ชมพูทวีป ดินแดนที่ยังความเป็นเอกลักษณ์แม้จะผ่านกาลเวลาหลายสมัย ทว่าการถ่ายทอดความเป็นภารตะให้คนนอกเข้าใจกลับเป็นไปอย่างยากเย็น ศิลปินในอดีตต่างพยายามแสดงความเป็นอินเดียในแบบตนให้
ผู้ชมได้รับทราบ แต่การมองผ่านแว่นตาสีกุหลาบย่อมไม่ก่อประโยชน์อันใด ผู้คนในประเทศแห่งความหลากหลายยังเผชิญความลำบากอยู่ทุกวัน หนึ่งในนั้นคือความอยุติธรรมที่เกิดกับสตรีเพศ ทั้งการคลุมถุงชนในวัยเด็ก การจ่ายสินสอดทองหมั้น ไปจนถึงความรุนแรงในครอบครัว ปัจจุบันปัญหาเหล่านี้กำลังคลี่คลายอย่างช้าๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่า กว่าแปดสิบปีที่แล้ว ยังคงมีหนึ่งนารีที่ตั้งใจตีแผ่ความไม่เป็นธรรม เธอคนนี้เป็นผลผลิตจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่าง เธอสร้างชื่อเสียงโด่งดังด้วยผลงานภาพวาดที่ตีแผ่ชีวิตผู้หญิงอินเดีย ชื่อของเธอคือ “อัมฤตา เชร์คิล (Amrita Sher Gil)” จิตรกรหัวขบถแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 อัมฤตา เชร์คิลเป็นใคร เพราะเหตุใดเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงทรงอิทธิพลที่สุดในรอบศตวรรษนั้น เราจะหาคำตอบไปพร้อมกัน
ภาพที่ 1 อัมฤตา เชร์คิล
แหล่งที่มาภาพ: Nagualdesign. Amrita Sher-Gil. (2015). [Online]. Accessed 2022 Dec 10. Available from: https://en.wikipedia.org/wiki/File:Amrita_Sher-Gil_2.jpg
อัมฤตา เชร์คิลเกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1913 ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี บิดาของเชร์คิลเป็นชาวซิกข์ฐานะมั่งคั่ง ขณะที่มารดาชาวฮังการีเป็นนักร้องโอเปราชื่อดัง เชร์คิลและน้องสาวจึงเติบโตในยุโรปโดยปราศจากความยากลำบาก แต่แล้วเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง อาณาจักรฮังการีก็เข้าสู่ภาวะวุ่นวายช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งครอบครัวจึงอพยพไปยังชิมลา (Shimla) เมืองตากอากาศชื่อดังบนเทือกเขาหิมาลัยในปีค.ศ. 1921 นั่นเป็นครั้งแรกที่เชร์คิลในวัย 8 ปีได้สัมผัสความเป็นฮินดูสถานอย่างแท้จริง
เชร์คิลในวัยเยาว์เริ่มวาดภาพทิวทัศน์ในชิมลา ไม่ว่าจะเป็นผืนป่า หุบเขา หรือเรื่องราวในจินตนาการ เมื่อบิดามารดาเห็นดังนั้น พวกท่านก็จ้างศิลปินดังมาขัดเกลาพรสวรรค์ของเด็กหญิง แต่อนิจจา อัมฤตาน้อยไม่คล้อยตามคำสอนของอาจารย์ เด็กหญิงรักอิสระเกินกว่าจะวาดภาพตามรูปแบบที่กำหนด เมื่อเห็นว่าการศึกษาในอินเดียไม่ได้ผล ผู้เป็นแม่จึงพาลูกสาวเดินทางไปอิตาลีกับตนในปี 1923 มารดาหวังว่าเชร์คิลจะสนุกสนานกับการเรียนศิลปะในฟลอเรนซ์ น่าเศร้าที่เด็กหญิงยังคงโหยหาดินแดนภารตะ จนกระทั่งมารดาถอดใจ ยอมส่งเธอกลับชิมลาแต่โดยดีในปีค.ศ. 1924
ความรักอิสระของเชร์คิลส่งผลให้ภาพวาดของเธอโดดเด่นเกินผู้ใด ทว่าอุปนิสัยนั้นกลับเป็นดั่งดาบสองคม ในปีค.ศ. 1929 เชร์คิลในวัย 16 ปีถูกไล่ออกจากโรงเรียนคอนแวนท์เพราะประกาศว่าไม่เชื่อในพระเจ้า บุพการีจึงกล่อมบุตรสาวให้ไปยุโรปอีกครั้ง คราวนี้เชร์คิลยอมตามแต่โดยดี เด็กสาวเข้าเรียนศิลปะสถาบันกรองด์โชมิแยร์ (Académie de la Grande Chaumière) ในกรุงปารีส ตรงกันข้ามกับการศึกษาในอินเดีย คณาจารย์ฝรั่งเศสไม่ปฏิเสธตัวตนของเชร์คิล ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังส่งเสริมให้เธอสร้างผลงานในแบบของตัวเอง และในปีเดียวกัน เชร์คิลก็ถูกทาบทามให้เข้าเรียนที่โรงเรียนวิจิตรศิลป์ (École des Beaux – Arts) สถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตอนนั้นเองที่เชร์คิลได้เข้าสู่วงการศิลปะอีโรติกอย่างเต็มตัว เด็กสาวใช้เวลา 4 ปีที่โรงเรียนไปกับการเสาะหาสไตล์การวาดภาพที่ตรงใจ รวมถึงรสนิยมทางเพศจากการคบหาดูใจชายหญิงไม่ซ้ำหน้า
จุดเปลี่ยนชีวิตของเชร์คิลเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1931 ในปีนั้น เด็กสาวเผชิญปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหมั้นหมายที่พ่อแม่จัดการให้ การคบหาชู้รักที่เป็นญาติสนิท และการทำแท้งครั้งแรกในชีวิต ทว่าประสบการณ์ที่ว่ามากลับทำให้เชร์คิลสร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง นั่นคือภาพวาด “เหล่าดรุณี (Young Girls)” ที่มีน้องสาวและคนรักชาวฝรั่งเศสเป็นต้นแบบ ภาพวาดสีน้ำมันชิ้นนั้นทำให้เชร์คิลถูกยกย่องอย่างกว้างขวางในวงการศิลปะตะวันตก ทว่าความสำเร็จที่ได้รับกลับทำให้เชร์คิลโหยหาความเรียบง่ายสุดหัวใจ ด้วยเหตุนั้นปลายปีค.ศ. 1934 หญิงสาววัย 21 ปี จึงตัดสินใจเดินทางกลับอินเดียอีกครั้งเพื่อตามหารากเหง้าที่หายไปของตน
ภาพที่ 2 เหล่าดรุณี ผลงานสร้างชื่อของเชร์คิล
แหล่งที่มาภาพ: Srivastava, Amit. Young Girls. (2021). [Online]. Accessed 2022 Dec 10. Available from: https://globalbihari.com/for-amrita-strong-women-seeking-bonding-was-a-recurrent-motif/
เมื่อหวนกลับมายังเมืองภารตะ เชร์คิลก็มองดินแดนนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เธอเคยใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างหรูหรา ทว่าแท้จริงแล้ว อนุทวีปอินเดียกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวความไม่เท่าเทียม หญิงสาวมองเห็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกันตนที่ต้องดิ้นรนฝ่าฟันความทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์ แม้แต่งานศิลปะจากจิตรกรอินเดียก็ละเลยความเป็นไปของนารี ราชา รวิ วรมา (Raja Ravi Varma) ศิลปินดังสมัยก่อนหน้าเลือกถ่ายทอดความสวยสดจากวรรณคดี ขณะที่อวนีทระนาถ ฐากุร (Abanindranath Tagore) จิตรกรเบงกาลีใฝ่หาความรุ่งโรจน์ในชมพูทวีปเมื่อครั้งหลัง เขาเหล่านี้นำเสนอภาพอินเดียที่งดงาม โดยมีนงรามคอยส่งเสริมบารมีบุรุษเพศที่เป็นตัวละครหลัก ไม่มีจิตรกรชายคนใดถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของผู้หญิงบนผ้าใบ ทว่าเชร์คิลกลับมองเห็นประเด็นนี้กระจ่างชัด เธอจึงสร้างงานศิลปะในรูปแบบของตัวเองที่ไม่ขึ้นตรงกับสกุลช่างใด เพื่อจะได้ส่งสารความเป็นไปของผู้หญิงจากเพศแม่ด้วยกัน
เชร์คิลเริ่มวาดภาพชีวิตประจำวันของสตรี ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การเที่ยวงานเทศกาล การจับจ่ายข้าวของในตลาด ไปจนถึงการแต่งงานหมั้นหมาย กิจวัตรเหล่านี้อาจดูไม่สลักสำคัญ ทว่าความรู้สึกที่ซ่อนอยู่บนใบหน้า อากัปกิริยา และการใช้สีสันคือจุดเด่นในผลงานของเชร์คิล หญิงสาวได้รับอิทธิพลจากจิตรกรรมเปี่ยมอารมณ์บนผนังถ้ำอชันตา (Ajanta Caves) และจุลจิตรกรรม (Miniature Paintings) สกุลช่างเดคข่านที่มีโอกาสได้เยี่ยมชมเมื่อมาถึงอินเดีย เธอหันมาใช้สีโทนเคร่งขรึมในภาพวาดเพื่อถ่ายทอดความลำบากของสตรีรากหญ้า สารที่สื่อออกมาผ่านสายตาทำให้เห็นว่าแม้จะยอมจำนน แต่ผู้หญิงอินเดียจะยังคงมีชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง ภาพที่สร้างชื่อเสียงให้เชร์คิลได้แก่ ภารตะมาตา (Mother India) ปีค.ศ. 1935 เจ้าสาววัยเยาว์ (The Child Bride) ปีค.ศ. 1936 ห้องเตรียมตัวเจ้าสาว (Bride’s Toilet) ปีค.ศ. 1937 เป็นต้น
นอกจากการเลือกใช้สีและอารมณ์บนใบหน้าของตัวละคร เชร์คิลยังมีวิธีส่งสารถึงผู้ชมผ่านระบบสัญลักษณ์ หนึ่งในชิ้นงานที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดในวงการศิลปะคือ “ผู้หญิงนอนบนแคร่ (Woman Resting on a Charpoy)” ภาพนี้ถูกวาดที่หมู่บ้านสะรายา (Saraya) ใกล้เมืองโครัขปุระ (Gorakhpur) รัฐอุตตรประเทศ เชร์คิลถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้พบในหมู่บ้านลงบนผืนผ้าใบ ผู้หญิงนอนบนแคร่เป็นภาพสตรี 2 คน คนหนึ่งกำลังนอนซมบนแคร่ อีกคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ศิลปินเลือกใช้สีแดงที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมฮินดู ตัดกับความหมองหม่นของบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบ นอกจากนี้เชร์คิลยังวาดสินทูร์ (Sindoor) บนแสกผมของสตรีที่นอนซม สินทูร์เป็นผงแร่สีแดงที่สตรีฮินดูใช้โรยบนแสกผมบ่งบอกว่าตนมีคู่หมาย ทว่าสามีที่ควรจะรักใคร่กลับไม่ปรากฏ ณ ที่ใดในภาพ มีเพียงนารีที่อาจเป็นเพื่อนหรือญาติห่างๆ คอยดูแลหญิงเคราะห์ร้าย ผู้หญิงนอนบนแคร่จึงเป็นผลงานที่ถ่ายทอดความลำเค็ญของสตรีอย่างชัดเจน ว่าแม้จะมีสามีของตัวเอง แต่ผู้หญิงในหมู่บ้านกลับต้องดูแลกันและกันเพราะสามีไม่ให้ความสำคัญอย่างที่ควร
ภาพที่ 3 ผู้หญิงนอนบนแคร่ ผลงานเขย่าวงการศิลปะอินเดีย
แหล่งที่มาภาพ: Srivastava, Amit. Woman in Charpoy. (2021). [Online]. Accessed 2022 Dec 10. Available from: https://globalbihari.com/for-amrita-strong-women-seeking-bonding-was-a-recurrent-motif/
หลังปีค.ศ. 1939 เป็นต้นมา เชร์คิลก็หันมาวาดภาพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวทัศน์ สัตว์ป่า หรือสถานที่ อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณที่เคยมีในงานศิลป์ของเธอกลับหายไป สืบเนื่องจากชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเธอและวิคเตอร์ อีแกน (Viktor Egan) แพทย์ชาวฮังกาเรียน มารดาของเชร์คิลคัดค้านการแต่งงานเนื่องจากอีแกนเป็นลูกพี่ลูกน้องของบุตรี ทว่าหนึ่งนารีกลับยืนกรานจัดงานวิวาห์เพื่อความสะดวกส่วนตน แม้กระทั่งหลังแต่งงาน เชร์คิลก็ยังคบหาชู้รักอย่างเปิดเผย สามีที่ไม่อาจทนต่อความเฉยเมยจึงมีปากเสียงกับเธอหลายครั้ง และในปี 1941 หญิงสาวก็ตัดพ้อว่าไม่มีแรงใจสร้างสรรค์ผลงานอีกต่อไป
เช่นเดียวกับศิลปินดังในอดีต เชร์คิลที่สูญเสียแรงบันดาลใจในงานศิลป์ล้มป่วยเพราะความตรอมตรม อาการเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1941 อมฤตา เชร์คิลก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 28 ปี ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในวงการศิลปะอินเดียร่วมสมัย ผู้เป็นมารดาปักใจเชื่อว่าอีแกนมีส่วนรู้เห็นกับการตายของภรรยา ทว่าข้อเท็จจริงเบื้องหลังการเสียชีวิตของจิตรกรสาวยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน
ตลอดชีวิตอันแสนสั้น อมฤตา เชร์คิลได้สร้างสรรค์ผลงานกว่า 172 ภาพ ความมุ่งมั่นของเธอที่จะถ่ายทอดความทุกข์ยากของผู้หญิงอินเดียจับใจผู้ชมนับล้าน สตรีมากมายหันมาจับพู่กันสร้างสรรค์ผลงานเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่มคนในเงา ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะแรงบันดาลใจจากชีวิตและงานศิลป์ของเชร์คิล หนึ่งในศิลปินที่ได้รับอิทธิพลจากเชร์คิลคือ “อรปิตา ซิงค์ (Arpita Singh)” จิตรกรหญิงผู้โด่งดัง ไม่เพียงแต่วงการศิลปะเท่านั้น แต่ผลงานของเชร์คิลยังจุดประกายความหวังให้นักสตรีนิยมทั่วทั้งชมพูทวีป อัมฤตา เชร์คิลแสดงให้ผู้คนตระหนักว่า เสียงของเพศแม่จะไม่มีวันถูกทำให้เงียบหาย แม้ต้องเผชิญการกดขี่จากรอบข้างมากเพียงใดก็ตาม ความตั้งใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมทำให้เชร์คิลได้ฉายาภายหลังว่า “ฟรีดา กาห์โลแห่งแดนภารตะ (India’s Frida Kahlo)” และได้รับการยกย่องไม่ต่างจากฟรีดา กาห์โล ศิลปินหญิงชาวเม็กซิกันผู้กลายเป็นตำนานแห่งวงการเฟมินิสต์
ในปีค.ศ. 1976 รัฐบาลอินเดียประกาศให้ภาพวาดของเชร์คิลเป็นสมบัติประจำชาติ ผลงานของเธอถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ทั้งในประเทศอินเดีย ปากีสถาน และฮังการี ถนนสายหนึ่งในเมืองเดลีถูกตั้งชื่อว่า “ถนนอัมฤตา เชร์คิล (Amrita Shergil Marg)” เพื่อเป็นเกียรติแก่จิตรกรหญิงผู้บุกเบิกวงการงานศิลป์สตรีนิยม เรื่องราวของศิลปินสองเชื้อชาติจึงควรค่าแก่การบอกเล่าต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่สตรีภารตะสามารถก้าวออกสู่แสงไฟอย่างทัดเทียมเคียงข้างเหล่าบุรุษ
แหล่งค้นคว้าอ้างอิง
Ananth, Deepak. Amrita Sher-Gil: An Indian Artist Family of the Twentieth Century. Munich:
Schirmer/Mosel, 2007.
Geeta. Amrita Sher Gil: A Painted Life. Allahabad: Rupa & Co. 2002.
Sharma, Mandakini, Gupta, Ila and Jha P.. Amrita Sher-Gill’s Paintings: A Cultural Evaluation,
THAAP Journal: People’s History of Pakistan: 254 – 265. Lahore: THAAP Publications, 2016.