Museum Core
มงกุฎแห่งพระจักรพรรดิราช ของรัชกาลที่ 3 บนยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
Museum Core
04 ส.ค. 66 2K

ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

               ตามธรรมเนียมของการสร้างอาคารที่เรียกว่า ‘พระปรางค์’ นั้นมักประดับส่วนยอดสุดของอาคารไว้ด้วยเครื่องโลหะ (ส่วนใหญ่มักเป็นสำริด) ที่มีรูปร่างเป็นหลาว หรือหอกที่มีกิ่งแตกออกไปหลายทิศ พุ่งแทงขึ้นไปบนฟ้า เรียกว่า ‘นภศูล’ หรือ ‘นพศูล’ ก็เรียก (คำว่า ‘นภศูล’ หมายถึง ‘ศูล’ คือ ‘หลาว’ ที่แทงขึ้นไปบนฟ้าคือ ‘นภา’ ส่วนคำเรียก ‘นพศูล’ นั้นด้วยเชื่อกันว่า เครื่องประดับยอดปรางค์แตกออกเป็น 9 กิ่ง จึงเรียกว่า นพศูล แปลว่า หลาว หรือหอก 9 กิ่ง)

               อย่างไรก็ตาม ส่วนยอดของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งถือกันว่าเป็น ‘ศรี’ ของเมืองกรุงเทพฯ นั้น กลับมี ‘มงกุฎ’ ครอบทับนภศูลเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยมีประวัติเล่าว่าแต่เดิมมงกุฎดังกล่าวประดับอยู่บนพระเศียรของ ‘พระพุทธมหาจักรพรรดิ’ อันเป็นพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถของวัดนางนองวรวิหาร บางขุนเทียน

               นับเป็นเรื่องน่าสนใจว่า ทั้งพระปรางค์วัดอรุณฯ และพระพุทธรูปประธานที่วัดนางนอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างพระจักรพรรดิราชนั้น ต่างก็เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นเอง (วัดอรุณฯ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่โครงสร้างหลักที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้น เริ่มก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ 2 โดยมีพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงควบคุมงานก่อสร้าง) แถมยังมีบริบทแวดล้อมที่น่าสนใจอีกต่างหาก

 

 

ภาพที่ 1: มงกุฎของพระพุทธมหาจักรพรรดิถูกนำมาประดิษฐานไว้บนยอดพระปรางค์ของวัดอรุณฯ

แหล่งที่มาภาพ: https://www.silpa-mag.com/history/article_11245

 

               คติการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องของไทยนั้น มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นตามคติเรื่อง ‘พระจักรพรรดิราช’ ในชมพูบดีวัตถุมาตั้งแต่เมื่อสมัยกรุงศรีอยุุยาเป็นอย่างน้อย ดังปรากฏหลักฐานว่า เมื่อ พ.ศ. 2398 ราชทูตลังกาได้มีโอกาสเห็น ‘พระพุทธรูปทรงเครื่อง’ ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ก็เกิดความสงสัยขึ้นเพราะในลังกาไม่มีพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างนี้ จึงได้ถามต่อเจ้าพนักงานที่ต้อนรับขับสู้ว่าทำไมสยามจึงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องคล้ายเทวรูป?

               ความตรงนี้ทราบไปถึงพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ จึงรับสั่งให้เสนาบดีชี้แจงไปใน จดหมายของอัครเสนาบดีไทยมีไปถึงอัครเสนาบดีลังกา ปีพ.ศ. 2299 ดังความว่า

               "พระเจ้าราชธิราชผู้อุดมนั้น หาทรงทำพระราชกิจอันเป็นพระกุศลยวดยิ่ง ให้ผิดทำนองคลองพระพุทธพจน์ไม่ พระพุทธพิมพ์ที่ทรงมงกุฏเช่นนี้ได้มีปรากฏในมหาชมพูบดีวัตถุ เหตุนั้น ราชบุตรผู้เล่าเรียนนิทานนั้นชัดเจนบอกเล่ามีมาอย่างนี้แท้จริง"

               เรื่องราวในชมพูบดีวัตถุ (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาชมพูบดีสูตร) เล่าถึงท้าวมหาชมพู ผู้ครองมหานครใหญ่ที่ชื่อ นครปัญจาละ พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศและบริวารยศ หาผู้ได้ในชมพูทวีปเสมอเหมือนไม่ได้ จึงสำคัญพระองค์ผิดว่าไม่มีใครสามารถสู้รบกับพระองค์ อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกรุงราชคฤห์เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ก็หมายสำแดงอิทธิฤทธิ์บังคับให้พระเจ้าพิมพิสารตกอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าคุ้มครองไว้

               พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุดังนั้นก็หมายจะทรมานท้าวชมพูบดีให้สิ้นฤทธิ์ จึงเนรมิตพระองค์เป็น ‘พระจักรพรรดิราช’ คือราชาเหนือราชาทั้งปวง เนรมิตวัดเวฬุวันวิหารให้เป็นพระนครหลวง ให้พระอินทร์จำแลงกายเป็นราชทูตไปทูลเชิญแกมบังคับให้ท้าวชมพูบดีมาเข้าเฝ้า

               เมื่อท้าวชมพูบดีได้ทอดพระเนตรเห็นนครของพระจักรพรรดิราชมั่งคั่งสมบูรณ์กว่าพระองค์ ได้เข้าเฝ้าและทรงสดับพระราชบริหารต่างๆ ก็ละมิจฉาทิฐิยอมแพ้แก่ฤทธิ์ของพระจักรพรรดิราช พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์ให้ท้าวชมพูบดีเห็นพระสรีระที่แท้จริง และแสดงธรรมเทศนาจนท้าวชมพูบดีบรรลุเป็นพระอรหันต์

               ความสำคัญคือเรื่องเล่าของท้าวมหาชมพูได้ถูกวาดไว้บนฝาผนังส่วนเหนือกรอบบานประตูและบ้านหน้าต่างทั้ง 4 ด้านภายในพระอุโบสถที่วัดนางนอง อีกทั้งผนังด้านหลังของพระพุทธรูปองค์นี้ยังเขียนเป็นรูปท้าวหาชมพูบดีเข้าเฝ้าพระจักรรรดิราชที่มีสีทอง ราวกับฉายภาพขยายออกมาจากงานจิตรกรรมว่า ผู้ที่เข้ามาสักการะพระพุทธรูปองค์นี้เปรียบได้กับท้าวมหาชมพูบดีที่เข้ามากราบกรานศิโรราบต่อพระจักรพรรดิราชนั่นเอง

 

 

ภาพที่ 2: พระพุทธมหาจักรพรรดิ พระพุทธรูปทรงเครื่องที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดนางนอง

แหล่งที่มาภาพ: https://th.wikipedia.org/wiki/

 

 

 

ภาพที่ 3: ภาพจิตรกรรมเรื่องมหาชมพูบดีสูตร ภายในพระอุโบสถ วัดนางนอง

แหล่งที่มาภาพ: https://db.sac.or.th/seaarts/artwork/202

 

               ยิ่งกว่านั้นบานหน้าต่างและบานประตูทั้งหมดภายในพระอุโบสถยังประดิษฐ์เป็นลวดลายลงรักปิดทองรูปเครื่องราชูปโภคทั้งหลาย โดยเฉพาะที่กรอบประตูทางเข้าด้านนอกของพระอุโบสถ มีลายลงรักปิดทองเรื่องกำเนิดรัตนะ (หนึ่งในแก้ววิเศษ 7 ประการของพระจักรพรรดิราชตามปรัมปราคติในพุทธศาสนา) ทั้งหมดนี้ย่อมสอดคล้องและตอกย้ำคติเรื่องพระจักรพรรดิราช ทั้งการเขียนเล่าเป็นงานจิตรกรรมและแสดงออกเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง

               ทว่า ภายในพระอุโบสถแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ภาพเขียนเรื่องพระจักรพรรดิราช ผนังระหว่างกรอบหน้าต่างเขียนเป็นภาพที่วาดด้วยลายกำมะลอ (เทคนิคผสมงานลงรักสีและงานลายรดน้ำเข้าด้วยกัน) เล่าเรื่องสามก๊ก โดยตัดตอนมาเล่าเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่เล่าปี่เริ่มมีบทบาทสำคัญและเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยเรื่อยไปจนกระทั่งจบลงที่ชัยชนะเหนือโจโฉ ซึ่งนับเป็นเกียรติภูมิสูงสุดในชีวิตของเล่าปี่ก็ว่าได้

               สรุปให้เข้าใจง่าย คือ เขียนเล่าเฉพาะส่วนที่แสดงให้เห็นว่า ‘เล่าปี่’ เป็นกษัตริย์ที่ดีตามค่านิยมแบบจีน

               ดังที่ทราบกันดีว่า รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชนิยมในศิลปวัฒนธรรมจีนอย่างชัดเจน หากพระองค์จะทรงผสมผสานความคิดเรื่องของจักรพรรดิราชเข้ากับคุณลักษณะของโอรสสวรรค์ที่ดีตามความเชื่ออย่างศาสนาขงจื๊อก็น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 

ภาพที่ 4: ภาพวาดลายกำมะลอ เรื่องสามก๊ก ภายในพระอุโบสถ วัดนางนอง

แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.thebangkokinsight.com/news/lifestyle/893361/

 

               สิ่งที่น่าสนใจและไม่ควรมองข้ามอีกอย่างหนึ่งก็คือ อันที่จริงแล้ว วัดนางนองนั้นไม่ได้เป็นวัดที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เป็นวัดเก่าแก่ของคลองด่าน ย่านบางขุนเทียน มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่โครงสร้างของวัดทั้งหมดที่เห็นกันในทุกวันนี้ ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3

               บริเวณพื้นที่คลองด่านอันเป็นที่ตั้งของวัดนางนองนั้นเป็นพื้นที่ที่ควรมีนัยยะสำคัญสำหรับรัชกาลที่ 3 เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นบริเวณใจกลางชุมชนบางขุนเทียน ซึ่งเป็นย่านเก่าของข้าหลวงเดิมที่เกี่ยวข้องกับสายราชตระกูลในรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้บรรดาวัดที่ตั้งอยู่ทั้งสองข้างฟากลำคลองรวมทั้งสิ้น 3 วัด ได้แก่ วัดราชโอรสราชวรวิหาร วัดหนังราชวรวิหาร และวัดนางนองวรวิหาร ล้วนแล้วแต่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ทั้งสิ้น

               วัดหนัง เป็นวัดเก่าแก่มีประวัติย้อนไปได้ถึงยุคอยุธยาเช่นกัน แม้ไม่ใช่วัดที่ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยตรงจากรัชกาลที่ 3 แต่ก็มีเรื่องเล่าว่า ราชินิกุลสายท่านเพ็ง  ซึ่งเป็นพระชนนีของสมเด็จพระศรีสุลาลัย ผู้เป็นพระราชมารดาของรัชกาลที่ 3 เป็นชาวสวนมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่บริเวณวัดหนัง แสดงให้เห็นว่า ย่านนี้เป็นถิ่นเดิมที่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับพระองค์

               กรณีวัดสมัยอยุธยาอีกแห่งคือ วัดราชโอรส (ชื่อเดิม วัดจอมทอง) ก็มีเรื่องเล่าลือว่าการที่รัชกาลที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการบูรณะวัดจอมทอง ตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงเรียกชื่อวัดนี้ต่อๆ กันมาว่า ‘วัดราชโอรส’

               ฟังดูเผินๆ ก็ชวนให้รู้สึกคล้อยตาม กระนั้นในเมื่อเป็นย่านถิ่นเก่าของรัชกาลที่ 3 เหตุใดจึงเพิ่งเรียกว่า ‘ราชโอรส’ ขณะที่มีการซ่อมวัด ทั้งที่ก็รู้กันอยู่แล้วว่ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์นี้เป็นพระราชบุตรของใคร?

                สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเคยเล่าเอาไว้ในหนังสือที่ชื่อความทรงจำว่า เมื่อครั้งที่ก่อสร้างพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามแล้วเสร็จนั้น รัชกาลที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้นำเอา ‘มงกุฎ’ ของพระพุทธรูปทรงเครื่องที่วัดนางนอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายว่า จะให้ ‘เจ้าฟ้ามงกุฎ’ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์เป็นรัชกาลที่ 4

                 หากพิจารณาจากร่องรอยหลักฐานหลายอย่างแล้ว บางทีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อาจทรงเข้าใจผิดก็เป็นได้ เพราะการนำเอามงกุฎของพระพุทธรูปทรงเครื่อง อันเป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘พระจักรพรรดิราช’ ซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณถิ่นฐานอำนาจของรัชกาลที่ 3 มาประดับไว้บนยอดของพระปรางค์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น ‘ศรี’ ของเมืองนั้น ย่อมมีความหมายในเชิงพิธีกรรมที่ลึกซึ้ง และไม่เกี่ยวข้องกับพระนามก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 4 เป็นแน่

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ