ทุกวันนี้ใครต่อใครก็รู้จักกับเจ้า ‘แมวกวักนำโชค’ ของญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ‘มาเนกิ-เนโกะ’ (Maneki-Neko) กัน แต่มีสักกี่คนที่ทราบว่าทำไมชาวแดนอาทิตย์อุทัยจึงเชื่อว่าเจ้าเหมียวตัวน้อยสามารถกวักมือหยอยๆ แล้วเรียกโชคลาภได้?
โดยทั่วไปแล้วมักอ้างกันว่าตำนานของเจ้าแมวกวักที่ว่านี้ มีต้นทางอยู่ที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมืองเอโดะ (ชื่อเก่าของ กรุงโตเกียว) มีชื่อว่า ‘วัดโกโทคุจิ’ (Gotokuji) โดยเรื่องราวของตำนานที่ว่านี้เกิดขึ้นในช่วงยุคเอโดะ (พ.ศ. 2146-2411)
เรื่องราวมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ลิ นาโอทากะ (พ.ศ. 2133-2202) ผู้เป็นไดเมียว (ผู้ครองแคว้น) คนสำคัญในช่วงยุคต้นเอโดะได้เดินผ่านหน้าวัดโกโทคุจิ นาโอทากะมองเข้าไปในวัดเห็นแมวน้อยสีขาวตัวหนึ่งกำลังกวักมือ (ที่ถูกคือ เท้าหน้า) เหมือนกับเรียกให้ไดเมียวท่านนี้เดินเข้าไปในวัด
และเมื่อนาโอทากะเดินเข้าไปไม่นานนักก็เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบแปลบปลาบก่อนมีพายุฝนตกหนักตามมา ท่านไดเมียวผู้สนับสนุนโชกุนสายตระกูลโตกุกาวะคนนี้รู้สึกขอบอกขอบใจเจ้าแมวน้อย จึงทำการบูรณะวัดแห่งนี้เสียใหม่ และยกให้เป็นวัดประจำตระกูลของตนเอง
ตำนานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางจึงมีการสร้างรูป ‘มาเนกิ-เนโกะ’ หรือเจ้า ‘แมวกวัก’ ให้มีขนสีขาวเหมือนอย่างตำนานเพื่อเป็นเกียรติให้กับเจ้าแมวน้อย โดยเชื่อถือกันว่าเป็นเครื่องลางนำโชคและเป็นที่นับถือในวัดโกโทคุจิมาจนถึงปัจจุบัน
ภาพที่ 1: วัดโกโทคุจิ เมืองโตเกียวที่มีตำนานเรื่องแมวกวักเรียกไดเมียว นาโอทากะ เข้ามาหลบฝน
ภาพที่ 2: ตุ๊กตาแมวกวัก ภายในวัดโกโทคุจิ
แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.jnto.or.th/newsletter/manekineko/
ภาพที่ 3: ภาพวาดรูปเหมือน ไดเมียว ลิ นาโอทากะ
แหล่งที่มาภาพจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Ii_Naotaka
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของไดเมียว นาโอทากะ ได้เจอกับแมวกวักเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานที่เล่าสืบทอดปากต่อปากเท่านั้น ไม่ได้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์มารองรับ
แถมยังมีนิทานเรื่องอื่นๆ ที่เล่าแตกต่างกันไปอีก เช่น เรื่องเล่าของชาวบ้านว่ามีพ่อค้าแม่ขายยากจนที่เห็นแมวจรหิวโซตัวหนึ่งแล้วสงสารแต่เอามาเลี้ยงดูไม่ได้ ด้วยใจกตัญญู เจ้าแมวน้อยจึงตอบแทนบุญคุณด้วยการนั่งกวักมือเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านทั้งวัน จนมีลูกค้าเต็มร้าน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ‘แมวกวัก’ จึงได้กลายมาเป็นเครื่องรางนำโชคสำหรับกิจการขนาดเล็ก
แน่นอนว่าตำนานหรือนิทานเกี่ยวกับที่มาของแมวกวักในญี่ปุ่นนั้นยังมีอีกหลายสำนวน ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ เอกสารทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงเครื่องราง ‘แมวกวัก’ มีค้นพบในรายการ ‘บันทึกลำดับเหตุการณ์ของเอโดะ’ ฉบับที่ลงวันที่ตรงกับปี พ.ศ. 2395 เท่านั้น
น่าสังเกตด้วยว่า ในปีเดียวกันนั้นภาพพิมพ์บนแผ่นไม้ (อุกิโยเอะ) ที่มีชื่อเสียงที่มีชื่อว่า ‘โจรูริ-มาชิ ฮันกะ โนะ ซู’ (Joruri-mashi Hanka no zu) ของพระภิกษุ ควบตำแหน่งศิลปินภาพพิมพ์อุกิโยเอะชื่อดังอย่าง ‘อุทากาวะ
ฮิโรชิเกะ’ (Utakawa Hiroshige) ได้ถูกพิมพ์ออกมา โดยภาพพิมพ์ชิ้นนี้เป็นรูปของหญิงสาวในชุดกิโมโนกำลังไปเลือกซื้อ ‘แมวกวัก’ บนแผงร้านค้า และในภาพมีตัวอักษรพรรณนาถึงแมวกวักรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า
‘มารุชิเมะ-เนโกะ’ (Marushime-neko) ซึ่งมีขายอยู่ที่วัดเซนโซ (Senso) ในเมืองโตเกียว
พอล่วงผ่านมาถึงยุคปฏิรูปเมจิ (พ.ศ. 2411-2455) ก็เริ่มเห็นความนิยมในแมวกวักนำโชค
‘มาเนกิ-เนโกะ’ ที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ปี พ.ศ. 2419 มีบทความในหนังสือพิมพ์ที่พูดถึงแมวกวัก และในปีเดียวกันก็มีหลักฐานว่ามีการแจกจ่ายรูปแมวกวักสวมชุดกิโมโนในศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่เมืองโอซากา หรือในปี พ.ศ. 2445 มีหลักฐานโฆษณาเจ้าแมวกวักมาเนกิ-เนโกะ เป็นสินค้า เป็นต้น
หลักฐานต่างๆ เหล่านี้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า ความนิยมใน ‘แมวกวัก’ ในหมู่ชาวญี่ปุ่นนั้นมีให้เห็นชัดเจนในช่วงปลายยุคเอโดะ และเฟื่องฟูในยุคเมจิ (ไม่ได้หมายความว่า แมวกวักไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่เพิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้) ในขณะที่ตำนาน และนิทานต่างๆ ที่เล่าถึงที่มาที่ไปของ ‘มาเนกิ-เนโกะ’ นั้น ก็ไม่สามารถยืนยันถึงความน่าเชื่อถือได้
ภาพที่ 4: แมวกวักบนแผงสินค้าวัดเซนโซ บนภาพพิมพ์อุกิโยเอะ ‘โจรูริ-มาชิ ฮันกะ โนะ ซู’
ของพระภิกษุฮิโรชิเกะ จัดทำเมื่อ พ.ศ. 2395
แหล่งที่มาภาพจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Maneki-neko
มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทางของเจ้าแมวกวัก มาเนกิ-เนโกะ ดูเหมือนพฤติกรรมการล้างหน้าของแมว และที่สำคัญคือ ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อด้วยว่าถ้าแมวล้างหน้า แปลว่า กำลังมีแขกมาเยี่ยมเยือน
ความเชื่อดังกล่าวนี้สอดคล้องกับความเชื่อโบราณของชาวจีนที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการล้างหน้าของแมว เช่น มีภาษิตโบราณบทหนึ่งกล่าวว่า ‘ถ้าแมวล้างหน้า ฝนจะตก’ เป็นต้น
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือ มีเอกสารในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) ที่อ้างว่า การล้างหน้าของแมวเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภเป็นหนังสือเก่าที่ชื่อ ‘โหย่วหยางจ๋าจู่’ หรือ ‘เรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับเมือง
โหย่วหยาง’ ที่รวบรวมขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ถัง โดยนักเขียนที่ชื่อ ต้วนเฉิงซี (พ.ศ. 1346-1406) ซึ่งมีข้อความระบุว่า
“ถ้าแมวยกเท้าขึ้นเหนือหูและล้างหน้า จะมีผู้อุปถัมภ์มาเยือน”
‘แมว’ นั้นไม่ใช่สัตว์พื้นถิ่นดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งชาวญี่ปุ่นโบราณทราบดีว่า แมวในญี่ปุ่นนั้นมาพร้อมกับ ‘เรือสินค้า’ ที่มาจากจีน ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่าแคว้นถัง โดยนำชื่อมาจากราชวงศ์ถัง ดังนั้นในเอกสารญี่ปุ่นโบราณจึงมักเรียกว่า ‘แมวถัง’ หมายถึง แมวที่มาจากจีน
และก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ว่าแมวจากจีนก็เข้ามาสู่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกใน ‘ยุคเฮอัง’ (พ.ศ. 1337-1728) ซึ่งตรงกับช่วง ‘ราชวงศ์ถัง’ เสียด้วย อีกทั้งบันทึกต่างๆ ในญี่ปุ่นยุคโน้นต่างก็แสดงให้เห็นว่า บรรดาชนชั้นสูงหลายคนในราชสำนักสมัยเฮอัง รวมถึงพระจักรพรรดิก็ล้วนแต่ตกเป็น ‘ทาสแมว’ กันถ้วนหน้าตามภาษาเรียกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวยังร่วมสมัยกับช่วงที่ต้วนเฉินซีมีชีวิตอยู่ และเขียนหนังสือ ‘โหย่วหยางจ๋าจู่’ ที่พูดถึงโชคลาภที่เกี่ยวกับการล้างหน้าของแมวพอดี ดังนั้นถ้าชาวญี่ปุ่นจะรับเอาความเชื่อเรื่องแมวล้างหน้าจะมีผู้มีอุปถัมภ์มาเยือนไปพร้อมกับการรับแมวเข้ามาเลี้ยงด้วยก็เห็นว่าเป็นไปได้ ถ้าต่อมาความเชื่อนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลาจนกลายมาเป็นเจ้าแมวกวัก ‘มาเนกิ-เนโกะ’ ก็คงไม่แปลก
แท้จริงแล้ว ความเชื่อเรื่อง ‘มาเนกิ-เนโกะ’ นั้น อาจมีพัฒนาการที่ยาวนานมากกว่าที่คาดคิดกันโดยทั่วไป และอาจไม่ได้เกิดจากเหตุบังเอิญที่เจ้าเหมียวน้อยตัวหนึ่ง ไปกวักมือเรียกใครเข้ามาหลบฝนข้างในวัดอย่างที่มักเล่ากันต่อกันมาก็เป็นได้