Museum Core
บิสมาร์ค และ “เรียลโพลิทีค”
Museum Core
22 พ.ค. 66 4K

ผู้เขียน : ด.ช.ณัฐปกรณ์ มานะเสถียรกิจ

               ออทโท วอน บิสมาร์ค (Otto Von Bismarck) นายกรัฐมนตรีคนแรกของจักรวรรดิเยอรมันที่พัฒนามาจากการเป็นนายกรัฐมนตรีของปรัสเซีย และนายกรัฐมนตรีของสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือตามลำดับ เจ้าของสมญานาม “นายกเหล็ก” (The Iron Chancellor) เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลมากในยุโรปช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
วาทกรรมอันเป็นอมตะของบิสมาร์คที่ยังคงโด่งดังไปทั่วโลกคือ:

“แม้นวาจาอันเป็นสุนทรพจน์จะลึกซึ้งเพียงใด แม้นมติจะมีมากแค่ไหน ก็มิสามารถนำมาประยุกต์

เพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญได้ นั่นเป็นข้อผิดพลาดของเหตุการณ์[ปฏิวัติ]ปี 1848-1849

มีเพียงแต่การใช้แท่งเหล็กและการสละโลหิตเท่านั้น ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

-คำพูดของบิสมารค์ต่อคณะกรรมการสำนักงบประมาณของปรัสเซีย แปลโดยผู้เขียนเอง

 

“Not through speeches and majority decisions will the great questions of the day be decided

- that was the great mistake of 1848-1849 - but by iron and blood.”

 

-Otto von Bismarck to the Prussian Budget Commission

 

               หนึ่งในกลยุทธ์ทางการปกครองที่เป็นเอกลักษณ์ของบิสมาร์ค คือการใช้นโยบาย “เรียลโพลิทีค” (Realpolitik) ซึ่งบทความนี้จะขยายความว่า อะไรคือเรียลโพลิทีค? บิสมาร์คใช้งานนโยบายนี้อย่างไร? และอะไรจะเกิดขึ้นถ้าบิสมาร์คไม่ได้ใช้นโยบายนี้?

               หากพิจารณาจากชื่อจะเห็นได้ว่า “เรียลโพลิทีค” นั้นหมายถึง การดำเนินการทางการทูตและการวางตัวทางการเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ในขณะนั้น โดยไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ใดๆ อย่างชัดเจน และที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือการไม่ให้ความสำคัญต่อศีลธรรมหรือจริยธรรมทางการทูตหรือต่อกฎหมายมากนัก

 

ภาพที่ 1 :  ออทโท วอน บิสมาร์ค

แหล่งที่มาภาพ :  Franz von Lenbach - Portrait of Otto Eduard Leopold von Bismarck - Walters 371007 - View B - Otto von Bismarck - Wikipedia

 

 

               ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ นโยบายที่บิสมาร์คนำมาใช้นี้ แท้จริงแล้วถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ของพวกเสรีนิยม ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับบิสมาร์คในฐานะที่เขาเป็นขุนนางที่สนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยม แนวคิดนี้ถูกคิดค้นในปีค.ศ. 1853 โดย ลุดวิค วอน โรเชา (Ludwig Von Rochau) นักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวคิดเสรีนิยมที่เข้าร่วมการปฏิวัติปี ค.ศ. 1848 ในเยอรมัน จุดประสงค์ในการรณรงค์แนวคิดนี้ในระยะเริ่มแรก คือการกระตุ้นนักคิดเสรีนิยมให้เลิกเป็นคนช่างฝัน และเน้นที่การลงมือปฏิบัติจริง (ดังที่เห็นได้จากคำกล่าวของบิสมาร์ค) แต่หลังจากยุคของโรเชาแล้ว ผู้สืบสานแนวคิดนี้ได้แก่ ไฮน์ริช วอน ทรีทช์เคอ (Heinrich von Treitschke) นักการเมืองเสรีนิยมที่มีแนวความคิดหักมุมไปทางขวาจัด ที่มีความคิดต่อต้านชาวยิว และสนับสนุนการรวมชาติเยอรมันด้วยแนวคิดชนชาติบริสุทธิ์ ทำให้ลัทธิเสรีนิยมของเยอรมันอันมีนายทุนเป็นส่วนประกอบสำคัญเบี่ยงเบนไปทางขวาอย่างรวดเร็ว ทำให้บิสมาร์คซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มีความมุ่งมั่นในการรวมชาติเยอรมันฉวยโอกาสจากการหักมุมของฝ่ายเสรีนิยมครั้งนี้อย่างชาญฉลาด โดยการทำให้ทั้งฝ่ายขุนนางอนุรักษ์นิยมและฝ่ายกระฎุมพีเสรีนิยมพึงพอใจ ด้วยการที่บิสมาร์คในฐานะนายกรัฐมนตรีของปรัสเซียในขณะนั้นยอมให้ชนชั้นกระฎุมพีเปิดอุตสาหกรรมขนาดมหึมาได้โดยไม่ต้องมีการ “ปฏิวัติกระฎุมพี” เหมือนกับที่เกิดขึ้นในส่วนอื่นๆของโลก นโยบายแบบนี้ทำให้สามารถรักษาสมดุลของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ชนชั้นขุนนางเองก็ยังรักษาอำนาจเอาไว้ได้อย่างมั่นคง ในขณะที่พวกเสรีนิยมเองก็พึงพอใจและรู้สึกไว้วางใจในตัวเขา

               สิ่งที่ทำให้บิสมาร์คต่างจากนักอนุรักษ์นิยมคนอื่นๆ ก็คือความยืดหยุ่นของเขา เช่นในกรณีที่บิสมาร์คได้เสแสร้งทำสัมพันธไมตรีกับเฟอร์ดินานด์ ลาสซาลล์ (Ferdinand Lasalle) ผู้ร่วมก่อตั้งพรรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมของปรัสเซียที่เป็นศัตรูทั้งในทางการเมืองและการต่างประเทศของเขา เมื่อข่าวลือได้ถูกแพร่กระจายออกไปแล้วก็ส่งผลให้กลุ่มพรรคเสรีนิยมอื่นๆ ท้อแท้และรู้สึกโดดเดี่ยว นอกจากความสามารถในการสร้างแนวร่วมกับกลุ่มก้อนทางการเมืองต่างๆภายในประเทศแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลงานเด่นของบิสมาร์ค ก็คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยแนวคิดแบบ Realpolitik ซึ่งสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดใน 2 ประการได้แก่ ประการแรก บิสมาร์คพยายามสร้างความสัมพันธ์และความไว้เนื้อเชื่อใจจนเป็นที่ตายใจกับเหล่าผู้นำของประเทศต่างๆ จนทำให้การพัฒนาและขยายขนาดของกองทัพปรัสเซียดูเหมือนว่าเป็นเพื่อนที่แสนดีกำลังแข็งแรงขึ้น ไม่ใช่ศัตรูที่กำลังขัดเล็บให้แหลมคมสำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ประการที่สอง คือเทคนิคการสานสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศแบบสลับซับซ้อนและไม่มีลักษณะของการผูกมัดมากนัก ดังเช่นการที่เขานำจักรวรรดิเยอรมันเข้าร่วมก่อตั้งกลุ่มประเทศพันธมิตรแบบสลับซับซ้อนไขว้ไปไขว้มา ทั้งในทางเปิดเผยและในทางลับ เช่นการจัดตั้งสันนิบาต 3 จักรพรรดิ (เยอรมัน, ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย) ภายหลังชัยชนะต่อฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1871 และต่อมาก็มีการตั้งพันธมิตรร่วม 3 ประเทศ(เยอรมัน, ออสเตรีย-ฮังการี และ อิตาลี) ในปีค.ศ.1882 โดยไม่มีรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรเดิมเข้าร่วม หลังจากนั้นก็มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรหลวม (Loose alliance) ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอื่นๆ อีกดังแสดงในแผนภาพ

 

ภาพที่ 2 : พันธมิตรต่างๆที่บิสมาร์คสร้างหลังการรวมชาติเยอรมัน

แหล่งที่มาภาพ : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Map_of_Bismarcks_alliances-en.svg

 

               ปฏิบัติการรวมชาติเยอรมันของบิสมาร์คเริ่มปรากฏขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในช่วงกลางถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผ่านชัยชนะในสงครามครั้งสำคัญทั้งสิ้น 3 ครั้ง สงครามครั้งแรก คือ สงครามแย่งแคว้น เชลสวิคกับโฮลชไวน์มาจากเดนมารก์ (มีคนเชื้อชาติเยอรมันอาศัยอยู่มาก)ในปีค.ศ. 1864 โดยในครั้งนี้ ปรัสเซียได้สู้รบเคียงข้างกันกับจักวรรดิออสเตรีย ซึ่งข้อตกลงในตอนแรกจะทำการบุกยึดเฉพาะแค่แคว้นโฮลชไวน์เท่านั้น แต่แล้วทั้งออสเตรียและปรัสเซียก็ได้ร่วมกันละเมิดข้อตกลงด้วยการเดินหน้าบุกยึดแคว้นเชลสวิคต่อไปในที่สุด ชัยชนะในครั้งนี้ทำให้อิทธิพลของปรัสเซียเริ่มแผ่ขยายออกไป และทำให้จักรวรรดิออสเตรียระหวาดระแวงน้อยลง สงครามครั้งที่สองเกิดขึ้นระหว่างคู่พันธมิตรเดิม คือ ออสเตรียและปรัสเซีย โดยฝ่ายบิสมาร์คอาศัยข้ออ้างในการประกาศสงครามต่อออสเตรียว่าเกิดจากข้อขัดแย้งในการจัดสรรแบ่งปันดินแดนที่ยึดมาได้จากเดนมาร์ก สงครามได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1866 โดยที่รัฐเยอรมันต่างๆแยกย้ายกันเข้าร่วมในสงครามต่อทั้งสองฝ่าย โดยรัฐที่มีอิทธิพล (เช่น บาวาเรีย) มักอยู่กับฝ่ายออสเตรีย ส่วนฝ่ายปรัสเซียก็ได้อิตาลีที่เพิ่งประกาศตัวเป็นราชอาณาจักรในขณะนั้นเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ตามบทสรุปของสงครามในครั้งนี้ปรัสเซียมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนของออสเตรีย หากแต่มีการกลืนรัฐเยอรมันเล็กๆ ทั้งทางตรงและอ้อม(มีการยุบสมาพันธรัฐเยอรมัน และการสร้างสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ) และทำลายอิทธิพลรวมทั้งแสนยานุภาพของออสเตรีย ทำให้ในที่สุดแล้วจักรพรรดิออสเตรียจำต้องยอมให้ฮังการีมีสภาและรัฐธรรมนูญของตนขึ้นมาใหม่ (Austro-Hungarian compromise of 1867) การทำให้ออสเตรียถูกโดดเดี่ยวก็เป็นอีกแผนการที่สำคัญของบิสมาร์ค (ภายหลัง บิสมาร์คต้องล้มเลิกนโยบายนี้ เพื่อป้องกันสงครามสองด้านที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมด้วย) โดยการสร้างความสนิทสนมกับฝรั่งเศสและทำสัญญาลับกับพระเจ้า
นโปเลียนที่ 3 ให้พระองค์ทรงยกแคว้นเวนีเซียที่ทรงได้รับมอบจากออสเตรียให้แก่อิตาลี การกระทำนี้ส่งผลในสองด้านคือทำให้ออสเตรียรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเห็นว่าสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือกับฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรกัน และฝรั่งเศสก็ตายใจคิดว่าตนปลอดภัยจากสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือเช่นกัน

               สงครามคราวสุดท้ายเป็นสงครามที่แคว้นเยอรมันต่างๆ ได้ร่วมกันเข้าต่อสู้กับฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1871(Franco-Prussian War) เนื่องจากเจ้าชายปรัสเซียได้สิทธิ์ในการครองสเปน ซึ่งบิสมาร์คก็ใช้เหตุการณ์นี้ยั่วยุให้ฝรั่งเศสประกาศสงครามกับสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ ความขัดแย้งครั้งนี้ส่งผลให้รัฐทางใต้ของเยอรมันที่ยังคงเป็นอิสระอยู่ในขณะนั้นจำต้องยอมเข้าร่วมกับสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ ซึ่งมีสมาร์คเป็นนายกรัฐมนตรีและได้พัฒนาต่อจนเกิดการตั้งจักรวรรดิเยอรมันจากรัฐเยอรมันทั้งหมดขึ้นในเวลาต่อมา บิสมาร์คทำให้ราชอาณาจักรปรัสเซียมีอำนาจมากที่สุดในสภาผู้แทนรัฐของจักรวรรดิเยอรมันโดยทำให้ปรัสเซียมีตัวแทนในสภาผู้แทนรัฐ (Bundesrat) เป็นจำนวนมากที่สุด

      

     

ภาพที่ 3 : การประกาศการกำเนิดของจักรวรรดิเยอรมันที่พระราชวังแวร์ซาย

บิสมาร์คสวมเสื้อสีขาว อยู่ทางขวามือของภาพ

แหล่งที่มาภาพ : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:A_v_Werner_-_Kaiserproklamation_am_18_Januar_1871_%283._Fassung_1885%29.jpg

 

               หลังจากการรวมชาติเยอรมันแล้ว บิสมาร์คก็เริ่มกระบวนการการสร้างกลุ่มพันธมิตรแบบทับซ้อนซ่อนเงื่อนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้เยอรมันดูไม่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอจนเกินไป พยายามทำให้ทุกประเทศต้องการอยากได้เยอรมันเป็นพันธมิตรและยุยงให้มหาอำนาจอื่นแตกคอกัน อย่างเช่น กรณีวิกฤตตะวันออกปี ค.ศ. 1875 ทำให้มีสงครามระหว่างจักรวรรดิออตโตมันกับรัสเซีย

            เราจึงสามารถเห็นได้แล้วว่า ถ้าบิสมาร์คไม่ใช้ ”เรียลโพลิทีค” ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ พวกเสรีนิยมก็ออกมาประท้วงกันอย่างสามัคคี ทำให้กองทัพปรัสเซียไม่มีทางแข็งแกร่ง มหาอำนาจก็มองปรัสเซียเป็นรัฐที่อ่อนแอง่ายต่อการเข้ารุกราน และเยอรมันก็ไม่มีโอกาสในการรวมชาติที่มีปรัสเซียเป็นผู้นำได้เลย

 

แหล่งค้นคว้าอ้างอิง:

Bew, John. The Real Origins of Realpolitik. (2014). [Online]. Accessed 2023 Apr 20. Available from: https://nationalinterest.org/article/the-real-origins-realpolitik-9933

Hobswam, Eric. The Age of Capital. London: Abacus, 1997

Hoyer, Katja. Blood and Iron: The Rise and Fall of the German Empire. Cheltenham: The History Press, 2021.

Ullrich, Volker. Bismarck: (Life and Times). London: Haus Publishing, 2008.

Mutschlechner, Martin. The Dual Monarchy: two states in a single empire. (n.d.). [Online]. Accessed 2023 Apr 20. Available from: https://ww1.habsburger.net/en/chapters/dual-monarchy-two-states-single-empire

‘Translation: Peace of Prague (1866)’. (2020). [Online]. Accessed 2023 Apr 20. Available from: https://en.wikisource.org/wiki/Translation:Peace_of_Prague_(1866)

Bismarck, Otto von. Bismarck, the Man and the Statesman: Being the Reflections and Reminiscences of Otto, Prince von Bismarck. (1899). [Online]. Accessed 2023 Apr 20. Available from: https://archive.org/details/bismarckmanstate0002bism_g5i4/page/110/mode/2up

 

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ