวกับ ละคอน (หรือละคร) เป็นคำที่ไทยเรารับมาจากภาษาชวาที่เรียก เลกอง (legong) ผ่านทางขอมที่ออกเสียงว่า ละโคน หรือ ละโคนพระกรุณา ผมเห็นด้วยกับคุณสุจิตต์เช่นกัน ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่าเราเรียกตามคำชวา จึงทำให้ชวนสงสัยว่า พิธีกรรมแบบนี้มี ชวา เป็นต้นกระแสธาร และคงเริ่มส่งผ่านถึงกันระหว่างราชสำนักชวา และขอม ตั้งแต่ช่วงราว พ.ศ. 1500 ลงมา จนส่งต่อมาจนถึงอยุธยาอีกทอดหนึ่ง
ควรสังเกตอีกด้วยว่าการเล่นเงา ทำนองเดียวกับหนังใหญ่หรือหนังตะลุง ที่ชวาเรียกว่า วาหยัง กุลิต (wayang kulit) เองก็เป็นเรื่องที่ถูกผูกอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ ดังที่จารึกบนใบลาน ไศวาคม ที่พบทางภาคตะวันออกของเกาะชวา ตอกย้ำให้เห็นว่าการละเล่นต่างๆ มีหน้าที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก่อน โดยมีตำนานเล่าว่า
พระศิวะกับพระอุมาต้องคำสาปจนถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ในรูปของปีศาจ โดยที่พระอุมากลายเป็นปีศาจที่ชื่อว่า ทุรคา และให้กำเนิดบุตรอีกหลายตนที่ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างผิดปกติและผิดสัดส่วน (ไม่ต่างอะไรกับตัวละครของวาหยัง กุลิต และหนังตะลุง) พระพรหม พระวิษณุ และพระอิศวร (ในคัมภีร์นี้ดูเหมือนว่าพระศิวะ กับพระอิศวร จะเป็นเทพคนละองค์กัน) ต้องการที่จะช่วยพระศิวะ และพระแม่อุมาให้พ้นคำสาปจึงสร้างการแสดงวาหยัง กุลิตขึ้นมาบนโลก โดยเทพทั้งสามองค์ เป็นองค์ประกอบหลักของการแสดง
พระอิศวรทำหน้าที่เป็นหุ่นเชิดที่เรียกว่า ดาหลัง พระพรหมเป็นตะเกียงให้แสงสว่างขณะแสดง ส่วนพระวิษณุเป็นดนตรี ในการแสดงต้องมีการเซ่นสังเวยให้แก่ปีศาจด้วย
ตำนานเล่าต่อไปว่าเทพทั้งสามไม่ประสบความสำเร็จในการแสดงครั้งแรก พระศิวะและพระแม่อุมายังคงต้องคำสาปอยู่ไม่คลาย เทพทั้งสามจึงต้องทำการแสดงใหม่อีกรอบ แต่คราวนี้มีการแสดงระบำกับหน้ากาก เพิ่มเติมเข้าไปด้วย พระศิวะและพระอุมาจึงได้รับสาส์นจากเทพทั้งสามจนพ้นคำสาปในที่สุด
ตำนานเรื่องนี้ไม่ปรากฏในอินเดีย แต่มีการนำเอาความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาผนวกเข้ากับเรื่องผีพื้นเมืองดังเห็นได้จากการที่ต้องทำการเซ่นสรวงเหล่าปีศาจไปด้วย
ในกรณีนี้ การละเล่นจึงเป็นพิธีกรรมที่เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน และก็ไม่ใช่การละเล่นเชิดหุ่นเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ทั้งระบำ การละเล่นหน้ากาก และคงรวมถึงการเล่นเงาด้วยเพราะมีลักษณะของตัวละครเป็นอภิมนุษย์เหมือนกัน
จิตสำนึกแต่เดิมของอุษาคเนย์ หน้ากากจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเปลี่ยนผ่าน สภาวะจากมนุษย์ธรรมดา ไปเป็นร่างทรงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาด้วยอุดมคติบางอย่างที่ยอมรับนับถือร่วมกันในสังคมนั่นเอง
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ