สำหรับคนสายพิพิธภัณฑ์ คำว่า “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น” หรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอาจเป็นคำที่คุ้นหูกันดีอยู่แล้ว เพราะแต่ละท้องที่ก็ล้วนมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง และเรื่องราวพวกนี้ก็มักถูกละเลยไปจากประวัติศาสตร์แห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่าประวัติศาสตร์กระแสหลัก ด้วยการลดทอนความสำคัญลงให้เป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่า ในความเป็นจริงเรื่องราวเหล่านี้ก็มีความน่าสนใจ และมีความสำคัญที่ช่วยยึดโยงผู้คนในท้องถิ่นเข้าด้วยกันผ่านเรื่องราว สิ่งของและรากฐานบางอย่างที่มีร่วมกัน
เมื่อข้ามฟากไปสายวิทยาศาสตร์ คำว่าท้องถิ่นกลับไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก อาจด้วยเหตุว่าวิชาวิทยาศาสตร์นั้นมีความเป็นสากลอยู่มากกว่า ตัวอย่างเช่นลูกแอปเปิ้ลตกลงจากต้นตามแรงโน้มถ่วง แม้ว่าบ้านเราจะไม่มีต้นแอปเปิ้ล แต่การเปลี่ยนการตกของลูกแอปเปิ้ลมาเป็นการตกของลูกทุเรียนก็ไม่ได้เปลี่ยนสาระ สำคัญทางวิทยาศาสตร์ไปเท่าไรนัก
ด้วยผู้เขียนเป็นคนทำงานสายวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองไหนก็มักหาโอกาสไปเดินดูพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ในต่างประเทศอยู่เสมอ เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่อยากรู้ว่าต่างชาติเล่าเรื่องยาก ๆ เหล่านั้นอย่างไร หรือมีวิธีสร้างแรงบันดาลใจเรื่องการเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร เป็นต้น ทั้งนี้ จากข้อสังเกตที่ได้ไล่เรียงและพินิจพิเคราะห์จากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ในแต่ละแห่งแล้วก็ค้นพบว่า “มันไม่เหมือนกัน” ใช่แล้ว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ก็มีความเป็นท้องถิ่นแฝงอยู่ด้วย
เริ่มต้นจาก Experimentarium หรือศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่นี่เน้นให้ผู้เข้าชมได้ลงมือทำด้วยตนเองตามสโลแกนที่ว่า Let’s Play Science เมื่อเดินเข้าไปภายในสิ่งจัดแสดงที่เห็นเป็นสิ่งแรกคือแบบจำลองการขนส่งสินค้า ซึ่งไม่ใช่โมเดลเล็ก ๆ วางบนโต๊ะ หากแต่เป็นแบบจำลองขนาดใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายสายพานในโรงงาน โดยกำหนดให้ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองโคเปนเฮเกน และอีกฝั่งหนึ่งเป็นเมืองคู่ค้าปลายทาง และใช้ลูกบอลแต่ละสีแทนสินค้า ผู้เข้าชมจะได้ลองสวมบทสมมติว่าตัวเองเป็นคนจัดการการขนส่ง เริ่มด้วยลองเลือกสินค้าตามสั่ง ผลิต ขนส่งไปที่เรือสินค้าแล้วเลือกเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังปลายทาง ซึ่งความรู้ที่สอดแทรกอยู่นั้นไม่ใช่แค่การคิดในเชิงระบบ แต่ยังมีเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีการขนส่ง ตั้งแต่เรื่องพลังงานที่ใช้ ความคุ้มค่า การเดินเรือ แล้วก็อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
ภาพที่ 1 วิทยาศาสตร์ของการขนส่ง
ผู้เขียนขอสารภาพว่าตอนแรกไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์แห่งนี้จึงเลือกเปิดประเด็นวิทยาศาสตร์ด้วยเรื่องนี้ จนนึกขึ้นได้ว่าก็เมืองโคเปนเฮเกนอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นเมืองท่าสำคัญของยุโรป และด้วยการคมนาคมขนส่งนี่เองที่เป็นหัวใจสำคัญทางเศรษฐกิจที่ทำให้เมืองนี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ ฉะนั้นสำหรับชาวเมืองโคเปนเฮเกนแล้วเมื่อเห็นนิทรรศการเรื่องนี้ก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีก็มันเป็นเรื่องราวท้องถิ่นของเขาเอง รวมถึงคนนอกพื้นที่เองก็สามารถเข้าใจบทบาทความเป็นเมืองท่าการค้าของเมืองนี้ด้วยเช่นกัน
ถัดจากเรื่องการขนส่งก็เป็นโซนนิทรรศการจัดแสดงเรื่องการขุดเจาะน้ำมัน มีลักษณะคล้ายกับเกมตู้ให้ทดลองกดเล่น ซึ่งไม่ได้มีกลไกสลับซับซ้อน ผู้ชมแค่เล่นบทบาทเป็นผู้บริหารจัดการแท่งขุดเจาะน้ำมันดิบ คอยเติมเชื้อเพลิง ควบคุมดูแลความดันไม่ให้สูงเกินไป รับส่งพาพนักงานบินกลับไปยังที่พัก หลังจากเล่นจนจบก็ไม่มีข้อมูลเนื้อหาหรือคำอธิบายใดๆ ประกอบ ซึ่งสวนทางกับภาพจำที่คนมักคิดถึงเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หรือพิพิธภัณฑ์ทั่วไปที่มักทำหน้าที่ให้ข้อมูลความรู้ที่เน้นการอธิบายมากมาย แต่ในยุคที่ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากอินเทอร์เน็ต บทบาทหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนไปด้วยอย่างให้มุมมองแบบกว้างที่น่าสนใจ และกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดตั้งคำถาม ศึกษา และค้นคว้าต่อ อาจเป็นเรื่องสำคัญกว่าแล้วก็ได้
ภาพที่ 2 วิทยาศาสตร์ของการจัดการน้ำ
เขยิบไปที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ เมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องระบบการชลประทาน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่เหตุผลที่ทำให้แผ่นดินประเทศยังจมอยู่ใต้น้ำไปเสียก่อนนั่นเพราะเดลตาเวิกส์ (Delta Works) ที่เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่บริเวณปากแม่น้ำเพื่อกั้นการท่วมของน้ำทะเลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบการจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งเดลตาเวิกส์เป็นงานสร้างและการออกแบบทางวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมมาก แต่มีน้อยคนที่ทราบว่าเบื้องหลังระบบการป้องกันน้ำท่วมสุดแสนอลังการนี้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ประกอบอยู่ด้วยมากมาย
ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างเขื่อน กลไกการจัดการน้ำ และการคาดการณ์ปริมาณน้ำ ทั้งหมดนี้ถูกเล่าอยู่ในนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นีโม (NEMO Science Museum) ด้วยสิ่งจัดแสดงที่เน้นให้ผู้ชมได้ลงมือทำด้วยตนเองมากกว่าการบอกให้ข้อมูล อาทิเช่น เรื่องการป้องกันน้ำท่วมที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือสลับซับซ้อน ทำเป็นแบบจำลองมีน้ำไหลผ่าน แล้วก็มีถุงทรายวางไว้ให้ทดลองใช้กั้นน้ำเพื่อให้เกิดกระแสน้ำไหลที่มีแรงมากพอที่จะปั่นกังหัน หรือกั้นน้ำอย่างไรไม่ให้เกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่อยู่อาศัย ในตอนแรกที่ผู้เขียนมองผ่านแบบผิวเผิน รู้สึกว่าเป็นแค่บล็อคไม้ที่มีน้ำไหล หากแต่พอได้ทดลองลงมือเล่นจริง จึงมองเห็นว่ามีรายละเอียดซ่อนอยู่เต็มไปหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความหมายเชิงเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นจริงและปัญหาที่พบเจอในการบริหารจัดการน้ำทั้งสิ้น ดังเช่นการพยายามทำให้น้ำไหลแรงขึ้นเพื่อปั่นกังหันอาจทำให้น้ำท่วมหมู่บ้านได้ แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองนี้เกิดจากกระบวนการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่ออธิบายสภาพความซับซ้อนของปัญหาจริง ๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่งานที่ออกแบบอย่างมักง่าย
การให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงจึงไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการสอนหรือฝึกให้เด็กคิดเป็น หากแต่ยังเป็นการที่ผู้ใหญ่อนุญาตหรือเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบความรู้ ซึ่งการทดลองแบบไม่มีเฉลยคำตอบเขียนไว้และไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยอธิบาย ไม่มีคำตอบจากผู้ใหญ่มากำหนดกรอบว่าต้องคิด หรือต้องทำแบบนั้นแบบนี้ก็คล้ายกับการอนุญาตให้เด็กๆ คิดแก้ปัญหาด้วยวิธีของเขาเองโดยไม่ปิดกั้น สามารถลองผิดลองถูกไปได้เรื่อย ๆ และผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่งกว่าการสอนวิธีคิดเสียอีก
จากเนเธอแลนด์ลองข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่รู้สึกน่าตื่นเต้น แบบว้าวหลายเรื่อง แต่ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการจัดการน้ำมาใช้เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ในกรณีของเนเธอแลนด์ต้องสร้างเขื่อนเพื่อไม่ให้น้ำทะลักเข้ามาในแผ่นดิน ซึ่งแตกต่างจากโจทย์ของบอสตันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพาน เนื่องจากแม่น้ำที่นี่น้ำไหลแรงมาก ดังนั้นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสักแห่งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการคิดเชิงวิศวกรรมที่มีขั้นตอนเริ่มต้นจากการออกแบบ ลองทำ ทดสอบ แล้วก็พัฒนาวิธีให้ดีขึ้น โดยพิพิธภัณฑ์เลือกใช้วิธีการให้ความรู้เรื่องการคิดเชิงวิศวกรรมผ่านการทดลองลงมือทำและใช้เครื่องมือเช่นเดียวกัน คือ การจำลองสภาพของแม่น้ำ มีขั้นตอนให้ทดลองวางตัวต่อที่มีรูปร่างคล้ายกับเสา ตัวสะพาน ซึ่งผู้ชมจำเป็นต้องเลือกหรือกำหนดตำแหน่งก่อนว่าจะวางไว้ที่ส่วนไหนของแม่น้ำ กว้างหรือแคบ จากนั้นพอน้ำไหลผ่านก็จะได้ลุ้นและรู้ว่าสะพานที่คิดสร้างพังหรือไม่ วิธีการแบบนี้เด็กๆ จะได้ออกแบบ ลองทำ ทดสอบ แล้วก็พัฒนาโดยไม่ต้องมีใครสอนสักนิด แล้วสุดท้ายจึงค่อยมีบทสรุปว่าการออกแบบ ลองทำ ทดสอบ พัฒนาวิธีการให้ดีขึ้นนั้นมีชื่อเรียกแต่ละขั้นตอนว่าอะไรบ้าง และทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่าการคิดแบบวิศกรรม จบ! แถมที่ตั้งพิพิธภัณฑ์อยู่ติดกับแม่น้ำพอดีจึงตั้งใจออกแบบให้ห้องนิทรรศการนี้มีหน้าต่างบานใหญ่ สามารถมองออกไปเห็นแม่น้ำเลยยิ่งเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้ากับบริบทจริง
ภาพที่ 3 วิทยาศาสตร์ของการสร้างสะพาน
ดังจะเห็นได้ว่าสุดท้ายแม้ว่าเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์จะเป็นเรื่องสากลเหมือนกันทั้งโลก แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือบริบท เปรียบเหมือนเวลาดูหนังฝรั่งที่บางทีก็มีมุกตลกทางภาษา หรือวัฒนธรรมเฉพาะ ซึ่งคนดูที่อยู่ต่างสังคมอาจเกาหัวสงสัยว่าไม่เห็นตลกเลย การเข้าใจวิทยาศาสตร์ก็น่าจะไม่ต่างกัน สุดท้ายมนุษย์เข้าใจสิ่งต่าง ๆ โดยเชื่อมโยงกับสิ่งที่เห็นและคุ้นเคย ดังนั้นการไปชมพิพิธภัณฑ์ดี ๆ ในต่างประเทศ แล้วก็ลอกเลียนแบบสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดอาจไม่ใช่คำตอบ แต่ควรเป็นการถอดมาเพียงแก่น แล้วมองหาโจทย์หรือสถานการณ์จริงที่เป็นเรื่องท้องถิ่นแล้วนำแก่นสาระเหล่านั้นมาประยุกต์น่าจะเหมาะสมมากกว่า