พิพิธภัณฑ์กำแพงเมืองโซล (Seoul City Wall Museum) ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินทงแดมุน พอออกจากสถานีก็พบหนึ่งในแปดประตูเมืองโบราณของกรุงโซล คือ ประตูฮึงอินจีมุน (Heunginjimun Gate) หรือนิยมเรียกว่า ทงแดมุน (Dongdaemun) ประตูใหญ่ทิศตะวันออก
ก่อนเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ก็มองเห็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง มีหินบางก้อนที่มีข้อความสลักไว้ เมื่ออ่านคำอธิบายทำให้ได้ทราบว่าข้อความที่สลักบนหินเป็นข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ควบคุมการก่อสร้าง ช่างหิน คนขนหินและปีที่ก่อสร้างตรงกับรัชสมัยใด
ภายในอาคารห้องแรกของนิทรรศการแสดงข้อมูลลายเส้นกราฟฟิกเส้นทางเดินเขาที่ให้ภาพรวมของกำแพงเมืองโซล โดยกำแพงเมืองโซลมีชื่อภาษาเกาหลีว่า ฮันยางโดซอง (Hanyandoseong) เริ่มก่อสร้างครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1396 ตรงกับสมัยพระเจ้าแทโจ (Taejo ค.ศ.1335-1408) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน มีความยาวทั้งหมด 18.6 กิโลเมตร ความสูง 5 - 8 เมตร ใช้คนงานก่อสร้างถึง 197,400 คน กำแพงเมืองตั้งบนภูเขาสี่ลูกที่ล้อมรอบกรุงโซล ได้แก่ ภูเขาพูกักซาน (Bukhansan Mountain) ภูเขานัมซาน (Namsan Mountain) ภูเขานักซาน (Naksan Mountain) และภูเขาอินวังซาน (Inwangsan Mountain)
ภาพที่ 1 เส้นทางปีนเขากำแพงเมืองโซล
นอกจากป้ายข้อความต่างๆ แล้ว ยังมีวีดิโอฉายภาพให้เห็นประวัติศาสตร์ตลอด 600 ปีของกำแพงเมืองโซลพร้อมโมเดลจำลองเมือง หน้าจอทัชสกรีนแนะนำกำแพงเมืองและประตูเมือง รวมทั้งมีหน้าจอให้ผู้ชมเขียนข้อความลงบนก้อนหินคล้ายกับการสลักหินในอดีต ซึ่งฉายลงบนจอขนาดใหญ่ และสามารถส่งไปยังอีเมลของผู้ชมได้ด้วย
ภาพที่ 2 หน้าจอที่ให้เขียนข้อความจำลองการสลักหินบนกำแพงเมือง
นิทรรศการยังดำเนินต่อไปที่ชั้นสาม มีนิทรรศการสองห้องเล่าเรื่องการก่อสร้างและการบำรุงรักษากำแพงเมือง เริ่มต้นด้วยขั้นตอนวิธีการสร้างกำแพงเมือง เครื่องมือที่ใช้ก่อสร้าง แอนิเมชันจำลองวิธีการก่อสร้างและโมเดลจำลอง
ภาพที่ 3 จัดแสดงรูปแบบการวางเรียงหินและขนาดของก้อนหินกำแพงเมืองที่แตกต่างกัน
ในแต่ละยุคโดยเริ่มจากในยุคของพระเจ้าแทโจ (1390s) พระเจ้าเซจง (1420s)
พระเจ้าซุกจง (ต้น 1700s) และพระเจ้าซุนโจ (ต้น 1800s)
แน่นอนว่ากำแพงเมืองสร้างเมื่อหลายร้อยปีก่อนย่อมมีการผุพังไปตามกาลเวลา จึงมีการตั้งหน่วยงานบำรุงรักษากำแพงขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1422 หลังจากการซ่อมแซมกำแพงครั้งใหญ่แล้ว หน่วยงานนี้มีหน้าที่ตรวจตรากำแพงและดูแลการก่อสร้างส่วนที่พังทลายขึ้นใหม่
กำแพงเมืองนอกจากทำหน้าที่ป้องกันเมืองแล้ว ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองด้วย เพราะกำแพงเมืองเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาทั้งสี่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนชาวเมืองจะมาเที่ยวเล่น ตั้งชมรมกวีดื่มด่ำความงามของธรรมชาติ การแข่งขันยิงธนูก็เป็นกิจกรรมยอดนิยมของเหล่ายังบัน (Yangban) หรือชนชั้นสูงในสมัยโชซอน ซึ่งปัจจุบันยังคงพบลานยิงธนูบริเวณกำแพงเมืองด้วย
ประตูเมืองแต่ละแห่งยังมีหน้าที่ต่างๆ กันไป เช่น กษัตริย์โชซอนใช้ประตูโดนุมัน (Donuimun) หรือ ประตูซุงเนมุน (Sungnyemun) ออกไปพบคณะทูตจีน ถ้าหากสภาวะอากาศแห้งแล้ว กษัตริย์จะเสด็จผ่านประตูชังอึยมุน (Changuimun) เพื่อไปทางเหนือทำพิธีขอฝน ศพของขุนนางธรรมดาและชาวบ้านจะออกจากเมืองผ่านประตูโซอีมุน (Souimun) หรือประตูกวางฮุยมุน (Gwanghuimun) เท่านั้น
เมื่อเดินมาถึงห้องสุดท้ายเล่าเรื่องการทำลายและกำเนิดใหม่ของกำแพงเมือง ในยุคสมัยใหม่ประชากรขยายตัวมากจนล้นเกินกำแพงเมือง และการทำให้เมืองทันสมัยก็ทำให้บทบาทของกำแพงเมืองลดลง กอปรกับในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองเกาหลี กำแพงและประตูเมืองบางส่วนถูกรื้อถอนหรือทรุดโทรมลง
จนกระทั่งปีค.ศ. 1936 กำแพงเมืองได้รับขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานนำไปสู่การบูรณะกำแพงเมืองและประตูเมือง ช่วงปีค.ศ. 2000 – 2012 ได้มีการสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่เป็นระยะทาง 2.3 กิโลเมตรเพื่อเชื่อมต่อกำแพงเมืองทั้งหมดเข้าด้วยกันอีกครั้ง
โซนท้ายสุดของห้องนี้มีหัวข้อหนึ่งที่ผู้เขียนกำลังสงสัยอยากได้คำตอบพอดีว่ารูปปั้นที่มักเห็นบนหลังคาของพระราชวังและประตูเมืองเป็นรูปอะไร เครื่องประดับหลังคาเชื่อว่าทำหน้าที่ขับไล่สิ่งชั่วร้ายและป้องกันเพลิงไหม้ มักทำเป็นรูปหัวมังกร (Yongdu) และสัตว์ต่างๆ ทั้งนี้ รูปปั้นประดับหลังคาของประตูเมืองฮึงอินจีมุน ทำเป็นรูปพระถังซัมจั๋ง ซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ปีศาจ มังกรปากคู่ พระโพธิสัตว์ ลิ่น และหัวมังกร เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา
ภาพที่ 4 รูปปั้นประดับบนสันหลังคาประตูเมืองฮึงอินจีมุน
หากใครอยากลองเดินเทรลเส้นทางกำแพงเมืองแนะนำให้เดินตามเส้นทางนัมซันหรืออาคารโซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower) จะได้มุมมองทั้งกำแพงเมืองโบราณกับอาคารสมัยใหม่ ระหว่างทางเดินขึ้นไปมีแหล่งขุดค้นของกำแพงเมืองด้วย ทั้งนี้ สามารถเข้าไปศึกษาดูข้อมูลเพิ่มเติมเส้นทางเดินเทรลกำแพงเมืองโซลได้ที่ลิงก์นี้ https://seoulcitywall.seoul.go.kr/en/index.do
ภาพที่ 5 กำแพงเมืองโซลกับโซลทาวเวอร์