ในช่วงระยะ 10 ปีมานี้ วงการภาพยนตร์ไทยหันมาให้ความสนใจกับแหล่งท่องเที่ยว เห็นได้จากการที่แนวทางของภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องมักมีการนำเอาเนื้อหามาผูกโยงเข้ากับการเดินทาง ซึ่งการใช้ภาพยนตร์ไทยนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ นั้นกลายมาเป็นวิธีผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยว ทั้งในและนอกประเทศได้เป็นอย่างดี
ผลของการนำเสนอภาพความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติของแต่ละจังหวัด รวมไปถึงความน่าสนใจของวัฒนธรรมและอาหารท้องถิ่นในภาพยนตร์ไทย ทำให้เกิดกระแสนิยมการเดินทางในกลุ่มคนหลายลักษณะ เช่น การเดินทางแบบตามรอยภาพยนตร์ หรือการเดินทางที่พุ่งเป้าเพื่อไปเยี่ยมเยือนสถานที่ ซึ่งใช้เป็นฉากประกอบในการถ่ายทำ ตามที่ Beeton (2005) (อ้างถึงใน ปัณฑธนิต นันตติกุล,2561) ได้กล่าวไว้ว่า ภาพยนตร์เป็นภาษาที่มองเห็น และสามารถสร้างความหมายที่แท้จริงหรือความหมายเชิงจินตนาการ อัตลักษณ์ ภาพลักษณ์ จนสามารถเกิดเป็นทัศนคติต่อสถานที่นั้น ๆ จนก่อกำเนิดเป็นแรงจูงใจในการไปเยี่ยมเยือนดังเช่น ภาพยนตร์เรื่อง "สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก" (2553) ใช้สถานที่ถ่ายทำ ณ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ภาพยนตร์เรื่อง "Timeline จดหมายรักความทรงจำ" (2558) ใช้สถานที่ ณ สะพานอัษฎางค์ เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี หรือภาพยนตร์เรื่อง "คิดถึงวิทยา" (2557) ใช้พื้นที่โรงเรียนเรือนแพ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง "สุขสันต์วันโสด" (2562) ที่ใช้จังหวัดเชียงใหม่เป็นฉากในการถ่ายทำตลอดทั้งเรื่อง
ภาพที่ 1 วิวทิวทัศน์ที่สวยงามจากเขื่อนแก่งกระจาน
แหล่งที่มาภาพ: www.travel.trueid.net
ภาพที่ 2 สะพานไม้แห่งเกาะสีชังสร้างภาพจำผ่านภาพยนตร์
แหล่งที่มาภาพ: https://pantip.com/topic/34511945
เนื่องด้วยภาพยนตร์เป็นสื่อบันเทิงที่เป็นภาพเคลื่อนไหว มุ่งสนองตอบต่อความต้องการบันเทิงของผู้ชม ซึ่งในบริบทนี้ความบันเทิง หมายรวมไปถึงความลึกซึ้งทางหลักจิตวิทยาด้วย เพราะความบันเทิงที่ได้รับเป็นภาวะความพึงพอใจอย่างหนึ่ง หลังจากที่รับชมจนจบ และก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนานานับประการตามแต่ที่เนื้อหาจะชักนำไป (ฐนยศ โลห์พัฒนานนท์, 2561) ส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาของภาพยนตร์ไทยที่ใช้การเดินทางมาเป็นส่วนประกอบหลักของเรื่องนั้น แก่นแกนหลักของเรื่องมักกล่าวถึงประเด็นปัญหาในการดำเนินชีวิตของตัวละครเอกที่แอบแฝงอยู่ในความสนุกสนานเร้าใจหรือรักปนอารมณ์ขัน ซึ่งปัญหาเหล่านั้น อาจเป็นปัญหาด้านการงาน ปัญหาด้านการเงิน หรือปัญหาครอบครัว อันเป็นมูลเหตุที่ทำให้ตัวละครเอกต้องอาศัยการเดินทางเป็นการปลอบประโลมใจตนเอง เช่น เรื่อง "หนีตามกาลิเลโอ" (2552) ที่ตัวละครเอกออกเดินทางเพื่อหลบหนีการเรียนที่ประสบปัญหา หรือเรื่อง "กวน มึน โฮ" (2554) ที่ตัวละครเอกออกเดินทางเพื่อเสาะแสวงหาความเป็นอิสระจากคนรัก การเดินทางดังกล่าว จึงเป็นการสะท้อนและชี้ชวนให้ผู้ชมตระหนักว่า บางครั้งสาเหตุการออกเดินทางของมนุษย์ อาจไม่ใช่เป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวชมความงามของธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่หากการเดินทาง ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการเยียวยาจิตใจ เป็นอุปกรณ์ในการหลีกหนีความจริงที่ไม่อยากเผชิญก็เป็นได้ ภาพยนตร์จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับการหลีกเร้นจากสังคม (escapism) (ฐนยศ โลห์พัฒนานนท์, 2561)
ภาพที่ 3 โร้ดทริปที่มักปรากฏในภาพยนตร์ที่ธรรมชาติสวยงามเป็นฉากหลัง
แหล่งที่มาภาพ: www.travel.trueid.net
โดยอันที่จริงแล้ว การออกเดินทางเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ในสังคมทุกแห่ง การเดินทางมีอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, 2564) หลายครั้งที่ชีวิตของมนุษย์เราต้องออกเดินทาง ซึ่งการเดินทางในที่นี้ มิได้หมายถึงการท่องเที่ยวตามธรรมดา แต่การเดินทางสามารถตีความออกไปได้หลากหลายรูปแบบ อาจหมายถึงการก้าวผ่านช่วงวัยต่าง ๆ หรืออาจเป็นการตามหาความหมายบางอย่างในชีวิต การเดินทางแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่มีในแต่ละช่วงชีวิต
การเดินทางจึงอาจเป็นกลวิธีที่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสภาวะของตัวละครให้ดีขึ้นได้
การออกเดินทางของตัวละครเอกฝ่ายหญิงและฝ่ายชายในภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง จึงแสดงให้เห็นถึงการรื้อถอนกรอบบทบาทหน้าที่เดิมของตน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการออกเดินทางของตัวละครเอก อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
ภาพที่ 4 การออกเดินทางของตัวละครในภาพยนตร์
สัญญะของการเปลี่ยนแปลงตัวตนให้หลุดออกจากบริบทเดิม
แหล่งที่มาภาพ: https://www.sfcinemacity.com/news-activity/news-2478
ตามทฤษฎีโครงสร้างคลาสสิคของอริสโตเติล ที่เรียกว่า Character arc หรือเส้นทางของตัวละคร ซึ่งมีทั้งหมด 3 องก์ (ออนไลน์ ,2564 ) เส้นทางของตัวละครดังกล่าวนั้น หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของคาแรคเตอร์ตัวละครที่ ตัวละครทุกตัวล้วนเติบโต ไม่ว่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น หรือพัฒนาไปในทางที่เสื่อมถอยลง character arc คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัวละครเกิดการเติบโต เป็นอีกคนหนึ่งเมื่อดำเนินไปจนจบเรื่อง หลักแนวคิดดังกล่าวแบ่งได้เป็น ตัวตน ไขว่คว้า และ เปลี่ยนแปลง การเดินทางในหลายเรื่อง จึงคล้ายกับเครื่องมือในการชำระล้างจิตใจ การเดินทางทำให้ตัวละครเรียนรู้การเดินทางของชีวิตในเส้นทางที่ถูกที่ควร รู้ว่าต้อง “ทำอะไร” พอ ๆกับที่รู้ว่าจะต้อง “ไม่ทำอะไร”เพื่อที่จะทำให้ความทุกข์ภายในจิตใจของตนเองลบเลือนไป การเดินทางจึงกลายเป็นความท้าทายของตัวละครที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่ค้นพบระหว่างการออกเดินทางนั้นสามารถเปลี่ยนความคิด และมุมมองใหม่ได้ การเดินทางจึงเปรียบเสมือน “การเกิดใหม่” ของมนุษย์เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น การเดินทาง อาจจะมิใช่เพียงแค่การไปท่องเที่ยว ชมความงามตามสถานที่อันสวยงาม เพียงเป้าประสงค์เดียว แต่การเดินทางอาจเป็นการหลบหนีเพื่อไปแสวงหาตัวตนก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา แก้วเทพ.(2557). เรื่องสื่อสารการท่องเที่ยว.กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดการพิมพ์
ฐนยศ โลห์พัฒนานนท์.(2561).ภาพยนตร์กับทฤษฎีแห่งความบันเทิง.วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิต.ปีที่ 12 ฉบับที่ 1.มกราคม-มิถุนายน 2561.
ปัณฑธนิต นันตติกุล.(2561).การท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ : กรณีศึกษาภาพยนตร์แฟนเดย์...แฟนกันแค่วันเดียว.ปริญญานิพนธ์ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ.(2564). “คนไทยเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ ร.5”สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564 จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_37875
“Difference Between Travel and Tourism”(June 30, 2016) สืบค้นเมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม 2564 จาก https://pediaa.com/difference-between-travel-and-tourism
“หัวใจในการเดินทางของตัวละครเอก”.(13กุมภาพันธ์ 2564) สืบค้นเมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม 2564 จาก https://www.facebook.com/movieDIY/
นิศา บูรณภวังค์