สัญลักษณ์ของมิวเซียมหัวก้าวหน้าของประเทศไทยอย่าง 'มิวเซียมสยาม’ นั้น มีชื่อเรียกกันเล่นๆ อย่างลำลองว่า ‘คนกบแดง’
ส่วนที่มีชื่อเรียกอย่างนี้ นอกจากเป็นเพราะตัวสัญลักษณ์ ถูกออกแบบให้เป็นภาพลายเส้นรูปคนที่วาดด้วยสีแดง หรือมีพื้นหลังสีดังกล่าวแล้ว รูปคนที่ว่านี่ยังทำท่าทางอย่าง ‘กบ’ อีกด้วย
แน่นอนว่า ท่าทางการยกแขนขึ้นทั้งสองข้างนี้ ชวนให้ดูเหมือนท่าการเซิ้ง หรือร่ายรำอย่างที่เห็นได้โดยทั่วไปในประเพณีงานบุญต่างๆ ของอุษาคเนย์ แต่อันที่จริงแล้ว ภาพสัญลักษณ์ของมิวเซียมสยามนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ ‘ผาลาย’ ในเขาฮวาซัน อ.หนินหมิง มณฑลกว่างซี (หรือที่มักจะสะกดด้วยสำเนียงเรียกอย่างไทยว่า กวางสี) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีมาแล้วนั้น ก็แสดงภาพรูปบุคคลจำนวนมากกำลังร่ายรำ อยู่ในพิธีกรรมด้วยท่าทางดังกล่าวนี่แหละ
ภาพเขียนสีคนนี้ นักวิชาการจีนเชื่อว่าคือพิธีกรรมขอฝน ส่วนภาพวาดท่าเซิ้งระบำรำฟ้อนของผู้คนทั้งหลายในภาพเขียนสีบนผาลายนั้น เป็นการเลียนท่าทางของกบ สัญลักษณ์ของน้ำ และฝน
ดังนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกนะครับว่า ทำไมสัญลักษณ์ของมิวเซียมสยามจึงมีชื่อเล่นเรียกว่า ‘คนกบแดง’
ภาพที่ 1: ‘คนกบแดง’ สัญลักษณ์ของมิวเซียมสยาม
แหล่งที่มาภาพ: https://www.museumsiam.org/About
ภาพที่ 2: ‘คนกบแดง’ ภาพเขียนสีบนผาลาย ในเขาฮวาซัน อ.หนินหมิง
มณฑลกว่างซี ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน
แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/history/article_54927
ว่ากันว่าภาพเขียนสีที่ผาลายนี้ คงถูวาดขึ้นโดยบรรพชนของพวก “จ้วง” ที่พูดภาษาตระกูลไต-ไท และยังพบอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณพื้นมณฑลกว่างซีในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก
ชาวจ้วงเหล่านี้มีเครื่องดนตรีสำคัญ ที่ใช้ในพิธีกรรมชนิดหนึ่ง แถมพิธีกรรมที่ว่ายังเป็นพิธีกรรมเพื่อขอฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เพื่อความอุดมสมบูรณ์เสียด้วย
เครื่องดนตรีชนิดนั้นมีชื่อเรียกในโลกภาษาไทยปัจจุบันว่า ‘กลองมโหระทึก’
บนหน้ากลองมโหระทึกนั้นมีลวดลายที่แสดงออกถึงลักษณะเชิงสัญลักษณ์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ที่สำคัญคือลายรูปแฉก คล้ายรูปดาง หรือดวงอาทิตย์ ที่ตรงกึ่งกลางของหน้ากลอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ขวัญ’ คือพลังในเชิงนามธรรม ตามคติในศาสนาผีดั้งเดิมของอุษาคเนย์ แต่ที่เกี่ยวกับเราในที่นี้คือ ประติมากรรมรูปกบที่มักทำเป็นรูปลอยตัวประดับอยู่ตามขอบของหน้ากลองมโหระทึก นัยว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับฝนฟ้า และความอุดมสมบูรณ์
พระราชพิธีต่างๆ ของไทยในปัจจุบันนั้น ยังมีการใช้กลองมโหระทึกประกอบอยู่ในหลายพระราชพิธี แต่ที่มียังเห็นร่องรอยอยู่ว่า ถูกใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์อย่างชัดเจนก็คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ อันเป็นพระราชพิธีที่สืบทอดมาจากการทำขวัญนา ในนาตาแรก (อีสานเรียก นาตาแฮก) ก่อนเริ่มต้นฤดูกาลทำนาเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งก็แสดงให้เห็นกัน ไทยเราเองก็ใช้กลองมโหระทึก เพื่อจุดประสงค์ของความอุดมสมบูรณ์ตามคติแต่ดั้งเดิมเหมือนกัน
ทุกวันนี้ชาวจ้วงในมณฑลกว่างซีก็ยังมีประเพณีตีกลองมโหระทึก ในช่วงตรุษจีนของทุกๆ ปี โดยสำหรับชาวจ้วง (และที่จริงก็หมายถึงในชาวจีนด้วย) แล้ว ตรุษจีนหรือช่วงปีใหม่ก็คือ ช่วงเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ไม่ต่างอะไรกับช่วงที่มีการพิธีแรกนาขวัญของไทย
น่าสนใจครับว่าในช่วงตรุษจีนที่พวกจ้วงจะกระทำการประโคมมโหระทึกกันอย่างเอิกเกริกนั้น มีพิธีการจับสัตว์จำพวกกบ คางคก หรือเขียด ปาด อะไรก็ได้ที่เป็นสัตว์จำพวกนี้มาใช้สำหรับทำพิธีเสี่ยงทายว่า ปีนั้นน้ำท่าจะอุดมสมบูรณ์หรือเปล่า?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสอดคล้องกับในภูมิภาคอุษาคเนย์ที่มีนิทานว่า ครั้งหนึ่งพญาแถนไม่ยอมส่งน้ำฝนลงมายังโลกมนุษย์ จนพญาคันคาก (คือ คางคก) ต้องรวบรวมสมัครพรรคพวกสัตว์โลกต่างๆ ต่อตัวกันขึ้นไปท้ารบกับพญาแถนจนชนะ แล้วทำสนธิสัญญากันว่าถ้าคางคก หรือสัตว์จำพวกเดียวกันนี้ส่งเสียงร้อง พญาแถนต้องให้ฝนลงมาจากฟ้า (ในสนธิสัญญาฉบับเดียวกันนี้ยังระบุไว้ด้วยว่า พญาแถนต้องให้ฝนตกลงมาเช่นกัน ถ้ามนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นไป)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไรที่บนหน้ากลองมโหระทึก มักมีประติมากรรมรูปกบตัวจิ๋วๆ ประดับอยู่เป็นปกติจนบ่อยครั้งที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปเรียกกลองเหล่านี้ว่า ‘กลองกบ’ ในเมื่อกลองมโหระทึกนั้นถูกประโคมขึ้นก็เพื่อทวงฝนจากพญาแถน ที่สำคัญก็คือในภาพเขียนสีที่ผาลายนั้น ก็มีรูปของกลองมโหระทึกอยู่ด้วย
ภาพที่ 3: กบบนหน้ากลองมโหระทึก
แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/history/article_15616
แต่ในอุษาคเนย์นี้ ประติมากรรมรูปกบไม่ได้ปรากฏอยู่เฉพาะบนหน้ากลองมโหระทึกเท่านั้น เพราะยังมีการพบ หินแกะสลักรูป ‘กบ’ นั่งเฝ้าพระอิศวร อันเป็นเทพเจ้าสูงสุดองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอยู่ด้วย
กบรูปนี้สลักขึ้นอย่างโดดๆ ลงบนหินก้อนเล็กๆ ที่ลำธารบนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกเขา ‘พนมกุเลน’ ในเขตประเทศกัมพูชาไหลผ่าน พื้นที่บริเวณนี้ถูกเรียกในสำเนียงชาวเขมรว่า ‘กบาลสเปียน’ แปลเป็นภาษาไทยตรงตัวว่า ‘หัวสะพาน’ เพราะเป็นเหวเตี้ยๆ ที่น้ำตกลงไปข้างล่าง
และที่นี่เองคือจุดตั้งต้นของ สตรึงเสียมเรียบ แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่จะไหลผ่านเมืองพระนคร ที่มีสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ อย่างนครวัด และอีกสารพัดในนครธม
ณ บริเวณที่จุดสิ้นสุดของชุดภาพสลักที่กบาลสเปียนมีหินก้อนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงบริเวณที่น้ำทอดตัวตกลงไปยังเบื้องล่าง พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดในพื้นที่กบาลหัวสะพานแห่งนี้ โดยเคยมีภาพสลักพระอิศวรในปางที่เรียกว่า ภิกษาตนมูรติ คือพระอิศวรที่ปรากฏกายในรูปของนักบวชประดับอยู่ (น่าเสียดายที่ปัจจุบันภาพสลักดังกล่าว ถูกลักลอบกะเทาะออกไปโดยนักล่าสมบัติเสียแล้ว)
และเจ้ากบของเราตัวนี้ ก็จ้องมองขึ้นไปยังรูปพระอิศวรบนหินก้อนใหญ่องค์ดังกล่าวด้วยอาการเคารพ ตรงพื้นที่ส่วนที่สำคัญที่สุด จนเปรียบได้กับเป็นศูนย์กลางของกบาลสเปียน ซึ่งรายรอบไปด้วยศิวลึงค์นับพันองค์ที่สลักอยู่ใต้น้ำ รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ และภาพสลักอื่นๆ อีกเป็นกระบุงโกย
อย่างที่บอกไปว่ากบาลสเปียนนั้นคือพื้นที่ต้นแม่น้ำเสียมเรียบที่ไหลผ่านศูนย์กลางวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวขอม (ก็เขมรนั่นแหละ) ในยุคที่ยังก่อปราสาทหินหลังใหญ่กัน ดังนั้นแม่น้ำสายนี้จึงเป็นสิ่งที่ดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้กับรัฐของพวกเขา จำต้องไปสลักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายลงบนต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นรูปพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม หรือศิวลึงค์ ลงไปเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งหลาย อำนวยความอุดมสมบูรณ์ให้กับแม่น้ำ
แน่นอนว่า ราชสำนักกัมพูชาในยุคโน้น นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นสำคัญ (ไม่อย่างนั้นจะสลักรูปเทพเจ้าเหล่านี้ไว้ให้เยอะแยะไปทำไม?) แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมสิ่งที่อำนวยฝน ให้ตกต้องตามฤดูกาลในศาสนาผีดั้งเดิม ที่พวกเขาเคยเคารพบูชามาก่อนที่หันไปเข้ารีตนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เจ้ากบตัวนี้ก็เลยต้องมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเข้าเฝ้าพระอิศวร อยู่ท่ามกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพ่อพราหมณ์กับเขาด้วย
และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเมื่อมีการตีกลองมโหระทึก หรือกลองกบ ทำพิธีขอฝนแล้ว ผู้เข้าร่วมในพิธีจึงเยื้องย่างท่าทางให้เป็นเหมือนกับท่าทางของกบ ราวกับเป็นการเข้าทรงพวกมันอยู่นั่นเอง
ภาพที่ 4: หินแกะสลักรูปกบ กำลังเข้าเฝ้าพระอิศวรที่กบาลสเปียน ประเทศกัมพูชา