Museum Core
พระพุทธสิหิงค์ เคยจะถูกนำไปประดิษฐานที่ โบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า?
Museum Core
14 ต.ค. 65 8K

ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

               พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส สร้างโดยกรมพระราชวังบวรศักดิพลเสพ ผู้ดำรงตำแหน่งที่เรียกกันอย่างลำลองว่า ‘วังหน้า' ในสมัยรัชกาลที่ 3 ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (เดิมคือ โรงเรียนนาฏศิลป์) ข้างโรงละครแห่งชาติ ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมักเรียกพระอุโบสถแห่งนี้ว่า ‘โบสถ์วัดพระแก้ววังหน้า' มากกว่า

               ที่เรียกว่า พระแก้ววังหน้า ไม่ใช่เพราะมีพระแก้วประดิษฐานอยู่ภายใน เหมือนพระแก้วมรกตของวังหลวง แต่เป็นคำเรียกเปรียบเทียบว่าเป็นวัดประจำวังหน้าไม่ต่างจาก วัดพระศรีรัตนปฏิมากร หรือวัดพระแก้ว ของวังหลวงนั่นเอง

               ภายในพระอุโบสถแห่งนี้มีพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ อย่างพระจักรพรรดิราช ประทับยืน แสดงปางห้ามสมุทร งานช่างอย่างที่นิยมในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานอยู่เป็นพระพุทธรูปประธานภายในโบสถ์ แต่ภายในอาคารที่สร้างอยู่บนผังรูปจตุรมุข ที่ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง และช่องประตูกลับเขียนเรื่อง 'ตำนานพระพุทธสิหิงค์' เสียอย่างนั้น

               'พระพุทธสิหิงค์' เป็นพระพุทธรูปสำคัญ มีตำนานอ้างว่ามาจากลังกาทวีป มีพระยานาคตนหนึ่งที่มีโอกาสได้พบกับพระพุทธเจ้าขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้จำแลงร่างเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นแบบให้ประติมากรจัดสร้างรูปเหมือนของพระพุทธองค์ไว้ให้สักการะบูชา

               แต่เรื่องพระพุทธสิหิงค์เองก็ยังมีปัญหาอยู่มาก เพราะมีอยู่หลายองค์ เฉพาะองค์หลักๆ ที่ต่างก็เชื่อต่อๆ กันมาว่าองค์นี้คือพระพุทธสิหิงค์องค์จริงตามสิหิงคนิทาน ก็มีอยู่สามองค์แล้วเลยทีเดียว

               องค์แรกประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ องค์ต่อไปประดิษฐานอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเคยประดิษฐานอยู่ก่อนอัญเชิญไปถึงแผ่นดินล้านนา ส่วนองค์สุดท้ายประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ วังหน้า กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นั่นเอง

               พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ไม่มีองค์ไหนเลยที่มีลักษณะของงานพุทธศิลป์อย่างลังกา และอันที่จริงชาวลังกาไม่รู้จัก 'พระพุทธสิหิงค์’ เสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีตำนานเล่าเรื่องพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์นี้ไว้ในเกาะลังกาเลย ถ้าว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว ตำนานเรื่องพระพุทธสิหิงค์นั้นควรถูกแต่งขึ้นในอุษาคเนย์ที่ดินแดนล้านนา

 

ภาพที่ 1: ภาพถ่ายเก่าโบสถ์ วัดพระแก้ววังหน้า

แหล่งที่มาภาพ: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

 

ภาพที่ 2: พระพุทธสิหิงค์ องค์ที่กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทนำกลับมาจากเชียงใหม่

ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ วังหน้า กรุงเทพมหานคร

ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/history/article_42764

 

               ในบรรดาดินแดนทั้งสามแห่งที่ต่างก็อ้างว่าครอบครององค์พระพุทธสิหิงค์เอาไว้นั้น แผ่นดินล้านนามีความนิยมเรื่องพระพุทธสิหิงค์ที่สุด และอันที่จริงแล้วได้มีการค้นพบพระพุทธรูปองค์อื่นๆ ที่มีจารึกอยู่ที่องค์ฐานพระว่านี่คือพระพุทธสิหิงค์ในดินแดนนี้อยู่อีกหลายองค์เลยด้วยซ้ำ

               อย่าเพิ่งแปลกใจครับ นี่ไม่ต่างอะไรกับที่เราสร้างพระพุทธชินราชจำลอง พระแก้วมรกตจำลอง และอีกสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำลอง โปรดอย่าลืมว่าที่เชื่อถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้าโดดๆ แต่เป็นพระพุทธเจ้าในรูปของพระพุทธสิหิงค์ พระแก้วมรกต พระพุทธโสธร ฯลฯ ที่โบราณเขาเชื่อกันว่า มี ‘ผี' ปกปักพระพุทธรูปอยู่ต่างหาก

               นี่เป็นธรรมชาติของศาสนาพุทธแบบไทยๆ ซึ่งประสมประสานกันระหว่าง ผี-พราหมณ์-พุทธ ไม่ได้เป็นพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์เหมือนอย่างในตำราทางศาสนศาสตร์ หรือแบบเรียนวิชาพระพุทธศาสนาจากตำราของกระทรวงศึกษาฯ เลย

               เฉพาะที่กรุงเทพฯ พระราชพงศาวดารอ้างไว้ว่า กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท วังหน้าพระองค์แรกในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ เป็นผู้ไปอัญเชิญมาหลังจากเชียงใหม่ หลังรบชนะเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2338

               น่าแปลกที่ลักษณะเชิงช่างของพระพุทธสิหิงค์องค์ที่กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทอัญเชิญมานั้น เป็นฝีมือช่างอย่างอยุธยา ไม่ใช่อย่างล้านนาเลย นักวิชาการสันนิษฐานกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่กรมพระราชวังบวรฯ จะไม่เคยเห็นองค์พระพุทธสิหิงค์มาก่อน เพราะก่อนหน้าที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 พระพุทธสิหิงค์ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ พระนครศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยที่สมเด็จพระนารายณ์ตีเชียงใหม่ได้เมื่อปี พ.ศ.2205

               กรมพระราชวังบวรฯ รับราชการมาแต่ยุคปลายกรุงเก่าแล้ว จะไม่เคยเห็นพระพุทธสิหิงค์ ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งใช้ประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพัทธ์สัตยาเลยหรือ?

               อันที่จริงแล้วทางฟากเชียงใหม่ ก็ยังมีเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาอย่างเป็นมุขปาฐะว่า พระพุทธสิหิงค์องค์ที่กรมพระราชวังบวรฯ ได้ไปนั้นเป็นองค์ปลอม องค์จริงยังคงประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ ที่วัดพระสิงห์ ชาวเชียงใหม่จึงยังศรัทธาอยู่อย่างสนิทใจว่า พระพุทธสิหิงค์ยังอยู่กับพวกตน

               แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่องค์ไหนจริง หรือองค์ไหนปลอม ปัจจุบันนี้นักวิชาการทางด้านโบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ศิลปะหลายท่านต่างออกมายืนยันว่า พระพุทธสิหิงค์จริงทุกองค์ ไม่มีปลอม ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าจึงเป็นการที่กรมพระราชวังบวรฯ ประกาศว่าได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาไว้ที่กรุงเทพฯ ต่างหาก

               พระพุทธสิหิงค์มีคุณค่าทางจิตใจต่อชาวเชียงใหม่ในฐานะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ไม่ต่างกับพระแก้วมรกตของคนกรุงเทพฯ หรือคนไทยในความหมายกว้างๆ อย่างในปัจจุบัน พระพุทธสิหิงค์องค์ที่กรมพระราชวังบวรฯ อัญเชิญมาจะจริงหรือปลอมไม่สำคัญเท่ากับที่ พระองค์ได้นำพยานของอำนาจเหนืออธิปไตยชาวเชียงใหม่ลงมา ซ้ำร้ายพยานปากเอกนั้นยังเป็นขวัญและกำลังใจของชาวเชียงใหม่ทั้งหมดด้วย

ภาพที่ 3: พระพุทธสิหิงค์ ที่วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ. เชียงใหม่

แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/art/article_4581

 

ภาพที่ 4: พระพุทธสิหิงค์ ที่หอพระพุทธสิหิงค์ จ. นครศรีธรรมราช

แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/art/article_4581

 

               และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่ทางฝั่งเชียงใหม่มีข่าวลือว่า กรมพระราชวังบวรฯ ได้พระพุทธสิหิงค์องค์ปลอมไป อย่าลืมนะครับว่า ในสมัยโบราณ ศาสนาและความเชื่อผูกโยงอยู่กับการเมืองการปกครองแบบที่แทบแยกกันไม่ออก

               พระพุทธสิหิงค์จึงกลายเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำวังหน้าไปโดยปริยาย เพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ ซ้ำยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นย้ำถึงบารมีของวังหน้า

                ดังนั้นการที่กรมพระราชวังบวรศักดิพลเสพย์ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 โปรดให้มีการเขียนรูปตำนานพระพุทธสิงค์ที่โบสถ์ วัดพระแก้ววังหน้า จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เตรียมการจะนำพระพุทธิสิหิงค์มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานภายในโบสถ์หลังนี้ เพียงแต่อาจไม่ทันได้ดำเนินการ หรือติดขัดด้วยเหตุผลกลในบางอย่าง

                โดยเฉพาะเมื่อยังมีประวัติอีกอย่างหนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับโบสถ์หลังนี้ว่า แต่เดิมนั้น กรมพระราชวังบวรศักดิพลเสพตั้งพระทัยสร้างโบสถ์หลังนี้เป็นอาคารทรงจตุรมุขที่มียอดเป็น ‘ปราสาท’ แต่ถูกคัดค้านไว้ว่า ‘จตุรมุขยอดปราสาท’ นั้น เป็นอาคารทรงที่สงวนไว้ใช้เฉพาะใน ‘วังหลวง’ เท่านั้น หากดันทุรังสร้างต่อไปถือเป็นการท้าทายอำนาจกับวังหลวง เรื่องนี้อาจเกี่ยวกับการนำพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่โบสถ์แห่งนี้ด้วยก็ได้

ภาพที่ 5: ขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ ส่วนหนึ่งของภาพจิตรกรรมเรื่อง ‘สิหิงคนิทาน’

หรือตำนานพระพุทธสิหิงค์ ภายในโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า

แหล่งที่มาภาพ: https://palungjit.org

 

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ